webnovel

chapter 8.2

[ควินซ์]

ผมมองคนหลับสนิทด้วยแววตาเคร่งเครียดก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

ขยับตัวกลับมานั่งที่ของตัวเองพร้อมกับมองกระปุกยาขวดเล็กในมืออยู่เกือบนาทีจากนั้นจึงยัดมันลงกระเป๋าถือใบโปรดก่อนจะเมินมองไปนอกหน้าต่าง

...นับหนึ่งเป็นโรคกลัวเครื่องบิน

แต่นี่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากแล้ว... ความจริงนับหนึ่งไม่ได้กลัวการขึ้นเครื่องบบินตั้งแต่แรกแต่มีสาเหตุที่ทำให้เขาจิตใจเขากระทบกระเทือนหนักในระยะเวลาหนึ่ง

สาเหตุเหรอ...ผมยกยิ้มเย็นเผลอกำหมัดแน่นขึ้น

พ่อบัดซบของนับหนึ่งไง!

ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เสฉวนครั้งนั้นนอกจากทำร้ายนับสองจนบอบช้ำแล้วยังรวมถึงนับหนึ่งด้วยเช่นกัน ไม่ใช่แค่นับสองที่ต้องพบจิตแพทย์ยังมีนับหนึ่งด้วยแต่เรื่องนี้มีแค่ผมเท่านั้นที่รู้

เรื่องที่กลัวเครื่องบินเป็นเพราะนับหนึ่งยืนกรานจะไม่กลับไทยจนกว่าจะหานับสองเจอ ต่อให้พบแต่ร่างไร้วิญญาณก็จะพากลับไปพร้อมกันแต่คนที่ได้ชื่อว่าพ่อชั้นเลวคนนั้นกลับบังคับสั่งให้คนมัดตัวนับหนึ่งกลับไทย

จับมัดคือมัดเชือกลากขึ้นเครื่องบินจริงๆ

เพราะการถูกบีบบังคับให้จากมาแบบนั้นจึงเป็นแผลใหญ่ในใจ เพราะงั้นทุกครั้งเวลาขึ้นเครื่องบินจะทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนตัวเองทอดทิ้งนับสองอีกครั้ง ผมเคยขอให้นับสองขึ้นเครื่องไปเที่ยวกับนับหนึ่งหลายครั้งโดยไม่บอกอะไร ถึงนับสองจะดูทึ่มๆ ซื่อๆ เป็นบางครั้งแต่ไม่ใช่คนโง่

น้องมาถามอาการผิดปกติของนับหนึ่งโดยรายละเอียด แน่นอนว่าน้องมันเกือบจะหยิบมีดไปแทงพ่อตัวเองเหมือนกัน แต่เพราะพวกเราแยกบ้านแยกครอบครัวแยกทรัพย์สินชัดเจนแล้วและตกลงจะไม่เจอหน้ากันอีก ทางใครทางมัน ดังนั้นจะให้นับสองไปอาละวาดไม่ได้

เมื่อไม่รู้จะเอาอารมณ์ไปลงกับใครเลยไปทุบตีฟาดนับหนึ่งแทน ข้อหาปิดบังไม่ยอมบอกอะไร

ผมล่ะเชื่อน้องมันเลยจริงๆ

มีนับสองช่วย มียาช่วย สภาพแวดล้อม ครอบครัว อารมณ์ทุกอย่างดีไม่มีบกพร่องทำให้นับหนึ่งใกล้หายสนิทแล้วอาจจะมีหลงเหลืออาการกระสับกระส่ายบ้าง

ส่วนยาที่ทำให้เขากินตอนนี้เป็นเพียงยาคลายเครียดไม่มีผลกระทบอะไร

หลังจากคิดวุ่นวายอยู่พักหนึ่งในหัวเสร็จแล้วจึงเริ่มเข้าสู่นิทราบ้าง จวบจนใกล้ถึงเกาะฮ่องกง เสียงประกาศของเครื่องบินได้ดังขึ้นแจ้งทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา

ยามนี้รอบกายไม่ได้มืดมิดอีกต่อไปเพราะเป็นเวลาเช้าพระอาทิตย์ขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมไม่ลืมปรับนาฬิกาเปลี่ยนเวลาให้เป็นไทม์โซนของฮ่องกง

"เมฆสวยชะมัด" ผมว่าขึ้นเบาๆ ขณะมองหน้าต่างดูท้องฟ้าสีครามกับก้อนเมฆขาวกระจ่างดูเหมือนสำลี

อดใจไม่ไหวที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้ เมื่อหันไปที่นั่งของนับหนึ่งก็พบว่าอีกฝ่ายยังคงนอนหลับสบายอยู่เลยแอบเก็บภาพพักผ่อนแสนหายากของท่านประธานสุดเฮี้ยบไว้สองสามรูป

ก่อนเครื่องลงจอดสักสองสามนาทีนับหนึ่งก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือจนกระทั่งเครื่องลงจอดแล้วก็ยังไม่ตื่นเต็มตา

"ไปล้างหน้าก่อน" ผมดึงนับหนึ่งให้เข้าห้องน้ำทันทีหลังจากลงเครื่องแล้ว

"โอเค" เสียงแหบแห้งของคนเพิ่งตื่นว่าอย่างงัวเงียแล้วเดินช้าๆ เข้าห้องน้ำไป

ผมไม่ได้เข้าไปด้วยเพราะต้องคุยโทรศัพท์ติดต่อกับคนของพี่ออสตินที่ฮ่องกงว่ามาถึงแล้ว รอโหลดกระเป๋าอีกพักหนึ่ง ซึ่งพวกเขาตอบกลับมาว่าตอนนี้ก็รออยู่ข้างหน้า

"ปะ ไปเอากระเป๋ากัน" หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วคนคนนี้ดูสดชื่นและกระตือรือร้นขึ้นเยอะ "จริงสิ บอกคนของพี่ออสตินให้ซื้อกาแฟให้หน่อย"

เจ้านายสั่งมามีหรือผมจะไม่ทำตามแต่กำชับให้พวกเขาซื้อขนมปังมาด้วย

พวกเรายืนรอโหลดกระเป๋าประมาณสิบห้านาทีก็ได้กระเป๋าครบ ของผมกับนับหนึ่งรวมกันมีกระเป๋าเดินทางถึงสิบสองใบ มาทำงานเดือนเดียวแต่กลับเก็บของมาเหมือนย้ายบ้านไม่มีผิด

ต่างคนต่างยกกระเป๋าวางบนรถเข็นแล้วเข็นออกมา เมื่ออกมาตามทางออกแล้วมีผู้คนมายืนโบกป้ายรอรับญาติเพื่อนพี่น้องหรือกรุ๊ปทัวร์เต็มไปหมดแต่ไม่ต้องเสียเวลามองหานานว่าคนของพี่ออสตินอยู่ไหน

เพราะบริเวณที่พวกเขายืนอยู่นั้นไม่มีใครกล้าเฉียดเข้าใกล้สักนิด ชายหนุ่มสี่คนในชุดสูทสีดำเนี้ยบแถมยังมีใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เป็นอาวุธแบบนี้แล้วใครมันยังจะกล้าเข้าใกล้อีก

ผมเห็นพวกเขาแล้ว

พวกเขาก็มองเห็นพวกผมแล้วเช่นกัน

ไม่รอช้าทั้งสี่รีบก้าวมาหาพวกผมด้วยท่าทางสุขุมแต่มองจากสายตาคนนอกคงรู้สึกเหมือนว่าคนพวกนี้จะมาจับผมมากกว่าสินะ เหอะๆ

ตอนผมกับนับหนึ่งเริ่มมาทำธุรกิจที่นี่และพี่ออสตินเป็นคนส่งลูกน้องมาดูแล บอกเลยว่าตกใจจนนึกว่าตัวเองถูกลักพาตัวซะแล้ว คนพวกนี้น่ากลัวเกินไปจริงๆ

"คุณชาย สวัสดีครับ!" ทักทายอย่างกระตือรือร้นและโค้งให้เล็กน้อย

"อืมๆ กาแฟฉันอยู่ไหน" นับหนึ่งปล่อยมือจากรถเข็นแล้วถามหากาแฟทันที

"นี่ครับ คุณชายสาม" อีกคนรีบส่งให้พร้อมขนมปัง

ผมหันไปเตือนก่อนด้วยเสียงเข้มงวด "กินขนมปังก่อนแต่ตอนนี้อย่าเพิ่งกิน ไปกินบนรถ"

สั่งนับหนึ่งที่ทำหน้าหงิกหน้างอเสร็จค่อยหันไปรับน้ำเปล่าจากบอดี้การ์ดคนหนึ่งมาดื่มอึกหนึ่งก่อนแล้วจึงเดินตามหลังพวกเขาไปยังลานจอดรถ

"คนเยอะไปมั้ย" นับหนึ่งพูดเบาๆ ขณะมองไปยังบริเวณที่จอดรถ

ตรงนั้นมีรถโรลส์รอยซ์สีดำสามคันป้ายทะเบียนประมูลทั้งสามคันด้วยและยังมีคนในชุดสูทสีดำอีกแปดคนยืนนิ่งเป็นรูปปั้นไม่ห่างจากรถ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นคนของใคร

"ตกลงพี่ออสตินเป็นมาเฟียหกรือนักการเมืองกันแน่เนี่ย"

นับหนึ่งยักไหล่ "ดูแล้วไม่ค่อยต่างกันเท่าไร"

อืม ผมก็ว่างั้น

ผู้ชายผมแดงแสบตาหันมามองผมกับนับหนึ่งแล้วฉีกยิ้ม "สวัสดียามเช้าครับ ไม่ได้เจอกันหนึ่งเดือน พวกคุณดูดีขึ้นอีกแล้ว"

"ปากหวานไปก็ไม่มีโบนัสหรอกนะ เนบิวล่า" ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับเด็กคนนี้

เนบิวล่าเป็นลูกน้องคนสนิทของพี่ออสตินที่ส่งมาดูแลความปลอดภัยพวกผมสองคนเวลาอยู่ที่จีนตลอด ตอนจองตั๋วมาจีนทุกครั้งต้องติดต่อคนคนนี้ด้วยเช่นกัน พี่ออสตินบอกว่าที่จีนเป็นถิ่นของเขาเช่นกันแต่คนมีอำนาจมันก็เยอะ ระวังไว้ดีที่สุด

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเก็บจากบอสทีหลัง" เนบิวล่าขยิบตาซุกซน "พวกคุณแค่ช่วยชมผมนิดๆ หน่อยๆ ต่อหน้าบอสก็พอ"

"มีแฟนรวยแล้วยังจะมางกกับพี่ฉันอีกเหรอ" นับหนึ่งย่นคิ้ว

"ไม่มีอะไรภูมิใจเท่าหาเงินได้เองหรอกครับ" เนบิวล่าว่าอย่างไม่ยี่หร่ะแล้วเชิญพวกผมขึ้นรถ "ไอ้เวรนั่นมันให้ผมเดือนละหนึ่งพันดอลล่าร์ ขืนแบมือรอเงินมัน ผมได้อดตายกันพอดี"

ผมได้ยินแบบนั้นแล้วต้องตะลึงแทบไม่เชื่อหู "น้อยไปรึเปล่า รวยขนาดนั้นทำไมให้เงินน้อยจัง"

เด็กหนุ่มส่ายหัวหน้าบึ้งไม่ได้คุยต่อเหมือนไม่อยากพูดถึงแล้วและเป็นโอกาสเหมาะให้นับหนึ่งจับหน้าผมให้ให้ไปทางมันเล้วพูดแทรกขึ้นอย่างจริงจัง

"แต่มึงไม่ต้องห่วงนะควินซ์"

"ห่วง?"

"กูรับรองว่าถ้ามึงเป็นแฟนกู" นับหนึ่งพยักหน้าเคร่งขรึมแล้วฉีกยิ้มอย่างมั่นอกมั่นใจ "กูให้เดือนหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบล้านแน่นอน!"

ผมฟังแล้วยังไม่แตกฉานเข้าใจในทันทีเพราะมันพูดเร็วเลยผ่านไปเกือบสามสิบวินาทีได้ สีหน้าผมมืดครึ้มทันที

"ใครอยากได้เงินมึง!" เก็บไปให้อิหนูเถอะ!

"หรือน้อยไป? งั้นยี่สิบล้าน?" ยังไม่หยุดอีก!

มันจะไปกันใหญ่แล้วเว้ย!

"ไม่คุยกับมึงแล้ว!" ผมกระแทกเสียงใส่ไปอย่างหงุดหงิดปนโมโหคล้ายความดันจะขึ้น เบือนหน้าหนีไปมองนอกหน้าต่างแทนเพื่อสงบอารมณ์

โชคดีที่เวลาพวกผมเถียงกันในเวลาอยู่ต่างประเทศจะปรับไปใช้ภาษาไทยกันโดยอัตโนมัติทำให้คนนอกไม่ค่อยรับรู้เรื่องน่าอายนัก

อ้อ ส่วนเรื่องภาษาจีน พวกผมสองคนเริ่มเรียนกันเมื่อสามสี่ปีก่อนแล้ว ตอนนี้เลยค่อนข้างคล่องแคล่วในการใช้ไม่ต้องมีล่ามแต่พวกเอกสารสัญญางานยังต้องมีการแปลอยู่บ้างเพราะคำศัพท์ทางการบางทีพวกผมก็ไม่รู้และเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกเอารัดเอาเปรียบ ไม่ใช่ไอ้โง่ที่สักแต่เซ็นอนุมัติเลยยังจำเป็นต้องมีล่ามแปลเอกสารอยู่

แม้ว่าผมจะบอกให้นับหนึ่งหุบปากไปแล้วแต่มันฟังผมที่ไหน

"ควินซ์ เดี๋ยวเอาของเก็บบที่บ้านก่อนแล้วเราไปกินข้าวเช้าที่ XXX"

"หรือจะเป็นร้าน SSS ดี"

"เอ๋ แล้วเราจะไปไหว้พระก่อนหรือไปซื้อของก่อนดี"

ฟังภาษาคนไม่เข้าใจรึไงวะ

ตอนนี้ผมไม่อยากคุยกับมัน!

ดังนั้นจึงเมินสนิทไปตลอดทาง ไม่ว่านับหนึ่งจะพยายามคุยแค่ไหนก็ไม่สนใจ ในที่สุดก็เงียบไปแถมยังทำหน้าหงอยใส่ผมอีก คิดว่าจะใจอ่อนเหรอ

เหอะ ลูกไม้เดิมๆ

"...อืม ไปร้าน SSS"

ลูกไม้เดิมๆ ที่ได้ผลเสมอ บ้าเอ๊ย!

ชายหนุ่มที่กำลังห่อเหี่ยวพลันดี๊ด๊ามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันตา ผมเบือนหน้าไปทางอื่นพยายามเก๊กขรึมไว้แต่แม่ง...รอยยิ้มกว้างๆของอีกฝ่ายกลับทำให้ผมเสียอาการไปซะทุกครั้งจริงๆ

นับหนึ่งไม่ใช่คนยิ้มบ่อยแถมยังยิ้มยากด้วย

ช่วงนี้ยิ้มให้ผมบ่อยเกินไปแล้ว ไม่ดีเลยสักนิด

หลังจากผมยอมคุยกับมันแล้วก็นั่งหน้าบานไม่ส่งเสียงอะไร เออ ให้ผมได้พักหายใจบ้างก็ดี ขยับตัวนั่งเอนหลังพิงเบาะพักสายตา ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมงพวกเราก็มาถึงที่พักเป็นที่เรียบร้อย

ระหว่างให้คนเอาของไปเก็บ ผมกับนับหนึ่งต่างแยกกันทำธุระส่วนตัวอาบน้ำเปลี่ยนชุดกันอีกหนึ่งชั่วโมงถึงได้ออกจากบ้านไปร้านอาหาร

"สั่งเต็มที่ๆ ป๋าเลี้ยงเอง" นับหนึ่งยื่นใบเมนูอาหารให้ผมพร้อมว่าอย่างใจป๋า

ผมเบะปากอย่างหมั่นไส้ "ห่านย่าง หมูย่าง ติ๋มซำ โจ๊กฮ่องกง" แล้วหันไปตะโกนเรียกคนอื่นๆ "เนบิวล่า! เรียกทุกคนมากินเร็ว บอสเลี้ยง!"

"เฮ้ย!" ป๋าถึงกับเหวอสิเพราะบอดี้การ์ดที่พามาด้วยนั้นมีถึงสิบห้าคน... บางทีผมก็คิดว่าเยอะไปนะ

แต่เข้าใจอยู่

ฮ่องกงก็ค่อนข้างมีมาเฟีย มีผู้มีอิทธิพลเยอะไม่น้อย

"ในเมื่อป๋าอยากเลี้ยง ป๋าก็เลี้ยงเลยนะ" ผมหัวเราะเบาๆ สบตาอีกฝ่ายอย่างเยาะเย้ยแต่กลับเป็นตัวเองที่ต้องชะงักงันเพราะจู่ๆ นับหนึ่งมันดันมาหน้าแดงใส่ผมนี่แหละ

นับหนึ่งแกล้งกระแอมไอ "อืม ได้ ได้ ป๋าเลี้ยงเอง"

"แล้วเป็นอะไรทำไมหน้าแดง" เป็นไข้รึเปล่าวะ

"ไม่เป็นไรๆ"

ผมมองอย่างเป็นห่วง "แน่ใจนะ?"

"เออ" นับหนึ่งพยักหน้าแล้วหันไปมองทางอื่นแล้วพึมพำกับตัวเองไม่หยุด "เชี่ย ควินซ์เรียกกูว่าป๋าด้วย โอ๊ยๆๆ"

"มึงว่าไงนะ" ไม่ค่อยได้ยินเลย

"ไม่มีอะไร!"

หน้าตาดูมีพิรุธจริงๆ

แต่เอาเถอะ...ตอนนี้โจ๊กฮ่องกงน่าสนใจกว่านับหนึ่ง

เพราะงั้นเลิกสนใจเพื่อนบ๊องไปก่อนดีกว่า

"..." นับหนึ่งไม่น่าสนใจเท่าโจ๊กฮ่องกงได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

"..." ผม...อืม โจ๊กอร่อยดีจัง

"T^T" นับหนึ่ง