"พี่รู้"
นานมากกว่าผมจะหาเสียงตัวเองเจอแล้วตอบพารัมกลับไป ผมมองจานข้าวตัวเองแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่จากนั้นก็ตักข้าวกินไปอีกคำ ส่วนพารัมคล้ายจะรอให้ผมพูดต่อ...
กินข้าวจนหมดคำแล้วค่อยๆ เอ่ยอย่างเชื่องช้า
"ก็ตัดใจมานานแล้ว"
ไม่เคยคาดหวังอยู่แล้ว
"ตัดใจได้จริงเหรอ" พารัมถามอย่างใคร่รู้และไม่เชื่อ
"เออ" ผมตอบไปเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกอะไรแล้วเปรยตามองพารัมเล็กน้อย "เมื่อก่อนพูดมากยังไงก็พูดมากเหมือนเดิมเลยนะ"
"พี่ไม่ชอบคนพูดมาก ผมรู้" พารัมกลอกตามองบนแล้วบ่นอุบอิบ "ทำอย่างกับพี่นับหนึ่งพูดน้อยนักนี่ สองมาตรฐานจริงๆ"
ผมคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินประโยคหลังของพารัมแต่ทำเป็นไม่ได้ยินแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อให้เสร็จแล้วจะได้รีบๆ ไปสักที ไม่งั้นคงโดนไอ้เด็กนี่กัดจนพรุนแน่
พารัมเห็นผมเอาแต่เงียบก็ยิ้มอ่อนจากนั้นค่อยเริ่มกินข้าวบ้าง เออดี ให้ผมได้มีชีวิตและช่วงเวลาสงบสุขบ้างเถอะ
"ทำไมพี่ถึงตัดใจจากพี่นับหนึ่งแล้วล่ะ"
แม่ง เงียบได้ไม่นานจริงๆ ไอ้เด็กเปรตนี่
"พี่ดูชอบเขามากเลยนะ"
ฟังแล้วมันไม่ค่อยจะรื่นหูเท่าไร "พี่เนี่ยนะ ชอบมันมาก? เหอะๆ ตลกแล้ว" ไม่เห็นจำได้เลยว่าตัวเองทำอะไรแบบนั้นออกไป ผมก็วางตัวปกติดี
คนตรงข้ามส่ายหัวแล้วลากเนิบ "อ้อเหรอ ไม่ชอบขนาดนั้นจริงดิ"
"อืม"
"แล้วตอนนั้นใครร้องไห้นั่งตากฝนอยู่หลังตึกคณะกันนะ"
ผมชะงักไปมือที่กำลังจะหยิบแก้วน้ำแต่ก็ยื่นไปจับแก้วต่อแล้วช้อนตามองคนถามด้วยสายนิ่งๆ "มีคนทำตัวปัญญาอ่อนขนาดนั้นด้วยเหรอ เพิ่งรู้"
"พี่ว่าตัวเองทำไม มันไม่ใช่เรื่องน่าอายสักหน่อย" พารัมยกยิ้มมุมปาก "คนเรามันก็ต้องมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ พี่ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้"
อ้อ ผมเคยทำแบบนั้นด้วยเหรอ
ลืมไปแล้วแฮะ
ก็มันตั้งกี่ปีแล้วล่ะ เรื่องไม่จำเป็นก็ลืมๆ ไปบ้างเถอะ
"เดี๋ยวนี้กล้าสอนกันแล้วเหรอ" ผมหัวเราะเบาๆ แล้วจิบน้ำ
"ไม่ต้องมาเปลี่ยนประเด็นเลย" ตัดบทคำพูดผมแล้วถามจริงจัง "วันนั้นพี่นับหนึ่งทำอะไรให้พี่"
"ทำไมต้องคิดว่าพี่ร้องไห้เพราะนับหนึ่งด้วย" ยักคิ้วแล้วพูดต่อด้วยรอยยิ้ม "ไม่คิดว่าพี่จะร้องไห้เพราะคะแนนน้อย อาจารย์ด่า โปรเจคไม่ผ่านบ้างรึไง"
คนเรามันมีเรื่องเยอะแยะจะตายไปในชีวิตประจำวัน
ก็ไม่ได้มีเรื่องความรักอย่างเดียวสักหน่อย...
"แต่วันนั้นผมเห็นพี่กับพี่นับหนึ่งทะเลาะกันนะ" ชายหนุ่มตรงหน้าจ้องผมเขม็ง "แล้วผมมาเจอพี่อีกทีก็นั่งทำเอ็มวีร้องไห้กลางสายฝนแล้ว พี่ยังจะบอกอีกเหรอว่าไม่ได้ร้องเพราะพี่นับหนึ่ง"
คิ้วของผมค่อยๆ ขมวดเข้าหากันจะส่ายหัวหมายปฏิเสธแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ปฏิเสธ...
"ก็คงงั้นมั้ง..."
วันนั้นผมทะเลาะกับมันเรื่องอะไรนะ...
เหมือนจะเป็นเรื่องเด็กเลี้ยง คู่ขามันล่ะมั้ง
อ้อ แล้วสภาพผมไปนั่งร้องไห้ตากฝนขนาดนั้น
ไม่ต้องบอกก็รู้
ตอนนั้น...มันไม่ได้เลือกผม
---------
เอ๊ะ หรือผมจำผิดว่ะ
ใช่เรื่องเด็กเลี้ยงรึเปล่า
เหมือนจะไม่ใช่นะ
เรื่องมันนานเกินไปจนผมลืมรายละเอียดไปแล้วด้วยสิ
ไอ้หนึ่งมันก็คดีเยอะจนจำไม่หมดเลยอาจจะทำให้สับสนก็เป็นได้
"ผมจะพาพี่กลับ พี่ก็ไม่กลับ" พารัมพูดต่อช้าๆ
เหมือนจะเริ่มจำได้รางๆ ว่าพารัมเข้ามาจะดึงผมกลับเข้าไปในใต้อาคารเรียนแต่ผมปฏิเสธ
"แต่...พี่นับหนึ่งมาพูดแป๊บเดียว พี่ก็กลับ" เสียงของประโยคต่อมาแฝไปด้วยความขุ่นเคืองใจ "เอาจริง ผมแม่งโคตรเจ็บเลยนะ ตอนนั้น"
ผมกะพริบตาแล้วว่าเสียงเรียบ "ขอโทษด้วย"
"ขอโทษจริงใจหน่อยก็ไม่ได้" พารัมแขวะแล้วก็ส่ายหัว "พวกพี่ก็ดูทะเลาะกันแรงแต่ก็คืนดีกันง่าย... มันน่าหมั่นไส้จริงๆ"
ผมยักไหล่ "เพื่อนกันมันก็ต้องมีทะเลาะกันเป็นธรรมดา ตีกันแป๊บๆ ก็ดีกัน"
"แล้วตกลงพี่จะบอกผมมั้ยว่าพวกพี่ทะเลาะอะไรกัน" แลอยากเสือกนะ "ผมคาใจเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว ปกติพี่เข้มแข็งขนาดนั้น..."
"พี่ก็ไม่ได้เป็นคนเข้มแข็งอะไร" ผมถอนหายใจแล้วคลี่ยิ้มบาง "พี่เป็นแค่คนธรรมดา อะไรอดทนได้ก็ทน อะไรที่เกินรับไหวก็แค่ต้องระบายออกมา"
การร้องไห้มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร
ผมเองก็ไม่อายที่จะร้องไห้
แต่เพิ่งรู้เหมือนกันว่าตัวเองไปนั่งร้องไห้ทำเอ็มวีกลางสายฝน ถ้าพารัมไม่ยกเรื่องเก่าเก็บมาพูด ผมก็คงลืมไปแล้ว
"สุดท้ายผมก็คงงัดอะไรออกจากปากพี่ไม่ได้เหมือนเดิมสินะ" ชายหนุ่มทำหน้าเซ็งจิตแล้วก้มหน้ากินข้าวไป "ผมไม่ถามแล้วก็ได้"
มึงควรรู้ตัวนานแล้วปะ พารัม
ผมยังคงยิ้มติดใบหน้าและไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองอะไรที่น้องเขามาจุกจิกอยากล้วงความลับ หลังจากที่เลิกพูดเรื่องนี้แล้วพารัมก็ถามผมต่อเกี่ยวกับชีวิตช่วงนี้ ผมนั่งคุยกับเขานานเหมือนกันจนเห็นว่าใกล้เวลาที่นัดกับร้านสปาแล้วจึงได้ขอตัว
ก่อนกลับก็ได้แลกช่องทางติดต่อใหม่แล้วเรียบร้อย คิดว่าหลังจากนี้พารัมคงทักมาแทบทุกวันแน่
พารัมขี้เหงาแต่ไม่ยอมมีเพื่อน...ไม่เข้าใจมันเหมือนกัน
แต่อาจจะไม่ทักมารึเปล่า ใกล้จะมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้วนี่
พอคิดว่าน้องชายคนนี้กำลังมีความรักครั้งใหม่ที่ดีแล้วอดไม่ได้ที่จะอิจฉาอยู่ลึกๆ "เมื่อไรกูจะมีความรักกับเขาบ้างนะ"
อดไม่ได้ที่จะพึมพำบ่นขณะขับรถ ผมถอนหายใจรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้แล้วก็เท้าคงกับพวงมาลัยรถเหม่อมองท้องฟ้าไกล ตอนนี้รถติดเหมือนทางขางหน้าจะมีทำถนนหรืออุบัติเหตุมั้ง
"ตอนนั้น... ทะเลาะอะไรกับไอ้หนึ่งวะ"
ผมค่อยๆ จมลงไปกับห้วงความทรงจำพยายามทบทวนทุกอย่างช้าๆ ให้แจ่มชัดยิ่งขึ้น อันที่จริงเรื่องนี้ที่ผมไม่ยอมพูดกับพารัมเพราะผมดันนึกขึ้นได้ว่า....
วันนั้นผมนั่งตากฝนแล้วก็ร้องไห้อยู่หลังตึกคณะ
นั่งร้องไห้เป็นนาน
ใครมาเรียกใครมาลากให้เข้าที่ร่มก็ไม่ไป
จนกระทั่ง....
ตึก ตึก ตึก
ฝีเท้ารีบร้อนมาพร้อมกับเสียงตวาดอย่างโมโหและเกรี้ยวกราดดังไปทั่วบริเวณ
"มึงมานั่งตากฝนทำห่าอะไร ไอ้ควินซ์!"
แรงกระชากบริเวณต้นแขนทำให้ผมเจ็บแปลบได้สติขึ้นมาบ้าง ยังไม่ทันได้เงยหน้ามองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดก็ต้องมาเจ็บหน้าเจ็บจมูกอีกเมื่อนับหนึ่งดึงผมเข้ามาในอ้อมกอดทำให้หน้าผมกระแทกกับหน้าอกแข็งแกร่งของมันเต็มๆ
"แม่งเอ๊ย มึงอยากป่วยรึไง สัส!" นับหนึ่งด่ากราดใส่ผมแต่ก็ประคองโอบกอดผมเดินอย่างเร่งรีบไปยังรถของมัน มือหนึ่งถือร่มคันใหญ่อีกมือโอบตัวผมไว้แน่นให้แนบชิดกับตัวมันที่แห้งสนิท
"มึงปล่อยกู" ผมพูดเสียงแหบแห้งเพราะไม่อยากให้มันเปียกไปด้วย
"ไม่ปล่อย! มึงอย่าเพิ่งมางอนตอนนี้ได้มั้ย ขึ้นรถ!"คนตัวสูงกว่าหันมาถลึงตาใส่แล้วรีบร้อนเปิดประตูรถข้างคนขับ ผลักผมให้เข้าไปในรถโดยไม่สนจเลยว่าตัวผมที่เปียกโชกจะทำให้รถมันเปื้อน
เมื่อมันจัดการผมเสร็จก็รีบวิ่งอ้อมมาขึ้นรถฝั่งที่นั่งคนขับ นับหนึ่งโยนร่มไปไว้เบาะหลังแล้วหยิบผ้าขนหนูที่ไม่รู้มาจากไหนโยนใส่หัวผม
"เช็ดหัวเร็วๆ เลยมึง" มันหันมามองผมตาขวาง
"..." ผมยังสับสนอยู่เลยได้แต่มองหน้ามันนิ่งๆ สลับกับผ้าขนหนูในมือ
"มึงเป็นบ้าอะไรไปนั่งตากฝน" นับหนึ่งจ้องตาผมเขม็ง "มึงน้อยใจกูถึงขั้นไปนั่งตากฝนเลยเหรอ"
"ไม่ใช่" ตอบไม่เต็มเสียงนักแล้วหลบตา "แล้วมึงจะกลับมาทำเหี้ยอะไร ไหนว่ามีธุระสำคัญ ไม่ว่างไม่ใช่รึไง"
"ไม่ว่างแต่เพราะมึงเป็นบ้าไง กูถึงต้องกลับมาเนี่ย!" นับหนึ่งกระแทกเสียงใส่ผมอย่างหงุดหงิดงุ่นง่านใจแล้วหันไปขับรถต่อ "ถ้ากูทะเลาะกับน้อง กูจะตบมึงเลยไอ้ควินซ์!"
"ก็เอาสิวะ มึงจะตบเพื่อนเพราะเด็กมึง" ตาของผมแดงก่ำ "ก็เอาเลย!"
นับหนึ่งย่นคิ้วแล้วหันมาจ้องหน้าผม "เด็กกูอะไร"
"วันนี้มึงนัดกูจะไปซื้อของกับกูแต่มึงก็เบี้ยวนัดเพราะอยากพาเด็กไปช้อปปิ้ง" ผมกำผ้าขนหนูแน่น "มึงเห็นเด็กมึงสำคัญกว่าเพื่อน กูแม่งโคตรน้อยใจเลย ไอ้เหี้ย"
นัดผมเอง อ้อนวอนผมเองแล้วก็ยกเลิกเอง
"เด็กกูเหี้ยอะไร!"นับหนึ่งร้องตกใจ "กูจะพานับสองไปซื้อกีต้าร์ตัวใหม่ มึงคิดไปถึงไหน!"
"ไม่ต้องมา... ฮะ อะไรนะ" ผมชะงักความโมโหทันที "มึงบอกอีกทีดิ จะพาใครไปช้อปปิ้ง"
นับหนึ่งถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วพูดช้าๆ ชัดๆ "กูพูดกับมึงว่ากูจะพาน้องไปช้อปปิ้ง เออ กูพูดไม่เคลียร์เอง น้องที่ว่าก็คือน้องชายกูไงครับ กูพูดไม่ทันจบ มึงก็ด่าน้องกูมาก่อน กูทั้งงงทั้งโมโหว่ามึงด่านับสองทำไม"
"..." แล้วทำไมมึงไม่พูดให้ชัดว่านับสอง ไอ้เวร!
"อ้อ สรุปทั้งหมดที่มึงไปนั่งตากฝนน้อยใจเพราะเข้าใจว่ากูไม่เลือกมึงแล้วหนีไปกับเด็ก?"
"..." ดูเหมือนมันจะเป็นแบบนั้น
"มึงนี่มันก็คิดมาก"
นับหนึ่งส่ายหัวแล้วยื่นมือมาผลักหัวผมทีหนึ่ง
"กูมาหามึงแล้วเนี่ย เลิกน้อยใจได้แล้ว"
....
....
....
ก็...อืม วันนั้นผมเข้าใจผิดเอง
เรื่องน่าอายขนาดนี้
ผมจะยังมีหน้าไปเล่าให้ใครฟังได้อีก ต้องเหยียบให้มิดสิ
-