[ควินซ์]
หงุดหงิด
โมโห
อยากชกหน้าคน
แต่...เหมือนผมจะชกคนไปแล้ว
วันนี้เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมตื่นขึ้นมาด้วยสภาพอารมณ์หงุดหงิดไม่สดชื่น แล้วคงไม่ต้องบอกนะว่าผมหงุดหงิดอะไรมา เอ่อ แต่พูดหน่อยก็ได้
ผมทั้งหงุดหงิดทั้งโมโหไอ้นับหนึ่ง ไอ้เพื่อนเหี้ย ไอ้เพื่อนบัดซบ
ดูมันพูดกับผมสิ จะเลิกเป็นเพื่อน? จะเลิกคบผม?
ผมทำอะไรผิดวะ ผมทำไม่ดีกับมันเหรอถึงจะเลิกคบผม
"ไม่อยากเป็นเพื่อนกันแล้วเหรอวะ"
เอ่ยขึ้นอย่างซึมๆ กับตัวเองในกระจก ตอนนี้ผมกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ หลังจากโมโหไปแล้วต่อยนับหนึ่งไปแล้ว อารมณ์เศร้าหมองค่อยๆ เข้ามาแทนที่
หลังจากล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้ว ผมก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วเข้าไปในครัวเพื่อชงกาแฟ
เมื่อคืนผมรู้สึกว่าตัวเองบ้ามาก ผมขึ้นแท็กซี่ไปกับคนแปลกหน้าซึ่งเขาเป็นลูกค้าของร้านอาหารแล้วเรียกรถมารับ ไอ้ผมก็หน้าด้านขึ้นมากับเขา ตอนแรกทั้งคนขับแท็กซี่กับลูกค้าคนนั้นคิดว่าผมเป็นโจรขึ้นมาปล้นรถด้วยซ้ำ
เสียเวลาอธิบายอยู่ห้านาที พวกเขาถึงเข้าใจและยอมไปส่งผมหลังจากลูกค้าคนแรกลงรถไปแล้ว
เมื่อคืนผมไม่ได้กลับบ้านแต่เลือกจะนอนคอนโดนอกเมืองที่นับหนึ่งไม่รู้จักเพื่อที่อีกฝ่ายจะตามตัวผมไม่ได้ ตอนโมโหอยู่ยังไม่ควรเผชิญหน้ากัน รอให้ผมใจเย็นกว่านี้ก่อน
ดีนะที่วันนี้ผมไม่ต้องเข้าบริษัท ไม่งั้นได้มีทะเลาะกับนับหนึ่งจนบริษัทพังไปข้างแน่ๆ
ช่วงนี้นับหนึ่งมันบ้าแถมยังบ้ามากอีก มันทำตัวแปลกๆ คล้ายจะ...จีบผมด้วย แถมเมื่อวานมันทั้งกอดเอวทั้งหอมแก้มผม...
มือหยิบช้อนชงกาแฟชะงักเสียจังหวะไปเล็กน้อยเมื่อคิดถึงสัมผัสร้อนวูบวาบที่เพิ่งขึ้นเพียงเสี้ยววิ โอเค ผมยอมรับก็ได้ว่าตัวเองเขิน ในตอนนั้นมันเป็นอารมณ์ตกใจสับสนระคนเขินอายนิดๆ
พูดตรงๆ เลยว่าถึงผมจะรู้จักกับไอ้นับหนึ่งมายี่สิบปี สนิทสนมกันถึงขั้นกินอยู่นอนเตียงเดียวกัน ยืมเสื้อผ้ากันใส่ แก้ผ้าอาบน้ำอะไรเทือกๆ กันก็จริงแต่ไอ้หอมแก้มเนี่ย ไม่เคย!
ไหนจะ 'จูบ' อีก
มันกล้าพูดออกมาได้ยังไงกัน ผมเป็นเพื่อนมันนะ! ไม่ใช่คู่ขาคู่ควงมันรึเปล่าที่จะมาทำตัวรุ่มร่ามลวนลามกับผม แค่คิดว่าตัวเองถูกนำไปเปรียบไปเทียบกับบรรดาเด็กๆ คู่ควงคู่ขาในอดีตของนับหนึ่งแล้วยิ่งโมโหมากกว่าเดิม
ช่วงนี้มันไม่มีเด็กเลี้ยงไม่มีคู่ขาดแล้วของมันขาดรึไง (เด็กเลี้ยงถูกนับสองเอาเงินฟาดไล่หมดแล้ว นับสองให้เลือกระหว่างจะรับเงินแล้วไสหัวไปหรือจะอยู่ต่อแล้วโดนกระทืบ แน่นอนว่าทุกคนย่อมจากไปและไม่ติดต่อนับหนึ่งอีก) แต่ของขาดแล้วมาทำตัวรุ่มร่ามกับเพื่อนตัวเองมันใช่เหรอ
ถ้าจะแกล้งกันแบบนี้มันออกจะเกินไปหน่อย ผมไม่ตลกด้วย "จะบอกว่าชอบกูงั้นเหรอ ตลกกว่าเดิมอีก"
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มแล้วส่ายหัวให้กับความคิดเพี้ยนๆ ที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้
ถ้ามันจะชอบผม
มันคงชอบไปตั้งนานแล้ว
คลี่ยิ้มเศร้าแล้วกระดกกาแฟรวดเดียวหมดแก้ว... เอาล่ะ ไปอาบน้ำดีกว่า
---------------
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานนักก็เรียบร้อยดี วันนี้ไม่ได้ไปทำงานแต่ไปสปาและนวดแผนไทย ก็ดี วันนี้ยังไม่ต้องเจอหน้านับหนึ่ง แต่พรุ่งนี้ยังไงก็ต้องเจอ ตัดเพื่อนแล้วแต่สถานะเจ้านายลูกน้องยังอยู่
หรือลาออกแล้วหางานใหม่ดี?
ไปสมัครงานกับพวกทีสโตนดีมั้ย? ผมกับเก้าสนิทกันพอสมควร ขอให้น้องเขาหาตำแหน่งงานดีๆ สักตำแหน่งก็คงไม่ยากเย็นอะไร
แต่สุดท้ายแล้วผมจะกล้าออกจริงๆ เหรอ ถ้าหากไอ้นับหนึ่งมาง้อมาขอโทษ ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะใจแข็งได้รึเปล่า ก็นั่นแหละนะ เป็นเพื่อนกันมานานขนาดนี้ก็เคยมีเรื่องทะเลาะกันเล็กๆ น้อยๆ ก็เยอะ
"เมื่อวานก็ไม่เล็กนะ" ผมบ่นกับตัวเองเพราะมันถึงขั้นที่ผมลงไม้ลงมือไปอย่างขาดสติเลย
ผมควรเป็นฝ่ายไปง้อมันรึเปล่านะ
ความคิดในหัวสับสนวุ่นวายไปหมดจนรู้สึกปวดหัว ได้แต่ส่ายหัวส่ายหน้าแล้วหยิบขวดน้ำหอมขึ้นมาฉีดเบาๆ ก่อนจะหมุนตัวเช็กสภาพตัวเองอีกรอบจากนั้นจึงเดินไปหยิบกระเป๋าและกุญแจรถเพื่อไปหาข้าวเช้ากินก่อน
ผมมีคอนโดในกรุงเทพประมาณเจ็ดที่และบ้านอีกสามหลัง ส่วนรถมีประมาณสามคัน ไม่อยากซื้อรถเยอะเพราะมูลค่ามันจะตกลงในอนาคต ผมเลยเลือกซื้อเป็นบ้าน คอนโด ที่ดินมากกว่า
อย่าพูดเรื่องเงินเก็บ ตอนนี้แทบไม่มีเพราะเอาไปลงการช้อปปิ้ง คิดว่าตัวเองควรจะลดละและเบาๆ ลงได้แล้ว
ต้องคิดเผื่อวางแผนอนาคตครอบครัวอีก แม่ผมก็เร่งมาอีก เฮ้อ ผมโทรบอกพี่สาวให้คลอดหลานอีกคนดีมั้ย ปล่อยผมไปอีกสักพักเถอะ ยังไม่อยากเต่งงานเลย เฮ้อ
คิดเรื่อยเปื่อยขณะขับรถเข้าสู่ถนนใหญ่
ใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีก็มาถึงร้านข้าวหมูแดงข้าวหมูกรอบเจ้าประจำที่ผมชอบมากิน ร้านนี้เปิดตั้งแต่เช้าและปิดตอนเที่ยง เป็นร้านเรียบๆ บ้านๆ ใต้ตึกพาณิชย์สามคูหา ร้านหาไม่ยากแต่ที่จอดรถนี่สิ ยากเย็นสุดๆ
หลังจากหาที่จอดรถได้แล้วก็หยิบกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ลงจากรถไป ตอนนี้ไม่เช้าไม่สายมีลูกค้ามากินข้าวพอสมควร
"คุณลุงครับ ผมขอหมูกรอบพิเศษ" ผมเอ่ยบอกด้วยรอยยิ้มสุภาพแล้วเดินไปตักน้ำก่อนจะหาที่นั่ง
หยิบหนังสือพิมพ์บนโต๊ะขึ้นมาอ่านข่าวบันเทิงเพื่อดูว่ามีข่าวของนักแสดงในสังกัดเรามั้ย มีข่าวดีๆ ก็ดีไปแต่ถ้ามีข่าวฉาวก็คงเหนื่อยหน่อย แต่ดูเหมือนตอนนี้จะเป็นข่าวประกาศแต่งงานของดาราสาวของช่องยี่เจ็ดจะมาแรงที่สุดสินะ
กลบข่าวฉาวของนักแสดงชั้นสองของบริษัทผมไปเลย
พอนึกถึงหน้าคนก่อเรื่องแล้วก็ส่ายหัว เป็นเรื่องหยุมหยิมแต่ทางบริษัทจะทำการยกเลิกสัญญากับนักแสดงคนนั้นเพื่อตัดปัญหาในอนาคตและถือว่าเป็นการตักเตือนคนอื่นๆ ไปในตัว
"พี่ควินซ์"
เสียงคุ้นเคยดังขึ้นอย่างแปลกใจไม่มั่นใจระคนดีใจนิดๆ ผมทำหน้ามุ่ยทันทีแล้วค่อยๆ พับหนังสือพิมพ์เก็บวางบนโต๊ะแล้วเงยหน้ามองคนเรียกชื่อ
"พารัม" ทำไมบังเอิญเจออีกแล้ววะ
"พี่มาคนเดียวเหรอ" มองสำรวจไปรอบๆ "พี่นับหนึ่งไม่มาเหรอ"
"พี่จำเป็นต้องอยู่กับนับหนึ่งตลอดเวลาเลยรึไง" คิ้วพลันขยับเข้าหากันแล้วมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ "นั่งสิ"
มีเพื่อนกินข้าวดีกว่านั่งกินคนเดียว ถูกมั้ย?
คนได้รับเชิญให้นั่งดูแปลกใจกว่าเดิมแต่ก็ยอมนั่งลง "เวลาผมมาหาพี่ พวกพี่ก็มักอยู่ด้วยกันตลอด" พารัมยิ้มอ่อน "เวลาพี่อยู่คนเดียวแทบจะนับครั้งได้เลยจริงๆ"
มันขนาดนั้นเลยเหรอ ไม่เห็นรู้เลยจริงๆ
"มาคนเดียว?" ผมเปลี่ยนประเด็นใหม่แทน
"ครับ ผมก็ไปไหนมาไหนคนเดียวตลอด พี่ก็รู้" พารัมยิ้มบางๆ แล้วเคาะนิ้วเป็นจังหวะ มันเป็นนิสัยเสียของพารัมเวลากังวลจะชอบเคาะนิ้วบนโต๊ะหรือบนขา
"ยังไม่ยอมมีเพื่อนอีกเหรอ" อดไม่ได้ที่จะถามเพราะตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว พารัมไม่มีเพื่อนเลย ไม่ใช่ไม่มีเพื่อน แต่ไอ้เด็กนี่ไม่ยอมคบใครเลยต่างหาก ชอบอยู่คนเดียวไม่สุรสิงกับใคร พูดคุยกับทุกคนได้แต่ไม่คบค้าสมาคมไปไหนมาไหนกับใคร
"อยู่คนเดียวแบบน็ดีนะครับ สบายใจดี" ผู้ชายตรงหน้าคลี่ยิ้มกว้างขึ้นแล้วเอ่ยหยอก "ไม่ต้องพูดนะว่าจะเป็นเพื่อนให้ผม พี่ก็รู้ว่าผมไม่อยากเป็นเพื่อนกับพี่"
"ผ่านมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ตัดใจอีกเหรอ" พวกเราไม่ได้เจอหน้ากันเลยตั้งแต่ที่ผมเรียนจบมา นี่มันตั้งกี่ปีแล้ว เกือบสิบปีแล้วรึเปล่า
พารัมหัวเราะเบาๆ "ผมแค่ล้อเล่น" ก่อนน้องเขาจะเอ่ยอย่างจริงจัง "ผมตัดใจจากพี่ได้นานแล้ว"
ได้ยินแบบนี้ค่อยทำให้ผมโล่งใจขึ้นมาเลย
"อีกอย่างตอนนี้ก็มีคนตามจีบผมอยู่" พารัมคล้ายจะอึกอักขึ้นมา
ผมยิ้มนิดๆ "เขาคงตามจีบมานานและนายเริ่มใจอ่อน?" ก็นะ... ผมกับพารัมก็เคยคุยกันมาระยะเวลาหนึ่งเป็นธรรมดาที่ผมจะเข้าอกเข้าใจนิสัยบางอย่าง "ดีแล้ว"
"เขาตามจีบผมมาสี่ปีแล้ว ผมจะไม่หวั่นไหวได้ไง" พารัมตอนนี้เหมือนน้องชายตัวเล็กๆ อืม ผมก็มองเขาเป็นน้องชายมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ผมพยักหน้าและเริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมา วันนั้นที่เจอพารัมในห้องอาหาร น้องเขาต้องการติดต่อผมไม่ใช่เพราะยังตัดใจไม่ได้จะสร้างความสัมพันธ์แต่เพื่อให้มีคนพูดคุยเป็นเพื่อนได้อย่างสบายใจ
บอกกี่ครั้งแล้วว่าให้หาเพื่อน เวลาลำบากจะได้มีเพื่อนคอยให้คำปรึกษา เฮ้อ
"เขา? ผู้ชายเหรอ" ผมถามขณะหยิบจานข้าวมากินไปพลางๆ
"อืม เขาเป็นพนักงานในบริษัท" พารัมหลุบตาต่ำ "หลังจากผมเข้ารับตำแหน่งแทนคุณแม่ก็เจอ เขาชอบพูดว่านี่เป็นรักแรกพบแล้วเขาก็ตามจีบผมทุกวี่ทุกวัน เข้าทางผู้ใหญ่อีก"
ผมหัวเราะกัสีหน้าอึดอัดใจของพารัมแล้วยื่นมือไปตบไหล่ "โชคดีแล้ว ลองเขาหายไปสิ ใครจะหงอย"
พารัมถลึงตาใส่ผม "พูดเรื่องพี่บ้างเถอะ"
ทำไมวนมาเรื่องผมได้อีกเนี่ย
"เรื่องของพี่มันทำไม" ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ
"ตอนพี่เรียนจบ พี่บอกกับผมว่าให้ผมเดินไปข้างหน้า" พารัมสบตาผมนิ่ง
อื้มม เหมือนตอนนั้นผมจะพูดแบบนั้นจริงๆ
"ตอนนี้ผมเดินไปข้างหน้าแล้วนะ"
ก็ดีแล้วไง
ผมก้มหน้ากินข้าวแต่ก็ฟังไปด้วย
"แล้วเมื่อไรพี่จะเดินไปข้างหน้าสักที"
"ฮะ" ผมเงยหน้ามองคนถามอย่างมึนๆ
พารัมส่ายหัวแล้วถอนหายใจ...
"พี่จะจมปลักอยู่กับพี่นับหนึ่งแบบนี้ไปตลอดจริงๆ เหรอ"
"...!"
"พี่ชอบเขาให้ตายยังไง เขาก็ไม่ชอบพี่หรอก"
เรื่องนี้ไม่ต้องให้ใครมาพูดหรอก
เพราะตัวผมรู้ดีที่สุด