webnovel

chapter 8.1

บทที่ 8

[นับหนึ่ง]

ผมตาโตเปิดดูรูปในอัลบั้มเล่มใหญ่อย่างตื่นเต้นหัวใจแทบจะกระเด็นออกมา กวาดตามองดูรูปถ่ายในอัลบั้มช้าๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจนี้

ในอัลบั้มมีรูปถ่ายของผมเยอะมาก รูปคู่กับควินซ์ก็ไม่น้อยซึ่งทำเอาผมเอ๋อไปนิดหนึ่งเหมือนกันเพราะแต่ละรูปมันโคตรใกล้โคตรชัดเหมือนคนถ่ายจะเป็นเพื่อนในกลุ่ม

ควินซ์ให้เพื่อนในกลุ่มตามถ่ายรูปผมกับมันงั้นเหรอ?

ยังไม่ทันได้ทำความเข้าใจกับความคิดของตัวเอง อัลบั้มรูปในมือก็ถูกชิงกลับไป ผมขมวดคิ้วยุ่งแล้วหันไปเลิกคิ้วใส่เจ้าของอัลบั้มรูปที่ตอนนี้ยืนหน้าบึ้งหน้าแดงก่ำราวกับลูกมะเขือเทศ

"หน้าแดงเชียว" แววตาของผมยิ่งเป็นประกายเตรียมจะยื่นมือไปลูบอย่างอดใจไม่ไหวแต่อีกฝ่ายกัลบปัดทิ้งอย่างไร้เยื่อใจ

แต่ผมไม่โกรธกลับยิ่งเบิกบานใจ

แหม คนมันเขินก็ต้องทำเป็นหงุดหงิดทำเป็นโกรธอยู่แล้ว

"ไม่มีมารยาท! ใครอนุญาตให้มึงรื้อห้องกู!" ควินซ์ตะคอกใส่ผมอย่างรุนแรงแล้วหมุนตัวรีบเอาอัลบั้มรูปไปเก็บใส่ลิ้นชักทันทีแถมมันยังล็อกกุญแจด้วย!

"เฮ้ย กูยังดูไม่หมดเลยนะ" ผมนิ่วหน้าโวยวายอย่างไม่ยอม

เออ เมื่อกี้เพิ่งดูได้เจ็ดแปดหน้าเอง

แล้วสมุดอัลบั้มรูปเมื่อกี้มันหนาเป็นร้อยๆ หน้าเลยนะ!

"ไม่ให้ดู ออกไป!" หลังจากเก็บสมุดหลีกหนีผมได้แล้วก็หันมาไล่ผมออกจากห้องด้วยใบหน้าแดงเถือก

"เดี๋ยวสิควินซ์ ขอดูอีกหน่อยนะๆๆ" อุตส่าห์หาหลักฐานได้แล้วเชียวว่าควินซ์เคยชอบผมและตอนนี้ก็ยังคงชอบผมอยู่ ใช่ ต้องชอบผมอยู่แน่ๆ ไม่งั้นคงไม่รีบเก็บอัลบั้มรูปหรอก

"ฝันไปก่อนเถอะ!"

ความหวังที่ได้มากะทันหันทำให้ผมอารมณ์ดีซะจนไม่ว่าควินซ์จะฉุดกระชากลากหยิกตีแขนผมยังไงก็ไม่โกรธ ไล่เป็นหมูเป็นหมาก็ได้แต่ยิ้มโง่งมตอบไป

"ควินซ์..."

"ไสหัวไป!"

ปัง! โครม!

"โอ๊ย!" กำลังล่องลอยอยู่กับความสุขเป็นอันต้องได้สติกลับมาเพราะความเจ็บร้าวบนจมูก

ผมยกมือขึ้นกุมจมูกพร้อมกับหลับตาไปครู่หนึ่งเพราะมันเจ็บจนน้ำตาซึมเลย อันที่จริงควินซ์ผลักผมออกมาห่างจากประตูแล้วแต่ดันมีไอ้หน้าโง่เดินเข้าหาประตูเลยทำให้ประตูมันกระแทกจมูกเต็มๆ

สัมผัสเหนียวๆ ลื่นๆ แถมยังอุ่นร้อนในอุ้งมือไม่ต้องมองดูก็รู้ว่าเป็นเลือดแถมยังไหลเป็นก๊อกอีก อีกไม่นานคงหยดลงพื้น

เพราะเสียงร้องดังลั่นบ้านของผมเลยทำให้ควินซ์รีบเปิดประตูออกมาดู เมื่อเห็นผมเลือดกำเดาไหลเป็นก๊อกยิ่งหน้าซีดตกใจซะยิ่งกว่าตัวผมอีก

"บ้าเอ๊ย!" ร่างเพรียวบางสบถอย่างโมโหแล้วรีบลากผมกลับไปนั่งพักในห้อง "ใครใช้ให้มึงเอาหน้ามาใกล้ประตู หา!"

"..." ผมที่ใช้ตัวเองให้ชนประตู

"อยู่นิ่งๆ ไม่ต้องเงยหน้า หายใจทางปาก" ควินซ์สั่งเป็นชุดขณะเดินหาทิชชูจ้าละหวั่นอย่างตื่นตระหนกปนเครียด "เลือดออกเยอะชิบ"

"ไม่เป็นไรหรอก"

"หุบปาก!"

"..." ครับ หุบปากครับ

ควินซ์ขมวดคิ้วยุ่งแล้วเช็ดเลือดตามมือตามคางให้ก่อนจะยัดทิชชูใส่มือไว้ให้ผมซับเลือดส่วนควินซ์ก็ลงไปข้างล่างน่าจะไปหาน้ำแข็งมาประคบแน่ๆ

ไปอยู่นานเกือบห้านาทีสิบนาทีก็ยังไม่ขึ้นมา เลือดกำเดาของผมก็ยังไม่หยุดง่ายๆ กำลังคิดจะลุกลงไปดูควินซ์ก็ได้ยินเสียงเปิดประตูพอดี ผมเลยชะงักค้างอยู่ในท่าเตรียมจะลุก

ควินซ์ถลึงตาใส่ผม "ใครใช้ให้มึงลุก! กูสั่งให้นั่งนิ่งๆ ไม่ใช่รึไง!"

"..." ทำไมกูทำอะไรก็ผิดวะ

"เลือดยังไม่หยุดเหรอ" คนตัวเล็กกว่าเดินเข้ามาดูใกล้ๆ อย่างกังวลแล้วหันไปดูกองทิชชูชุ่มเลือดยิ่งหน้าเครียด "ไปโรงพยาบาลมั้ยมึง"

ผมนิ่วหน้า "กูไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น"

"ปีนั้นใครหัวแตกแล้วต้องไปนอนให้เลือดที่โรงพยาบาลไม่ทราบ" นัยน์ตาสวยตวัดมองอย่างดุๆ แล้วจัดแจงให้ผมนอนลงก่อนจะเอาน้ำแข็งมาประคบบนจมูกให้

"อันนั้นกูอ่อนเพลียด้วย!" สีหน้าซีดเซียวของผมพลันร้อนวูบขึ้นมาด้วยความอับอาย

"อ้อเหรอ" ลากเสียงกวนประสาทอย่างไม่เชื่อก่อนจะถามเสียงอ่อนลง "ตอนนี้รู้สึกยังไง เวียนหัวมั้ย มึนหัวรึเปล่า"

เห็นท่าทีโอนอ่อนไม่มีความโมโหเกรี้ยวกราดแล้วดวงตาของผมเป็นประกายขึ้นมาก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นร่างกายของผมก็อ่อนปวกเปียกขึ้นมาทันควัน

"เหมือน...จะมึนหัวหน่อยๆ" ว่าเสียงเบาหวิว

ท่าทางอ่อนแอของผมยิ่งทำให้ควินซ์ขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด

"รอดูอีกสักพัก ถ้าเลือดไม่หยุดก็ไปโรงพยาบาล" ว่าที่เมียของผมว่าเบาๆ แล้วนั่งลงริมเตียงก่อนเอื้อมมือหยิบทิชชูเปียกมาเช็ดตามคางของผมซ้ำ

หัวใจของผมเต้นไม่เป็นสับกับการกระทำแสนอ่อนโยนและใส่ใจ

เหมือนมีใครมาจุดดอกไม้ไฟในอกไม่มีผิด

ยิ่งควินซ์ดูแลใส่ใจอ่อนโยนผ่อนปรนให้ผมมากเท่าไร

มันก็แปลว่าควินซ์ชอบผม

โห ดูแลผมขนาดนี้คงคิดแค่เพื่อนมั้ง

อันที่จริง...ผมอยากจะตบกะโหลกตัวเองเหมือนกัน เพราะไอ้เรื่องที่ควินซ์ดูแลผมทุกระเบียบนิ้วใส่ใจทุกรายละเอียดแบบนี้ เขาก็ทำมาโดยตลอด

แต่ผมกลับเห็นมันเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ธรรมดา เรียบง่ายจนมองข้ามอย่างที่นับสองบอก

และเมื่อพอคิดว่าวันหนึ่งจะไม่มีควินซ์มาดูแลหรือจินตนาการว่าควินซ์กำลังดูแลคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเองแล้วยิ่งหน้าซีดเผือด หัวใจสั่นระรัวด้วยความหวาดกลัว

"สีหน้าไม่ดีเลย ไปโรงพยาบาลมั้ยนับหนึ่ง" ท่าทางผิดปกติของผมเรียกความสนใจจากควินซ์อีกครั้ง "หน้าซีดกว่าเดิมอีก แต่เลือดกำเดาเหมือนจะหยุดแล้วนะ หรือ...เสียเลือดเยอะ?"

กูซีดเพราะกูกลัววันเวลาที่ไม่มีมึงต่างหาก!

ผมตะโกนอยู่ในใจเพราะรู้ว่ามันน่าอายเกินไปที่จะพูดอะไรแบบนี้ออกไป ผมก็เขินเป็นนะ!

"ไม่เป็นไร" พยายามพูดด้วยน้ำเสียงมั่นคงแต่ยังคงไว้ท่าทีอ่อนแอ "เลือดก็หยุดแล้ว พักอีกแป๊บก็โอเค"

ควินซ์ใจอ่อนกับผมเวลาทำตัวป่วยๆ ที่สุด!

ดังนั้นตอนนี้ต้องทำตัวกระเซอะกระแซะอ่อนแรงไปก่อน!

"เอางั้นเหรอ" ควินซ์ทำหน้าไม่วางใจนักแต่ก็ไม่ได้จุกจิก "ลงไปกินข้าวไหวมั้ย หรือจะให้ยกขึ้นมา"

คิ้วผมกระตุกนิดหน่อย "เดี๋ยวลงไปกิน มึงเก็บของต่อเถอะ"

"อืม" ควินซ์พยักหน้าเบาๆ แล้วหยิบน้ำแข็งที่ประคบออกแล้วเอาทิชชูมาเช็ดคราบน้ำให้ "ถ้ารู้สึกไม่ดีก็บอก ไม่ต้องฝืนทำเก่ง"

"เป็นห่วงกูอ่ะดิ" ผมฉีกยิ้มยักคิ้วให้

"ใช่"

เฮ้ย... ผมอ้าปากค้างก่อนจะสะดุดกับรอยยิ้มร้ายๆ

"ถ้ามึงเป็นอะไรไปแล้วใครจะจ่ายเงินเดือนให้กู" ลุกขึ้นแล้วว่าเสียงเครียดแววตารื่นเริงใจ "สมัยนี้งานหายากจะตาย มึงอย่าเพิ่งรีบเป็นอะไรไปสิ กูยังผ่อนบ้านไม่หมด"

"ควินซ์!!"

"ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า" เสียงหัวเราะทุ้มใสกังวานทำเอาอารมณ์โมโหของผมลดไปครึ่งแล้วเผลอมองเหม่อไปกับรอยยิ้มสวยของอีกฝ่าย

...เมื่อก่อนก็พอรู้อยู่หรอกว่าควินซ์หน้าตาดีมากแล้วยังค่อนไปทางสวยนิดๆ แต่ผมคิดว่ามันก็หน้าตาธรรมดาปกติแต่ไม่รู้ทำไมตอนนี้ไม่ว่าจะมองทางไหนมุมไหน

ก็พบว่า...ว่าที่เมียผมน่ารักจริงๆ นะ

แบบนี้เขาเรียกว่าในสายตาคนรักงามดั่งไซซีรึเปล่านะ

ใบหน้าของผมซับสีแดงขึ้นมาจึงทำเป็นเบือนหน้าไปทางอื่นแล้วทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจออกไปเพื่อกลบเกลื่อนความวาบหวามในอก ควินซ์เห็นว่าแหย่ผมได้แล้วก็อารมณ์ดีหันกลับไปเก็บของต่อแถมยังฮัมเพลงอีกบ่งบอกถึงอารมณ์ดีสุดขีด

เอาเถอะ ถ้าควินซ์อารมณ์ดีเพราะผมก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอ

เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้และในที่สุดควินซ์ก็เก็บของเสร็จ ตัวผมเองเริ่มมีสีบนหน้าขึ้นบ้างแล้ว ความจริงผมแอบมึนหัวขึ้นมาจริงๆ อยู่เหมือนกันแต่ได้พักครู่หนึ่งจึงอาการดีขึ้น

ในครอบครัวนอกจากนับสองที่มีกรุ๊ปเลือดพิเศษแล้วก็มีผมที่มีปัญหาเรื่องโลหิตจางแถมยังเป็นหนักด้วย เลือดออกนิดๆ หน่อยๆ ก็หมดเรี่ยวแรงต้องพักผ่อนไปสองสามวัน ถ้าเลือดออกเยอะก็ต้องไปนอนโรงพยาบาล

แน่นอนว่าคนที่ไปเฝ้าผมนอนโรงพยาบาลก็ต้องเป็นควินซ์อยู่แล้ว

เนี่ย... พอผมมานั่งคิดนั่งทบทวนสิ่งที่ควินซ์ทำให้ตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันแล้วยิ่งค้นพบว่า...คนคนนี้ดูแลผมเกินคำว่าเพื่อนมาตั้งนานแล้ว

ผมนี่มันไอ้โง่จริงๆ รู้ตัวช้าชิบหาย

แต่โชคยังดีที่ผมยังไม่โง่เกินเยียวยา ไม่งั้นคงได้เสียใจไปตลอดชีวิตแน่ๆ

"นับหนึ่ง!"

"หะ หา" ผมกะพริบตาปริบๆ หลุดจากห้วงภวังค์ความคิด "เรียกกูเหรอ"

"เออ เรียกตั้งนานไม่ตอบ" คิ้วสวยย่นเข้าหากัน "กูถามว่าบอกพ่อบ้านให้เก็บของแล้วใช่มั้ย"

"อ้อ โทรไปบอกแล้ว" ตอบกลับไปเสียงเบาแล้วตักข้าวเข้าปาก ตอนนี้พวกเรากำลังนั่งกินข้าวเย็นอยู่ครับ กับข้าวมันเย็นแล้วแต่ควินซ์เอาไปอุ่นมาให้เรียบร้อยแล้วจึงไม่รู้สึกว่ามันเย็นชืดไม่อร่อย

ฝีมือทำอาหารของผมออกจะอร่อย ต่อให้มันเย็นก็อร่อยเถอะ!

"ตอนนี้สามทุ่มแล้ว" ควินซ์ดูเวลาแล้วรีบกินข้าว "กว่ามึงจะไปถึงบ้าน อาบน้ำอีกเดี๋ยวก็ตกเครื่องพอดี"

"อันที่จริงใช้เครื่องบินส่วนตัว..."

"นั่นมันของพี่ออสติน!" เลขาหน้าสวยถลึงตาใส่ผม

"ของพี่ก็ของกูมั้ย" ผมถลึงตากลับ "พี่เขาอยากให้กูใช้จะตาย กำหนดมาอีกปีหนึ่งต้องใช้เครื่องบินเขาห้าครั้งเป็นอย่างต่ำ! ถ้าไม่ใช้ไม่ถึงเดี๋ยยวมานั่งตัดพ้ออีก"

เออ ปีนี้เพิ่งใช้ไปแค่สองครั้งเอง

คนตรงข้ามทำหน้าทุกข์ใจ "บางทีมีพี่ชายเป็นบราค่อนก็เป็นเรื่องทุกข์ใจ"

มันก็จริงแต่ผมไม่รู้สึกว่าการที่ผมบราค่อนนับสองเป็นเรื่องชวนทุกข์ใจให้นับสองนะ (นับสอง : ถามผมก่อนมั้ยว่าทุกข์ใจรึเปล่า!) แต่ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้างเวลาพี่ออสตินใส่ใจผมอย่างหนัก

ปกติเวลาอยู่กับพี่ไอศูรย์มา เขาก็ไม่ค่อยได้ประคบประหงมแสดงออกอะไรมากเพราะอายุเราก็ไล่ๆ กัน แต่พอตัวเองถูกพี่ใหญ่อย่างพี่ออสตินดูแลตามใจก็เลยรู้สึกไม่ชินขึ้นมา

หรือบางทีได้รับความรักมากไปก็อึดอัด...แล้วนับสองจะรู้สึกยังไง ถูกพี่ชายสามคนทะนุถนอมประคองไว้บนฝ่ามือขนาดนี้ อืม ผมว่าน้องต้องพอใจและดีใจแหละ!

(นับสอง : อย่าคิดเองเซ่! ถามผมด้วย!)

หลังจากกินข้าวเสร็จอย่างรวดเร็ว ผมจะช่วยควินซ์ล้างจานแต่อีกฝ่ายขู่ฟ่อแล้วยกวีรกรรมเก่าผมขึ้นมาพูด

"สามเดือนก่อน มึงทำจานแตกทั้งหมดยังไม่พอใจเหรอ! ออกไปๆ กูล้างเอง!"

เหมือนผมจะเคยทำจานแตกจริงๆ แต่นั่นเป็นจานที่ห้องคอนโดผม เมื่อถูกไล่ออกมาเลยต้องเปลี่ยนเป้าหมายเป็นเอาขยะไปทิ้งข้างนอกบ้านแทน

จะว่าไปนับสองที่ถูกเลี้ยงดูราวกับไข่ในหินยังทำอะไรๆ เป็นมากกว่าผมซะอีก เพราะเคยชินกับมีแม่บ้านมีพ่อบ้านตั้งแต่เด็ก มีอะไรก็เรียกใช้เลยเป็นเหตุให้ผมบกพร่องในเรื่องใช้ชีวิตไปพอสมควร

แต่บกพร่องแล้วไง มีควินซ์ดูแล!

ทำอะไรไม่เป็นก็ให้เมียสุดที่รักทำสิ ฮ่าๆๆ

ยกยิ้มพึงพอใจแล้วกลับเข้ามาในบ้านก็ช่วยควินซ์ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นรถผม จากนั้นคุณเจ้าของบ้านก็ตรวจสอบดูความเรียบร้อยสับคัทเอ้าท์ปิดล็อกบ้านเสร็จเป็นอันขึ้นรถไปบ้านของผมต่อ

"นี่ถุงอะไร" ควินซ์หยิบถุงอะไรสักอย่างขึ้นมาจากเบาะข้างคนขับ

ผมนึกเล็กน้อย "อ้อ น้ำหอมๆ" แล้วพูดต่อ "ไนน์ให้กูเอามาให้"

"อ้อ" พยักหน้าหงึกหงัก "น้องไนน์นี่น่ารักจริงๆ ไปเที่ยวไหนก็หาของมาฝากตลอด"

"ตอนกูซื้อของให้ไม่เห็นชมกูบ้างอ่ะ" ว่าอย่างน้อยใจ

"มึงซื้ออะไรให้กู"

"..." เอ่อ จะว่าไปผมได้ซื้ออะไรให้ควินซ์เป็นพิเศษรึเปล่า

ท่าทางอึกอักพูดไม่ออกของผมทำเอาควินซ์ฉีกยิ้มเย็นไม่วายไล่ต้อน "สามเดือนก่อน เราไปฮอลลีวูด มึงซื้ออะไรให้กู"

เหงื่อเย็นๆ ไหลซึมตามขมับ "เหมือน เหมือนจะไม่มี" มือกำพวงมาลัยแน่นขึ้นและในใจอดไม่ได้ที่จะโอดครวญอย่างแรง

"ไม่มีของให้แล้วมึงจะเอาคำชมไปทำแป๊ะซะเหรอฮะ"

ผมหน้าแดงอย่างอับอาย "ก็ ก็ฮอลลีวูดมันไม่ได้มีของอะไรน่าสนใจให้ซื้อนี่!"

"เหอะ" เสียงหัวเราะหยามหยันบ่งบอกอารมณ์ขุ่นมัวทำให้ผมนิ่วหน้าเครียดขึงขึ้นมา "ตั้งใจขับรถไป มองทางไม่ต้องมามองหน้ากู"

ว่าอย่างเผด็จการเสร็จก็เลิกสนใจผมไปโดยปริยาย

ไอ้น้ำหอมเวรนั่นมันน่าสนใจกว่าผมตรงไหน!

ไม่ได้แล้ว

ผมต้องรีบหาของขวัญมาให้ควินซ์ประทับใจแล้ว!

และต้องมากกว่าของที่คนอื่นให้ด้วย!

ยิ่งตลอดทางเห็นควินซ์เอาแต่ชื่นชอบลูบไล้ไอ้ขวดน้ำหอมพวกนั้นที่ไนน์ซื้อมาแล้วยิ่งไม่สบอารมณ์ ในใจหมายมั่นปั้นมือว่าถ้าไปถึงฮ่องกงเมื่อไรจะซื้อของมันให้ทั้งเกาะฮ่องกงเลย!

ใช้เวลาเกือบสี่สิบนาทีก็เป็นอันถึงจุดหมายปลายทางอย่างบ้านผม ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านสักคนเลยเงียบกริบดูวังเวงชอบกล พอเห็นบ้านเป็นแบบนี้แล้วทำให้นึกถึงสมัยที่ผมมีปัญหากับนับสองด้วยเรื่องที่ผมไม่ค่อยมีเวลาแล้วน้องต้องอยู่บ้านคนเดียว

มันก็จริงนะ...บ้านหลังนี้มันใหญ่มากต่อให้มีพ่อบ้านอยู่เป็นสิบยี่สิบคนก็เติมเต็มมความรักความอบอุ่นไม่ได้เพราะยังไงก็ไม่ใช่คนในครอบครัว

แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว บ้านแสนอ้างว้างเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นและเสียงหัวเราะตบตีอย่างรักใคร่ ไม่มีใครต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวอีกต่อไป

ไม่อยากจะคิดถึงช่วงเทศกาลเลย จัดปาร์ตี้กันทีบ้านแทบพัง

"ตามสบายนะ ควินซ์" พูดกับคนข้างกายอย่างเคยชิน "จะเอาอะไรก็บอกพ่อบ้าน"

"รู้แล้ว มึงไปอาบน้ำเถอะ" โบกมือไล่แล้วหันไปคุยกับพ่อบ้าน "กระเป๋านับหนึ่งจัดแล้วใช่มั้ย ดี งั้นเอาไปใส่รถเลย อ้อ กระเป๋าผมอยู่ท้ายรถนับหนึ่งด้วย มีห้าใบนะ ขอบคุณ"

เห็นควินซ์สั่งคนของบ้านผมเป็นการเป็นงานแล้วก็พยักหน้าพอกพอใจ

จะมาเป็นเมียก็ต้องทำงานทำการสั่งคนเป็นแบบนี้แหละ

ยิ้มเต็มใบหน้าพลางเดินขึ้นบ้านอย่างอารมณ์ดี เมื่อเข้าห้องไปแล้วก็ชาร์จแบตโทรศัพท์ก่อนแล้วค่อยเข้าไปอาบน้ำอาบท่า ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็มก็อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย

พอลงมาข้างล่างต้องชะงัก...

"กลับมาแล้วเหรอ" ถามอย่างงุนงง "ไหนพี่บอกจะกลับเดือนหน้าไง"

"ฉันอยากกลับมาตอนนี้ แกมีปัญหารึไง!" คนตรงหน้าที่กำลังหน้าตึงอยู่จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพี่ไอศูรย์ผู้แสนเกรี้ยวกราด

ผมถอยหลังมาสองก้าวให้มีระยะปลอดภัย "เปล่า ไม่มี"

"แล้วนี่แกจะไปไหน" พี่ชายคนรองขมวดคิ้วกวาดตามองดูผมเล็กน้อยพลางถอดเสื้อโค้ตสีดำส่งให้พ่อบ้าน "คนอื่นๆ ไปไหนหมด ทำไมบ้านเงียบขนาดนี้"

"พี่ออสตินกับไนน์ไปบรูไน ส่วนนับสองกับเก้าไปเชียงใหม่" ชี้นิ้วมาที่ตัวเอง "และผมกำลังจะไปจีน"

สรุปพี่มึงกลับมาผิดเวลาแล้วครับ

ไม่เหลือคนอยู่บ้านสักคน

"อะไรวะ! นับสองก็ไม่อยู่เหรอ" หน้าตาเคร่งขรึมพลันเปลี่ยนสีทันที "น้องไปไหน"

"ไม่รู้" นับสองไม่ได้บอกไว้ก็เลยไม่รู้แต่ถึงรู้คงไม่บอกหรอก เหอะๆ ขืนปล่อยให้พี่ไอศูรย์ตามนับสองไป แล้วไปเอาอกเอาใจน้องจนน้องมันรักพี่ไอศูรย์มากกว่าผมขึ้นมาแล้วผมจะทำไง!

ไม่ได้ๆ นับสองต้องรักผมมากกว่า!

"ช่างเถอะ กูคงอยู่บ้านแค่อาทิตย์เดียว" คนตัวสูงยกมือขึ้นนวดขมับแล้วโบกมือให้พ่อบ้านเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ

"มีปัญหาอะไรรึเปล่า" ดูสีหน้าท่าทางไม่ค่อยดีเท่าไร

พี่ไอศูรย์ส่ายหัวแล้วขอตัวขึ้นไปพักผ่อน พอดีกับควินซ์ที่เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมกับจานผลไม้ เห็นทำท่าจะทักพี่ไออยู่เหมือนกันแต่พอเห็นท่าทางมืดหม่นของเฮียแกแล้วเลยเลือกยืนเฉยๆ แทน

รอจนร่างสูงคนผมยาวลับตาไปแล้วควินซ์จึงเดินมาใกล้ผม "พี่ไอทะเลาะกับปีแอร์มาอีกแล้วรึเปล่า"

"มีวันไหนสองคนนั้นไม่ทะเลาะกันบ้าง" ผมไหวไหล่อย่างไม่สนใจ

เรื่องนี้ค่อนข้างปกติทีเดียว เวลาพี่ชายคนนี้กลับบ้านมาแบบไม่มีปี่ไม่ขลุ่ยมักจะเป็นเพราะทะเลาะกับปีแอร์เสมอ คิดว่าครั้งนี้คงไม่ต่างกัน

"กินมั้ย" ควินซ์ละสายตาจากชั้นสองของบ้านแล้วยื่นจานผลไม้ให้ผม "แต่กินหน่อยก็ดี"

"..." เหมือนถูกบังคับยังไงไม่รู้สิ

ผมหยิบแตงโมเข้าปากแล้วหันไปดูนาฬิกาบนผนังบ้านเล็กน้อย "ไปสนามบินเลยมั้ย"

ควินซ์เหลือบมองเวลาบ้างแล้วพยักหน้าไม่พูดอะไรเพียงเดินออกจากบ้านพร้อมอุ้มจานผลไม้ไปกินบนรถด้วย ผมเดินตามหลังไปเงียบๆ กับรอยยิ้มมุมปากเมื่อคิดถึงแผนการท่องเที่ยวในจีนหนึ่งเดือนต่อจากนี้

พวกเรามาถึงสนามบินเกือบเที่ยงคืนหลังจากตรวจนั้นตรวจนี่เช็กอินโหลดกระเป๋าก็ปาไปเที่ยงคืนครึ่งแล้ว ระหว่างนั่งรอขึ้นเครื่อง ควินซ์ก็นั่งจดลิสต์ของที่อยากได้ในฮ่องกงอย่างเพลิดเพลินอยู่ข้างๆ ผม

"เสื้อตัวนี้สวย" ผมชะโงกหน้าดูในไอแพดแล้วชี้ไปที่เสื้อไปรเวทสีอ่อน

"เลือกสีสดใสหน่อยไม่เป็นรึไง" คนบ้าช้อปปิ้งถลึงตาใส่อย่างตำหนิก่อนจะก้มดูในไอแพดเลื่อนหน้าสินค้าช้าๆ แล้วโชว์ให้ผมดู "กูว่าสีนี้เหมาะกว่า"

"จริงเหรอ"

"เชื่อสายตากูเถอะ ดีกว่ามึงเยอะ" ก็ไม่จำเป็นต้องเหน็บแนมมั้ย!

ผมไม่อยากทำให้ควินซ์อารมณ์เสียจึงเออออตามน้ำหมด เฮ้อ มีเมียเลือกเสื้อผ้าให้นี่มันดีจริงๆ เลย แววตาที่ผมใช้มองเขายิ่งหวานเยิ้มเคลือบน้ำตาลมากขึ้น

เสื้อผ้า น้ำหอม ของกระจุกกระจิกมากมายถูกลิสต์ลงรายการไปกว่าห้าสิบชิ้นอย่างรวดเร็ว พอเลือกของที่จะซื้อเสร็จก็เปลี่ยนไปดูร้านอาหารขึ้นชื่อต่อด้วยสถานที่ที่มีชื่อเสียง

ยังไม่ทันได้ดูสถานที่ท่องเที่ยวพลันได้ยินเสียงประกาศขึ้นเครื่องก่อน

เลขาข้างกายเก็บไอแพดลงกระเป๋าถือก่อนจะหยิบพาสปอร์ตตั๋วเครื่องบินส่งมาให้ผมจากนั้นไปตรวจตั๋วครั้งสุดท้ายและเดินขึ้นเครื่อง…

เมื่อได้นั่งแล้วก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายนิดๆ มองซ้ายมองขวาอยู่พักหนึ่ง พอเครื่องบินเริ่มขึ้นได้ยิ่งรู้สึกกระสับกระส่ายมากขึ้นจนกระทั่งควินซ์เอายามาให้ผมเม็ดหนึ่งจึงสงบขึ้นและค่อยๆ ห่มผ้าให้ผม ดันตัวผมเอนตัวนอน

"หลับสักตื่นเถอะ เดี๋ยวคงถึงฮ่องกงแล้ว"

"อืม" ผมตอบรับเบาๆ และปิดเปลือกตาลง

"ตื่นแล้ว พรุ่งนี้ไปเที่ยวกัน"

น้ำเสียงอ่อนโยนทำให้ผมผ่อนคลายมากขึ้น ใช้เวลาไม่นานสติของผมคก็เริ่มดำดิ่งลงสู่ความมืด...

ตื่นมาก็จะได้ไปเดทกับควินซ์แล้ว...ดีใจจัง