webnovel

ซีนที่ 2

พลูโตตัดสินใจที่จะสำรวจบ้านอย่างระมัดระวัง ไม่จับ ไม่แตะอะไรทั้งนั้น เพราะถ้ามีอะไรแตกหักเสียหายขึ้นมา ทำงานจนแก่ตายเขาก็ไม่มีปัญญาใช้คืนได้แน่นอน

"นี่ขนาดแค่หน้าลิฟต์นะเนี่ย ถ้าเข้าไปข้างในลึกกว่านี้ อันตรายคงเพิ่มขึ้นทวีคูณ"

เขาบ่นพึมพำกับตัวเอง

พลูโตยืนรออย่างใจเย็น ราวกับรูปปั้น เขาไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่เขาจะไม่ขยับไปไหน จนกว่าเจ้าของบ้านจะโผล่มา และในที่สุด เจ้าของบ้านก็มาเสียที

"ยังอยู่ตรงนี้อีกเหรอ ตามมาสิ"

พลูโต สูดหายใจเข้าลึก ๆ กลืนน้ำลายลงคอไปอีกหนึ่งอึก แล้วตัดสินใจเดินตามเจ้าของบ้านไป โดยพยายามทำตัวให้เล็กที่สุด ตามองตรงไปยังแผ่นหลังของเจ้าของบ้าน เขาจะไม่ว่อกแว่กหันไปมองสิ่งเร้าอื่น ๆ เป็นอันขาด

"นั่งก่อนสิ"

หลังเดินตามหลังมาได้สักพัก เจ้าของบ้านก็หยุด แล้วก็พูด ก่อนจะหลบทางให้เขา

เบื้องหน้าของพลูโตตอนนี้จึงเป็นเคาน์เตอร์บาร์ ไม่ใช่แผ่นหลังของซัท เพราะเจ้าของบ้านตอนนี้ ได้เดินไปอยู่ข้างหลังของเคาน์เตอร์บาร์ และกำลังรอคอยให้เขานั่งลงเสียที

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ ๆ เคาน์เตอร์ เขาจึงค้นพบว่า มันเป็นเคาน์เตอร์บาร์ที่ใหญ่ยาวมาก มีที่นั่งได้เกิน 10 คนแน่นอน จากการกวาดตามอง ครัวที่อยู่ด้านหลังของซัทก็ใหญ่ และดูหรูหราไม่แพ้กัน แต่ที่สำคัญและทำให้เขากังวลอย่างมากก็คือ สิ่งที่อยู่ภายใต้ฝาครอบจานสเตนเลสที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ ด้านหน้าของซัทต่างหาก

พลูโตกลืนน้ำลายลงคอไปอีกหนึ่งอึก แต่ไม่ใช่เพราะความหิว มันเพราะความกังวลต่างหาก ก่อนจะเดินไปเผชิญหน้ากับความเป็นจริง และนั่งลงจ้องมองไปยังฝาครอบเบื้องหน้า โดยที่มีคำพูดที่จอมมารกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ดังซ้ำไป ซ้ำมาอยู่ภายในหัว

"ฟังนะ ถ้าอยากผ่านฝึกงาน มี 2 ข้อเท่านั้น ที่นายต้องทำตาม ข้อแรกจงทำตามที่ฉันสั่ง และข้อสอง อย่าขัดใจฉัน ทำได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ ก็ไปลาออกซะ"

คำพูดที่จอมมารเคยกล่าว ยังดังก้องอยู่ในหู ทำให้เหงื่อของเด็กหนุ่ม ค่อย ๆ ไหลลงจากหน้าผาก อาบแก้ม และไหลลงไปยังคอต่อไป

เด็กหนุ่มคิดในใจว่ามันคงเป็นอะไรที่พอจะกินได้ แต่ฝาสเตนเลสแบบนี้ มีไว้ครอบเพื่อรักษาอุณหภูมิ หรือรมควันนี่นะ ถ้าเป็นไปตามที่เขาเข้าใจ บางทีสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น อาจจะเป็นสเต๊กก็ได้ เด็กหนุ่มพยายามมองโลกในแง่ดี

"พร้อมนะ"

พูดจบซัทก็เปิดฝาครอบออก

ทันใดนั้นเอง กลุ่มควันก็พวยพุ่งออกมา ปะทะใบหน้าของพลูโตเข้าอย่างจัง จนแทบจะหงายหลัง เขาพยายามต้านแรงปะทะนั้นไว้ จนในที่สุดกลุ่มควันก็บางลง เผยเห็นหน้าตาของอาหารภายใต้ฝาครอบนั้น

สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพูลโตตอนนี้ ทำเอาเด็กหนุ่มตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้าง ลมหายใจของเขาก็แรงขึ้น แรงขึ้น มือทั้งสองข้างก็กำหมัดแน่น

"ตาลุงนี่กวนประสาทนัก"

เด็กหนุ่มคิดในใจ และพยายามข่มอารมณ์ไว้ อย่างไรก็ดี ความโกรธของเขา ไม่รอดพ้นสายตาของจอมมารไปได้อย่างแน่นอน

"โกรธเหรอ"

"เปล่าครับ"

"นี่ ต่อให้ฉันหลับตาฟัง ยังรู้เลยว่านายไม่พอใจ นับประสาอะไรกับตอนลืมตาอยู่ แล้วเห็นหน้านาย"

เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองจอมมารตาขวาง แล้วพูดว่า

"เปล่าครับ ผมไม่ได้ไม่พอใจอะไรสักหน่อย"

ก่อนจะก้มลงไปมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าตามเดิม

"เออ ๆ ไม่ก็ไม่ ทั้ง ๆ ที่หน้านายมันบอกยี่ห้ออยู่แท้ ๆ"

ซัทพูดด้วยสีหน้า และน้ำเสียงสุดเอือมระอา ก่อนจะพูดต่อไปว่า

"ว่าแต่ทำไมเขาถึงรับคนหน้าซื่อตาใส แบบนายเข้ามาทำงานนะ หน้าตาอ่านง่ายขนาดนี้ ไม่เหมาะเลยกับวงการบันเทิง ที่ทุกคนล้วนตอแหล"

ราวกับถ่มน้ำลายใส่กำแพง คำพูดของซัทส่งไปไม่ถึงพลูโตเลยแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังพิจารณาอาหารบนจานอยู่

ส่วนซ้ายของจานมีเบคอนนอนเรียงรายกันอยู่ 3 แผ่น ในขณะที่ฝั่งขวา มีไส้กรอกชิ้นเท่านิ้วโป้งมือ เรียงรายกันอยู่ 3 ชิ้น ตรงกลางจาน เป็นข้าวผัดในรูปทรงกลม พร้อมธงโจรสลัดติดไม้จิ้มฟันปักอยู่ด้านบน

"น่ากินจนละสายตาไปไม่ได้เลยใช่ไหม ข้าวผัดอเมริกัน สูตรเด็ดเซตพิเศษสำหรับคุณหนู จานนี้น่ะ"

น้ำเสียงที่ดูภูมิใจของซัท ทำพลูโตกำหมัดแน่นกว่าเดิม

แต่ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดขนาดไหน อย่างหนึ่งที่พลูโตไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ซัทพูดถูก ข้าวผัดอเมริกันจานนี้ มันดูน่ากินจริง ๆ

"อย่ามัวแต่จ้อง ลองเลยแล้วจะติดใจ"

ซัทใช้น้ำเสียงเซ็กซี่เชื้อเชิญ

แต่ต่อให้ซัทไม่ใช้เสียงโทนนั้นยั่วยวน พลูโตก็ตั้งใจจะลิ้มลองมันอยู่แล้ว เขาแค่ต้องใช้เวลาพิจารณาก่อนสักเล็กน้อย ว่าจะอาหารชิ้นไหน จะเป็นเหยื่อรายแรกของเขา

หลังจากนั้นทุกอย่างก็เงียบสงัดลงไป ราวกับเวลาไม่เคลื่อนไหว ซัทจ้องมองพลูโตอย่างไม่ละสายตา ในขณะที่พลูโต จ้องมองข้าวผัดคุณหนูอย่างไม่ละสายตาเช่นกัน

แล้วในที่สุด พลูโตก็ใช้มือขวาหยิบซ้อมขึ้นมา จากนั้นก็ใช้มันทิ่มแทงเหยื่อรายแรกของเขา เจ้าเบคอน

ซัทที่เห็นการกระทำนั้นของพลูโต ก็ยิ้มเยาะอย่างพอใจ ราวกับเขากำลังจะสื่อว่า ฉันชนะ

ถึงตาลุงนี่จะกวนประสาทไปเสียหน่อย แต่รสมือนั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ เขาทำได้ยังไงกันนะ เด็กหนุ่มคิด ในขณะที่กำลังฟินกับอาหารชุดคุณหนู ที่คุณลุงเป็นคนทำให้

"เสร็จสักที เอาล่ะไปกันเถอะ ขับรถเป็นไหม"

ประโยคนี้ของซัททำพลูโตหมดอร่อยเลย

"คนกำลังกินอยู่แท้ ๆ จะรีบเร่งไปไหนอีก ขัดจังหวะคนกินข้าวมันบาปนะลุง"

พลูโตคิด ในขณะที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก แต่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำเอาเขาถึงกับผงะจนเกือบจะหงายหลัง

"จานเปล่า!"

พลูโตอุทานออกมาเบา ๆ

"ฮัลโหล ได้ยินไหมเนี่ย ถามว่าขับรถเป็นไหม"

"ปะ เป็นครับ"

"ใบขับขี่ล่ะ"

"มะ มีครับ"

"โอเคงั้นไปกันเถอะ"

"คะ ครับ"

พลูโตพูดอึกอัก ราวกับถูกมนตร์สะกด แล้วก็เดินตามซัทต้อย ๆ ไปขึ้นลิฟต์ สิ่งสุดท้ายที่เขาจำได้ คือจิ้มเบคอนเข้าปาก และตอนนี้ประตูลิฟต์ก็ค่อย ๆ ปิดลง ไปพร้อมกับความมึนงงของพลูโต

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ประตูลิฟต์เปิดออก ณ ลานจอดรถชั้น 2 พลูโตเดินตามซัทไป แล้วก็มาหยุดอยู่ตรงหน้ารถสปอร์ตคันงามคันหนึ่ง ซึ่งเขายืนจ้องมองมันด้วยความหลงใหล มีช่วงหนึ่งในชีวิตเหมือนกัน ที่เขาฝันอยากขับรถแบบนี้ เป็นนักแข่งอะไรก็ว่าไป เพราะเขาได้รับอิทธิพลมาจากพ่อ ที่เป็นช่างซ่อมรถ นักแต่งรถ และพวกบ้ารถนั่นเอง

แน่นอนว่าความฝันนั้นถูกดับลงไป โดยแม่ของเขา ที่เป็นคุณครู แล้วเขาก็ได้รู้ว่านั่น เป็นเพียงความฝันเพียงชั่วคราวของเด็ก ๆ เท่านั้น โชคดีจริง ๆ ที่แม่ห้ามไว้ พลูโตนึกถึงวันวานอันหอมหวาน

"เลิกฝันเลยจืด ฉันไม่ให้นายขับคันนั้นหรอก"

คำพูดของซัท ทำพลูโตผิดหวังเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันกลับไป ตั้งใจมองซัทให้ดี ๆ ก็จะเห็นว่า ซัทยืนอยู่ข้าง ๆ รถเก๋งญี่ปุ่นสีเทา ที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนนอยู่คันหนึ่ง เขาจึงเข้าใจได้ทันที ว่าคันที่เขาจะได้ขับ คือคันนี้นี่แหละ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พลูโตคนขับนั่งหลังพวงมาลัยขวา ส่วนซัทนั่งเบาะหลัง ตามประสาคนเป็นนาย

ตอนอยู่บนทางด่วน พลูโตรู้สึกอึดอัดมากขึ้น มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เขาก็ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี เขาจึงต้องแยกการทำงานของสมองออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเพื่อให้มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการขับรถ และอีกส่วนเพื่อหาเรื่องคุยให้ได้ แล้วในที่สุด...

"เมื่อกี้ขอบคุณสำหรับข้าวผัดนะครับ มันอร่อยมากจริง ๆ"

พลูโตเริ่มชวนคุย ซึ่งในความจริงแล้ว เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ากินข้าวผัดหมดจานได้ยังไง แต่เขาคิดว่ามันน่าจะอร่อยจริง ๆ นั่นแหละ เพราะเขาจำรสชาติของเบคอนชิ้นนั้นได้เป็นอย่างดี

"ขอบคุณ แต่ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ ว่ามันอร่อยมาก ไม่งั้นนายคงกินไม่หมดหรอก"

ซัทกล่าวด้วยน้ำเสียง และสีหน้าอันสุดแสนจะไม่สนโลก แต่ความจริงแล้ว เขาดีใจมาก ๆ เลยนะ เพราะในบรรดาคนที่เขาทำอาหารให้กิน ไม่มีใครกินได้มูมมาม กินได้น่าอร่อยเท่ากับพลูโตอีกแล้ว

"มื้อสุดท้ายก่อนบายเธอ เรื่องนั้นคุณรับบทเป็นเชฟใช่ไหมครับ"

"ใช่ ทำการบ้านมาดีนี่"

"เปล่าครับ ผมพึ่งรู้ว่าจะต้องมาเป็นผู้จัดการของคุณ ก่อนจะมาเจอคุณไม่นานนี่เอง"

"ว่าแล้วเชียว โดนหลอกมาทำงานจริง ๆ ด้วยสินะ"

"ก็ไม่เชิงหรอกครับ ต้องบอกว่าผมรนหาที่เองมากกว่า"

"รนหาที่เองงั้นเหรอ ไหนลองอธิบายให้ฟังหน่อยสิ ว่ารนหาที่ยังไง"

"ก็ผมยื่นขอฝึกงานกับเฟท ในตำแหน่งผู้จัดการศิลปินดาราไว้น่ะครับ ก่อนเขาจะเรียกมาสัมภาษณ์"

"น่าสนใจนี่ ปรกติไม่ค่อยมีคนสนใจเป็นผู้จัดการดารากันหรอกนะ เขามองว่าเป็นงานขี้ข้าดารากันน่ะ แล้วไงทำไมถึงอยากทำงานนี้ล่ะ เรียนอะไรมา บริหาร ทรัพยากรบุคคล อะไรทำนองนั้นรึเปล่า"

"เปล่าครับผมเรียนอยู่คณะนิเทศศาสตร์ สาขาสื่อสารการแสดง จบปี 3 กำลังจะขึ้นปี 4"

"แปลกนะ เรียนการแสดง แต่ดันไม่อยากเป็นนักแสดง อยากเป็นผู้จัดการดาราเฉย"

"จริง ๆ ผมก็เคยอยากเป็นนักแสดงนั่นแหละครับ ถึงได้เลือกเรียนทางนี้ แต่ผมก็ได้มาพบความจริงว่า คนที่มาเรียนสายนี้ ทุกคนล้วนมีสิ่งที่ผมไม่มี สิ่งที่เรียกว่า ออร่าซุปตาร์"

"อืม"

ซัทโน้มตัวผ่านช่องตรงกลางมายังเบาะด้านหน้า เพื่อจ้องหน้าของพลูโต ก่อนที่จะกลับไปนั่งตามเดิม

"จริงด้วย ออร่ารอบ ๆ ตัวนายมัน หม่น ๆ หมอง ๆ ดูจืดจางยังไงชอบกล พูดตามตรงฉันรู้สึกตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นนายแล้วล่ะ ฉันนึกว่านายเป็นผีด้วยซ้ำ แต่นายดู...โคตรจะไม่น่ากลัวเลยสักนิด ฉันก็เลยลองทักทายนายดู"

เยี่ยมไปเลย มนุษย์คนที่ 3 ที่มองเห็นฉันตอนที่ยืนอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดไม่จาอะไร กลับเห็นฉันเป็นผีซะงั้น แต่ก็นะ ดีกว่าถูกมองข้ามตามปรกติเป็นไหน ๆ นี่คือคำพูดที่อยู่ในหัวของพลูโต

"แล้วไง เมื่อรู้แบบนั้นแล้ว ทำไมถึงยังเรียนต่อ ไม่ย้ายคณะไปล่ะ"

"นั่นสินะครับ ผมคงรู้สึกไม่อยากยอมแพ้ต่อสิ่งที่ผมรักล่ะมั้ง คือแบบ ต่อให้ผมรู้ตัวว่าไม่มีพรสวรรค์ก็ตาม แต่มันก็คงมีสักอย่างแหละที่ผมทำได้ ถ้าผมยอมแพ้ไปก่อน ผมก็คงหาจุดยืนของตัวเองไม่เจอ"

"แล้วจุดยืนนั้นที่หาเจอ คือการเป็นผู้จัดการดารา?"

"ก็ไม่เชิงครับ เพียงแต่เมื่อราว ๆ ครึ่งปีก่อน มีงานแสดงละครเวทีในมหาลัย ผมไปแคสบทที่เหมาะสมกับตัวเอง พวกต้นไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน อะไรก็ว่าไป แล้วผมก็ได้บทก้อนหินมา แต่ในระหว่างซ้อม มีคนเตะก้อนหิน ซึ่งก็คือผมอยู่ตลอดเวลา จนแสดงกันไม่ได้ ทำให้ผมก็ถูกถอดออกจากบท แล้วก็ไปทำงานหลังเวทีแทน"

"แสดงยังไงให้โดนเตะจนถูกปลดวะน่ะ!"

"นั่นแหละครับปัญหา ผมเป็นแค่ก้อนหิน ที่อยู่ท่ามกลางใบหญ้าที่พลิ้วไหวไปตามลม แน่นอนว่าต่อให้ลมจะแรงแค่ไหน ก้อนหินก็ไม่ขยับ ซึ่งพอผมไม่ขยับ ก็เท่ากับกลายเป็นคนไร้ตัวตน ทุกคนก็เลยมาเดินชน เดินเตะ เดินสะดุด สุดท้ายเพื่อความปลอดภัยของนักแสดงคนอื่น ๆ ผมจึงโดนปลดออกจากบทก้อนหิน"

ได้ฟังแบบนั้น ซัทก็หัวเราะลั่นออกมา

"ตลกว่ะ ฉันเป็นนักแสดงมาตั้งแต่ 7-8 ขวบ ก็พึ่งเคยได้ยินอะไรแบบนี้นี่แหละ"

พูดจบซัทก็หัวเราะขึ้นมาอีกรอบ ทำให้ใบหน้าของพลูโตกระตุกเล็กน้อย จนเห็นได้ชัด

"โอเค โอเค ฉันจะไม่ขำแล้ว เล่าต่อเลยจืด"

พลูโตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หนึ่งครั้ง แล้วจึงเริ่มเล่าต่อ

พอมาอยู่หลังเวที อันแสนวุ่นวาย สิ่งที่ผมได้ทำก็คือการอยู่เฉย ๆ เพราะไม่มีใครสังเกตเห็นผมนั่นแหละ ผมก็เลยเดินไปเรื่อย เพื่อหามุมนั่งอู้ คือยังไงก็ไม่มีใครจิกหัวใช้งานอะไรผมอยู่แล้ว

หลังจากนั่งไปได้สักพัก ก็มีน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาแถวนั้น ในมือถือแผ่นกระดาษมาด้วยปึกหนึ่ง แล้วน้องเขาก็เริ่มซ้อมบทอยู่คนเดียว

จากการนั่งดูน้องคนนั้นซ้อมอยู่เงียบ ๆ ผมจึงได้รู้ว่า น้องคนนั้นได้รับบทนำของเรื่องเป็นอัศวิน แต่น้องเขาเป็นตัวสำรองหมายเลข 2

กล่าวคือ ถ้าไอ้คนแรกที่ได้บทไป กับไอ้ตัวสำรองหมายเลข 1 ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย พร้อมกันจนแสดงไม่ได้ น้องเขาก็ไม่ได้แสดงแน่นอน ซึ่งนั่นทำให้ผมประทับใจมาก เพราะระหว่างที่เดินร่อนเร่ไปทั่ว ผมสังเกตเห็นว่าไอ้คนที่ได้บทไป ผู้ที่กำลังซ้อมอยู่บนเวที มันผิดคิวบ่อยมาก ๆ โดยเฉพาะฉากที่ต้องเล่นแนบชิดกับนักแสดงผู้หญิง ใช่แล้ว ไอ้หมอนี่มันตั้งใจนอกบท เพื่อที่จะได้ลวนลามสาว ๆ

ในขณะที่ด้านหลังเวที ไอ้ตัวสำรองหมายเลข 1 มันไม่ซ้อม ไม่ทำอะไรทั้งนั้น เหมือนกันกับผมนั่นแหละ มันคงคิดว่า ยังไงเสีย มันที่เป็นตัวสำรอง ก็คงไม่มีวันได้ขึ้นไปแสดงหรอก

ด้วยเหตุนี้ผมจึงประทับใจน้องตัวสำรองหมายเลข 2 เอามาก ๆ ความรู้สึกของผมในตอนนั้นก็คือ อยากให้น้องคนนี้ ได้ขึ้นไปแสดงแทนไอ้สองตัวนั้น ว่าแล้วผมจึงแสดงตัวออกไป โดยพูดว่า

"มีอะไรให้ช่วยไหม"

น้องเขาตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงผม ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่ปรกติมาก เพราะผมไม่เคยอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งผมพูด น้องจะตกใจก็ไม่แปลก

น้องตอบรับการช่วยเหลือของผมแต่โดยดี หน้าที่ของผมก็คือช่วยน้องต่อบท เพราะว่าไม่มีใครว่างมาต่อบทกับน้องมัน หรือคนที่ว่างก็เป็นพวกตัวสำรอง ของบทนำอื่น ๆ ที่ยอมแพ้ไปแล้ว จึงไม่ซ้อมไม่ทำอะไรกันทั้งนั้น น้องจึงหลบมาซ้อมอยู่คนเดียว

หลังจากนั้น ทุก ๆ วันผมกับน้องก็จะมาซ้อม มาต่อบทกัน ในมุมเดิม มุมที่ผมตั้งใจจะทำเป็นมุมอู้ส่วนตัวนั่นแหละ จนเวลาผ่านไป หนึ่งเดือน อีกหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น วันแสดงจริงก็จะมาถึง

อาจารย์ที่เป็นคนดูแลการแสดง ขอให้พวกเราทำการแสดงจริงแบบปิด โดยมีอาจารย์คนอื่น ๆ ในคณะมาร่วมชมด้วย ผลคือการแสดงของไอ้คนแรกล่มไม่เป็นท่า อาจารย์จึงให้ไอ้ตัวสำรองหมายเลข 1 มาแสดงแทน แล้วก็เป็นไปตามคาด ไอ้ตัวสำรองหมายเลข 1 ก็แสดงไม่ได้เช่นกัน โอกาสจึงตกมาถึงน้องตัวสำรองหมายเลข 2 ซึ่งน้องทำได้ การแสดงเริ่ม แล้วปิดม่านลงอย่างสวยงาม

อาจารย์ที่เข้ามาชมในวันนั้น ได้พูดคุยปรึกษากัน แล้วมีคำสั่งเด็ดให้น้องตัวสำรองหมายเลข 2 ขึ้นมาแสดงนำแทน แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าแย้ง หรือคัดค้านเลยสักคน นั่นทำน้องดีใจเป็นอย่างมาก แต่ผมนี่แหละที่ดีใจกว่าน้องเสียอีก

"และนั่นคือจังหวะที่ผมค้นพบจุดยืนของตัวเอง ผมอาจจะเป็นนักแสดงไม่ได้ แต่ผมสามารถช่วยผลักดันคนอื่น ๆ คนที่มีความสามารถ และคนที่มีความตั้งใจ ให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุด แทนตัวผมได้ ผมจึงเริ่มสนใจอาชีพ ผู้จัดการศิลปินดาราขึ้นมา แล้วยื่นเรื่องขอมาฝึกงานที่เฟท แต่ผมก็ไม่ได้คาดคิดหรอกนะ ว่าจะได้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวให้กับดาราเบอร์ใหญ่แบบคุณ ผมนึกว่าบริษัทจะส่งผมไปเป็นผู้ช่วยผู้จัดการดารา หรือไม่ก็ไปดูแลเด็กฝึกหัดเสียอีก"

พูดจบพลูโตก็เหลือบไปมองกระจกหลัง แล้วพบว่า ซัทหลับไปแล้ว

"เรื่องของเรามันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ"

พลูโตบ่นพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ขับรถต่อไปอย่างเงียบ ๆ

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

"ถึงแล้วครับคุณซัท คุณซัทครับ"

พลูโตพยายามปลุกซัท โดยใช้เสียงอย่างเดียว ไม่ถึงเนื้อถึงตัว แต่ก็ไม่มีการตอบรับจากเลขหมายที่เขาเรียกเขาจึงต้องขึ้นเสียงเล็กน้อย

"ลุง!"

เพียงคำเดียวเท่านั้น ทำเอาซัทสะดุ้งโหยง

"หะ ถึงแล้วเหรอ"

ซัทพูดด้วยน้ำเสียงหย่อนยาน ทำตาปรือลุกขึ้นมานั่งหลังตรง แล้วหาวไปอีกหนึ่งฟอด

ซัทนั่งหลับตา พยายามกำหนดลมหายใจเข้าออกให้เป็นจังหวะ ไม่ช้าไม่เร็ว และมั่นคง จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาตบแก้มตัวเองเบา ๆ 3 ครั้ง แล้วก็ลืมตาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

"โอเคไปกันได้แล้ว"

ซัทพูดด้วยน้ำเสียงปรกติ ก่อนจะลงจากรถ แล้วเดินนำหน้าพลูโตเข้าไปยังสนามยิงปืน

เมื่อมาถึงหน้าเคาน์เตอร์ต้อนรับ ซัทยื่นบัตรสมาชิกให้พนักงานสาว

"แล้วก็สมัครสมาชิกใหม่ ให้นายจืดด้านหลังผมด้วยครับ 1 ปี 1 พันใช่ไหมครับ"

พูดจบซัทก็หยิบเงินมาวางไว้บนเคาน์เตอร์

พนักงานสาวยังไม่ได้รับเงินมาแต่อย่างใด เธอกลับมองไปยังด้านหลังของซัทด้วยความสงสัย

"สวัสดีครับ"

พนักงานสาวสะดุ้งจนตัวโยกทันที หลังจากได้ยินคำทักทายของพลูโต ก่อนจะหันกลับไปพูดกับซัท

"ใช่ค่ะ ค่าสมาชิกตอนนี้ 1 ปี 1 พัน รอสักครู่นะคะ"

พูดจบพนักงานก็หันหลังไป ทำอะไรบางอย่าง

"ไม่ต้องสมัครให้ผมก็ได้นะครับคุณซัท คือผมไม่ยิงปืนอยู่แล้ว"

"แต่ถ้าไม่สมัคร ก็เสียค่าเข้าไปข้างในอยู่ดี"

"งั้นไม่เป็นไรครับ ผมรอในรถก็ได้"

"กฎ 2 ข้อ"

ซัทยืนกรานเสียงแข็ง พูดช้า ๆ ชัด ๆ น้ำเสียงฟังดูน่ากลัวมาก

"ครับเข้าใจแล้วครับ"

จากนั้นพนักงานสาวก็หันหลังกลับมาหาพวกเขาทั้งสอง

"นี่ค่ะรบกวนกรอกข้อมูลในนี้นะคะ กฎการใช้บริการ และสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิกอยู่ด้านหลังค่ะ เมื่อหรอกข้อมูลเสร็จแล้ว ให้มายื่นตรงนี้นะคะ แล้วเดี๋ยวจะพาไปถ่ายรูปทำบัตรให้ค่ะ"

พลูโตรับเอกสาร กับปากกา ที่พนักงานสาวยื่นมาให้ แล้วค่อย ๆ อ่านมันอย่างตั้งใจ

"เสร็จแล้วก็ขับรถกลับบ้านของตัวเอง ไปขนเสื้อผ้ามานะ แล้วสัก 3 4 โมง ค่อยขับรถกลับมารับฉันแล้วกัน"

เมื่อได้ยินคำสังของซัท พลูโตก็พูดครับ ตอบรับอย่างไว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกา ที่แขวนอยู่บนผนังด้านหลังเคาน์เตอร์ ตอนนี้เกือบจะเที่ยงแล้ว ทันใดนั้นเอง พลูโตก็เหมือนจะฉุกคิดบางอย่างได้

"เดี๋ยวก่อนครับคุณซัท"

พลูโตเอ่ยห้ามซัท ที่กำลังจะเดินหายวับไป ซัทจึงหันหลังกลับมาคุยกับเขา

"คือ ทำไมผมต้องกลับบ้านไปเอาเสื้อผ้ามาด้วยล่ะครับ"

"นี่นายยังไม่ได้อ่านมันใช่ไหมเนี่ย"

ซัทพูดด้วยท่าทางหงุดหงิด

"อ่าน..."

พลูโตเหลือบไปมองเอกสารในมือ

"อ๋อ กำลังอ่านอยู่ครับ"

"ไม่ใช่อันนั้น"

พูดจบซัทก็ถอนหายใจออกมา

"คือพี่สาวฉัน ไม่ได้ทิ้ง ไม่ได้ฝากอะไรไว้ให้นายเลยรึไง"

คำพูดของซัท ทำพลูโตคิดหนัก เขาพยายามทบทวนความจำ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า

"มีครับ กระเป๋าเป้"

"นั่นแหละ ไปเปิดดูซะ แล้วจะเข้าใจเอง"

พูดจบซัทก็เดินหายวับไป แล้วทิ้งความสงสัยไว้ให้อยู่กับพลูโต

หลังจากนั้นพลูโตก็จัดการกรอกเอกสาร ถ่ายรูปทำบัตรสมาชิกจนเสร็จเรียบร้อย ทันทีที่เขาได้บัตรสมาชิกมาไว้ในครอบครอง เขาก็รีบตรงดิ่งกลับไปที่รถทันที

พลูโตนั่งอยู่หลังพวงมาลัย แล้วหยิบกระเป๋าเป้ที่อยู่บนเบาะข้างคนขับขึ้นมาเปิดดู แล้วก็พบว่าข้างในมีทั้งโทรศัพท์ ทั้งแท็บเล็ต รวมถึงกองเอกสารอีกปึกหนึ่ง เขาจึงหยิบเอกสารขึ้นมาดู ก่อนจะพบว่าใบแรก เป็นตารางงานเดือนนี้ของซัท เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงรีบติดเครื่อง แล้วขับรถออกไปอย่างรวดเร็วทันที

.......โปรดติดตามซีนต่อไป.......