webnovel

Chapter 5.4

[ควินซ์]

หงุดหงิด

โมโห

อยากชกหน้าคน

แต่...เหมือนผมจะชกคนไปแล้ว

วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพอารมณ์หงุดหงิดไม่สดชื่น แล้วคงไม่ต้องบอกนะว่าผมหงุดหงิดอะไรมา เอ่อ แต่พูดหน่อยก็ได้

ผมทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหไอ้นับหนึ่ง ไอ้เพื่อนเหี้ย ไอ้เพื่อนบัดซบ

ดูมันพูดกับผมสิ จะเลิกเป็นเพื่อน? จะเลิกคบผม?

ผมทำอะไรผิดวะ ผมทำไม่ดีกับมันเหรอถึงจะเลิกคบผม

"ไม่อยากเป็นเพื่อนกันแล้วเหรอวะ"

เอ่ยขึ้นอย่างซึมๆ กับตัวเองในกระจก ตอนนี้ผมกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ หลังจากโมโหไปแล้วต่อยนับหนึ่งไปแล้ว อารมณ์เศร้าหมองค่อยๆ เข้ามาแทนที่

หลังจากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้ว ผมก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟ

เมื่อคืนผมรู้สึกว่าตัวเองบ้ามาก ผมขึ้นแท็กซี่ไปกับคนแปลกหน้าซึ่งเขาเป็นลูกค้าของร้านอาหารแล้วเรียกรถมารับ ไอ้ผมก็หน้าด้านขึ้นมากับเขา ตอนแรกทั้งคนขับแท็กซี่กับลูกค้าคนนั้นคิดว่าผมเป็นโจรขึ้นมาปล้นรถด้วยซ้ำ

เสียเวลาอธิบายอยู่ห้านาที พวกเขาถึงเข้าใจและยอมไปส่งผมหลังจากลูกค้าคนแรกลงรถไปแล้ว

เมื่อคืนผมไม่ได้กลับบ้านแต่เลือกจะนอนคอนโดนอกเมืองที่นับหนึ่งไม่รู้จักเพื่อที่อีกฝ่ายจะตามตัวผมไม่ได้ ตอนโมโหอยู่ยังไม่ควรเผชิญหน้ากัน รอให้ผมใจเย็นกว่านี้ก่อน

ดีนะที่วันนี้ผมไม่ต้องเข้าบริษัท ไม่งั้นได้มีทะเลาะกับนับหนึ่งจนบริษัทพังไปข้างแน่ๆ

ช่วงนี้นับหนึ่งมันบ้าแถมยังบ้ามากอีก มันทำตัวแปลกๆ คล้ายจะ...จีบผมด้วย แถมเมื่อวานมันทั้งกอดเอวทั้งหอมแก้มผม...

มือหยิบช้อนชงกาแฟชะงักเสียจังหวะไปเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสัมผัสร้อนวูบวาบที่เพิ่งขึ้นเพียงเสี้ยววิ โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าตัวเองเขิน ในตอนนั้นมันเป็นอารมณ์ตกใจสับสนระคนเขินอายนิดๆ

พูดตรงๆ เลยว่าถึงผมจะรู้จักกับไอ้นับหนึ่งมายี่สิบปี สนิทสนมกันถึงขั้นกินอยู่นอนเตียงเดียวกัน ยืมเสื้อผ้ากันใส่ แก้ผ้าอาบน้ำอะไรเทือกๆ กันก็จริงแต่ไอ้หอมแก้มเนี่ย ไม่เคย!

ไหนจะ 'จูบ' อีก

มันกล้าพูดออกมาได้ยังไงกัน ผมเป็นเพื่อนมันนะ! ไม่ใช่คู่ขาคู่ควงมันรึเปล่าที่จะมาทำตัวรุ่มร่ามลวนลามกับผม แค่คิดว่าตัวเองถูกนำไปเปรียบไปเทียบกับบรรดาเด็กๆ คู่ควงคู่ขาในอดีตของนับหนึ่งแล้วยิ่งโมโหมากกว่าเดิม

ช่วงนี้มันไม่มีเด็กเลี้ยงไม่มีคู่ขาดแล้วของมันขาดรึไง (เด็กเลี้ยงถูกนับสองเอาเงินฟาดไล่หมดแล้ว นับสองให้เลือกระหว่างจะรับเงินแล้วไสหัวไปหรือจะอยู่ต่อแล้วโดนกระทืบ แน่นอนว่าทุกคนย่อมจากไปและไม่ติดต่อนับหนึ่งอีก) แต่ของขาดแล้วมาทำตัวรุ่มร่ามกับเพื่อนตัวเองมันใช่เหรอ

ถ้าจะแกล้งกันแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย ผมไม่ตลกด้วย "จะบอกว่าชอบกูงั้นเหรอ ตลกกว่าเดิมอีก"

ผมหัวเราะเบาๆ แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มแล้วส่ายหัวให้กับความคิดเพี้ยนๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้

ถ้ามันจะชอบผม

มันคงชอบไปตั้งนานแล้ว

คลี่ยิ้มเศร้าแล้วกระดกกาแฟรวดเดียวหมดแก้ว... เอาล่ะ ไปอาบน้ำดีกว่า

---------------

ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนักก็เรียบร้อยดี วันนี้ไม่ได้ไปทำงานแต่ไปสปาและนวดแผนไทย ก็ดี วันนี้ยังไม่ต้องเจอหน้านับหนึ่ง แต่พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องเจอ ตัดเพื่อนแล้วแต่สถานะเจ้านายลูกน้องยังอยู่

หรือลาออกแล้วหางานใหม่ดี?

ไปสมัครงานกับพวกทีสโตนดีมั้ย? ผมกับเก้าสนิทกันพอสมควร ขอให้น้องเขาหาตำแหน่งงานดีๆ สักตำแหน่งก็คงไม่ยากเย็นอะไร

แต่สุดท้ายแล้วผมจะกล้าออกจริงๆ เหรอ ถ้าหากไอ้นับหนึ่งมาง้อมาขอโทษ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะใจแข็งได้รึเปล่า ก็นั่นแหละนะ เป็นเพื่อนกันมานานขนาดนี้ก็เคยมีเรื่องทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ก็เยอะ

"เมื่อวานก็ไม่เล็กนะ" ผมบ่นกับตัวเองเพราะมันถึงขั้นที่ผมลงไม้ลงมือไปอย่างขาดสติเลย

ผมควรเป็นฝ่ายไปง้อมันรึเปล่านะ

ความคิดในหัวสับสนวุ่นวายไปหมดจนรู้สึกปวดหัว ได้แต่ส่ายหัวส่ายหน้าแล้วหยิบขวดน้ำหอมขึ้นมาฉีดเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเช็กสภาพตัวเองอีกรอบจากนั้นจึงเดินไปหยิบกระเป๋าและกุญแจรถเพื่อไปหาข้าวเช้ากินก่อน

ผมมีคอนโดในกรุงเทพประมาณเจ็ดที่และบ้านอีกสามหลัง ส่วนรถมีประมาณสามคัน ไม่อยากซื้อรถเยอะเพราะมูลค่ามันจะตกลงในอนาคต ผมเลยเลือกซื้อเป็นบ้าน คอนโด ที่ดินมากกว่า

อย่าพูดเรื่องเงินเก็บ ตอนนี้แทบไม่มีเพราะเอาไปลงการช้อปปิ้ง คิดว่าตัวเองควรจะลดละและเบาๆ ลงได้แล้ว

ต้องคิดเผื่อวางแผนอนาคตครอบครัวอีก แม่ผมก็เร่งมาอีก เฮ้อ ผมโทรบอกพี่สาวให้คลอดหลานอีกคนดีมั้ย ปล่อยผมไปอีกสักพักเถอะ ยังไม่อยากเต่งงานเลย เฮ้อ

คิดเรื่อยเปื่อยขณะขับรถเข้าสู่ถนนใหญ่

ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีก็มาถึงร้านข้าวหมูแดงข้าวหมูกรอบเจ้าประจำที่ผมชอบมากิน ร้านนี้เปิดตั้งแต่เช้าและปิดตอนเที่ยง เป็นร้านเรียบๆ บ้านๆ ใต้ตึกพาณิชย์สามคูหา ร้านหาไม่ยากแต่ที่จอดรถนี่สิ ยากเย็นสุดๆ

หลังจากหาที่จอดรถได้แล้วก็หยิบกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ลงจากรถไป ตอนนี้ไม่เช้าไม่สายมีลูกค้ามากินข้าวพอสมควร

"คุณลุงครับ ผมขอหมูกรอบพิเศษ" ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มสุภาพแล้วเดินไปตักน้ำก่อนจะหาที่นั่ง

หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาอ่านข่าวบันเทิงเพื่อดูว่ามีข่าวของนักแสดงในสังกัดเรามั้ย มีข่าวดีๆ ก็ดีไปแต่ถ้ามีข่าวฉาวก็คงเหนื่อยหน่อย แต่ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นข่าวประกาศแต่งงานของดาราสาวของช่องยี่เจ็ดจะมาแรงที่สุดสินะ

กลบข่าวฉาวของนักแสดงชั้นสองของบริษัทผมไปเลย

พอนึกถึงหน้าคนก่อเรื่องแล้วก็ส่ายหัว เป็นเรื่องหยุมหยิมแต่ทางบริษัทจะทำการยกเลิกสัญญากับนักแสดงคนนั้นเพื่อตัดปัญหาในอนาคตและถือว่าเป็นการตักเตือนคนอื่นๆ ไปในตัว

"พี่ควินซ์"

เสียงคุ้นเคยดังขึ้นอย่างแปลกใจไม่มั่นใจระคนดีใจนิดๆ ผมทำหน้ามุ่ยทันทีแล้วค่อยๆ พับหนังสือพิมพ์เก็บวางบนโต๊ะแล้วเงยหน้ามองคนเรียกชื่อ

"พารัม" ทำไมบังเอิญเจออีกแล้ววะ

"พี่มาคนเดียวเหรอ" มองสำรวจไปรอบๆ "พี่นับหนึ่งไม่มาเหรอ"

"พี่จำเป็นต้องอยู่กับนับหนึ่งตลอดเวลาเลยรึไง" คิ้วพลันขยับเข้าหากันแล้วมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ "นั่งสิ"

มีเพื่อนกินข้าวดีกว่านั่งกินคนเดียว ถูกมั้ย?

คนได้รับเชิญให้นั่งดูแปลกใจกว่าเดิมแต่ก็ยอมนั่งลง "เวลาผมมาหาพี่ พวกพี่ก็มักอยู่ด้วยกันตลอด" พารัมยิ้มอ่อน "เวลาพี่อยู่คนเดียวแทบจะนับครั้งได้เลยจริงๆ"

มันขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เห็นรู้เลยจริงๆ

"มาคนเดียว?" ผมเปลี่ยนประเด็นใหม่แทน

"ครับ ผมก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด พี่ก็รู้" พารัมยิ้มบางๆ แล้วเคาะนิ้วเป็นจังหวะ มันเป็นนิสัยเสียของพารัมเวลากังวลจะชอบเคาะนิ้วบนโต๊ะหรือบนขา

"ยังไม่ยอมมีเพื่อนอีกเหรอ" อดไม่ได้ที่จะถามเพราะตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว พารัมไม่มีเพื่อนเลย ไม่ใช่ไม่มีเพื่อน แต่ไอ้เด็กนี่ไม่ยอมคบใครเลยต่างหาก ชอบอยู่คนเดียวไม่สุรสิงกับใคร พูดคุยกับทุกคนได้แต่ไม่คบค้าสมาคมไปไหนมาไหนกับใคร

"อยู่คนเดียวแบบน็ดีนะครับ สบายใจดี" ผู้ชายตรงหน้าคลี่ยิ้มกว้างขึ้นแล้วเอ่ยหยอก "ไม่ต้องพูดนะว่าจะเป็นเพื่อนให้ผม พี่ก็รู้ว่าผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับพี่"

"ผ่านมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ตัดใจอีกเหรอ" พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันเลยตั้งแต่ที่ผมเรียนจบมา นี่มันตั้งกี่ปีแล้ว เกือบสิบปีแล้วรึเปล่า

พารัมหัวเราะเบาๆ "ผมแค่ล้อเล่น" ก่อนน้องเขาจะเอ่ยอย่างจริงจัง "ผมตัดใจจากพี่ได้นานแล้ว"

ได้ยินแบบนี้ค่อยทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเลย

"อีกอย่างตอนนี้ก็มีคนตามจีบผมอยู่" พารัมคล้ายจะอึกอักขึ้นมา

ผมยิ้มนิดๆ "เขาคงตามจีบมานานและนายเริ่มใจอ่อน?" ก็นะ... ผมกับพารัมก็เคยคุยกันมาระยะเวลาหนึ่งเป็นธรรมดาที่ผมจะเข้าอกเข้าใจนิสัยบางอย่าง "ดีแล้ว"

"เขาตามจีบผมมาสี่ปีแล้ว ผมจะไม่หวั่นไหวได้ไง" พารัมตอนนี้เหมือนน้องชายตัวเล็กๆ อืม ผมก็มองเขาเป็นน้องชายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ผมพยักหน้าและเริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมา วันนั้นที่เจอพารัมในห้องอาหาร น้องเขาต้องการติดต่อผมไม่ใช่เพราะยังตัดใจไม่ได้จะสร้างความสัมพันธ์แต่เพื่อให้มีคนพูดคุยเป็นเพื่อนได้อย่างสบายใจ

บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้หาเพื่อน เวลาลำบากจะได้มีเพื่อนคอยให้คำปรึกษา เฮ้อ

"เขา? ผู้ชายเหรอ" ผมถามขณะหยิบจานข้าวมากินไปพลางๆ

"อืม เขาเป็นพนักงานในบริษัท" พารัมหลุบตาต่ำ "หลังจากผมเข้ารับตำแหน่งแทนคุณแม่ก็เจอ เขาชอบพูดว่านี่เป็นรักแรกพบแล้วเขาก็ตามจีบผมทุกวี่ทุกวัน เข้าทางผู้ใหญ่อีก"

ผมหัวเราะกัสีหน้าอึดอัดใจของพารัมแล้วยื่นมือไปตบไหล่ "โชคดีแล้ว ลองเขาหายไปสิ ใครจะหงอย"

พารัมถลึงตาใส่ผม "พูดเรื่องพี่บ้างเถอะ"

ทำไมวนมาเรื่องผมได้อีกเนี่ย

"เรื่องของพี่มันทำไม" ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ

"ตอนพี่เรียนจบ พี่บอกกับผมว่าให้ผมเดินไปข้างหน้า" พารัมสบตาผมนิ่ง

อื้มม เหมือนตอนนั้นผมจะพูดแบบนั้นจริงๆ

"ตอนนี้ผมเดินไปข้างหน้าแล้วนะ"

ก็ดีแล้วไง

ผมก้มหน้ากินข้าวแต่ก็ฟังไปด้วย

"แล้วเมื่อไรพี่จะเดินไปข้างหน้าสักที"

"ฮะ" ผมเงยหน้ามองคนถามอย่างมึนๆ

พารัมส่ายหัวแล้วถอนหายใจ...

"พี่จะจมปลักอยู่กับพี่นับหนึ่งแบบนี้ไปตลอดจริงๆ เหรอ"

"...!"

"พี่ชอบเขาให้ตายยังไง เขาก็ไม่ชอบพี่หรอก"

เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครมาพูดหรอก

เพราะตัวผมรู้ดีที่สุด