webnovel

บทที่ 9 ผจญภัยในโลกกว้าง 2

บทที่ 9

ผจญภัยในโลกกว้าง 2

หลังจากที่ผมได้ดูดซึมปราณเลื่อนขั้นในถ้ำเดิมทีผมคิดว่าใช้เวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่พอออกมาปากถ้ำและพูดคุยกับปักษาเฒ่านั้นผมก็เพิ่งรู้ว่านี่เข้าวันใหม่แล้ว ผมใช้เวลาเลื่อนขั้นไปทั้งคืนเลย มิน่าละเห็นท้องฟ้าส้มๆก็นึกว่าแค่เย็นๆ ตะวันกำลังจะตกดินซะอีก ที่ไหนได้ตะวันกำลังขึ้น นี่ผมก็ยังไม่ได้นอนเลยนะสิ ยังไม่ได้นอนเลยจะสิบโมงเช้า ชีวิตเป็นเพลงไปเลย แต่ผมก็ไม่ได้ง่วงเท่าไหร่สงสัยเป็นเพราะผลึกเพิ่มปราณธาตุที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายที่เหนื่อยล้า ผมเลยไม่มีอาการเหนื่อยหรือล้าเลยทั้งที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืน

"แล้วเจ้าจะไปที่ใดต่อเล่าเด็กน้อย"เสียงนี้ไม่ต้องบอกทุกคนคงเดาได้อยู่แล้วว่าคือ ปักษาเฒ่าตัวนั้นละครับ เรายังไม่ได้แยกย้ายกันจากปากถ้ำเพราะผมยังไม่ได้ถามอะไรบางเลย

"ท่านปักษาอาวุโส ข้ามีอะไรจะถามท่านสักหน่อยขอรับ"

"อะไรรึ"

"บริเวณนี้มีสมุนไพรอะไรที่ล้ำค่ามั้ยขอรับ"ถามแบบกว้างๆไปก่อน

"สมุนไพรล้ำค่ารึ เหมือนจะมีอยู่หรอกนะ"ตอบพรางทำท่าคิดไปด้วย ในร่างนกแบบนี้การทำท่าไม่ต่างจากมนุษย์นั้น มันตลกอยู่หน่อยๆแหละ แต่ต้องตีหน้านิ่งคีพลุคไว้ ถ้าขำเนี่ยเดี่ยวแกสะบัดขนใส่ 5555

"อะไรรึขอรับ"

"ไม่รู้ แต่น่าจะล้ำค่าอยู่เพราะมีค้างคาวเลือดระดับ 7 เฝ้ามันอยู่ในถ้ำ และถ้ำก็อยู่ห่างออกไปไกลนิดหน่อย" อ้าว แล้วมันจะเป็นสมุนไพรรึเปล่าละ เผื่อเป็นอย่างอื่นละ ทำไง

"ไกลแค่ไหนรึขอรับ"

" 5 ฟุตถัดจากปากถ้ำขึ้นไปด้านบนของปากเหว" ห๊ะ ใกล้แค่นี้เองเหรอว่ะ

"ไกลที่ไหนกันปักษาเฒ่า ไม่กี่ก้าวเนี่ยนะ"

"ก็ไกลสำหรับข้าละกันว่ะ ก็ข้าไปไหนไม่ค่อยได้นี่หว่า 5 ฟุตนี่ไกลมากละนะ"เสียงแหบของปักษาเฒ่าตอบกลับอย่างยียวน

"งั้นข้าจะไปดูสักหน่อย เผื่อจะเป็นดอกแก้วผสานจิตที่ข้าตามหาอยู่"ตามที่ผมคาดเดาไว้ว่าหากเจอผลึกหวนคืนมักจะเจอดอกแก้วผสานจิตอยู่ไม่ใกล้กันนักเพราะของทั้งสองสิ่งเกิดมาเพื่อคู่กัน ต้องใช้ทั้งสองอย่างจึงจะได้ผลดีที่สุด ฉะนั้นเจอหนึ่งต้องมีสองแน่ ผมเลยลองถามปักษาเฒ่าที่ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นแถวนี้ดู และก็อย่างที่คิดมีจริงๆด้วย อยากได้ของดีต้องถามเจ้าถิ่นดีที่สุดละนะ ถึงแม้เจ้าถิ่นผมจะกวนไปหน่อยก็เถอะ

"งั้นเจ้าก็ระวังอันตรายด้วยละ ค้างคาวเลือดไม่ได้มีเหตุมีผลแบบข้าหรอกนะ มันจู่โจมทันทีที่มีผู้บุกรุกเขตมัน ต่อให้เป็นแค่แมลงตัวจ้อย มันก็พร้อมจะฆ่าทิ้งอยู่ดี"ปักษาเฒ่าเตือนผมด้วยความเป็นห่วงถึงแม้ระดับผมจะสูงกว่า แต่ค้างคาวเลือดเก่งกาจเรื่องการลอบโจมตีเป็นที่สุด เขากลัวว่าไอ้เด็กนี่จะไม่รู้ว่าเยือนถิ่นพวกมันแล้วจะตายก่อนรู้ตัวนะสิ ยิ่งซื่อๆอยู่ คนส่วนใหญ่ที่เผลอเข้าไปอาณาเขตมันตายก่อนเห็นตัวมันด้วยซ้ำไป จะไม่ให้เขาเตือนได้ยังไง และไอ้เด็กนี่ยิ่งจะไปล้วงคอเอาของที่มันปกป้องไว้ในดงของมันขนาดนั้น จะได้กลับออกมามั้ยเนี่ยไอ้หนูเอ้ย

"ขอบคุณผู้อาวุโสสำหรับทุกสิ่งขอรับ งั้นข้าขอลาก่อน ไว้พบกันใหม่ขอรับ"ผมขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ปักษาเฒ่ามอบให้แล้วร่ำลาอย่างเป็นทางการ เพราะผมต้องเดินทางไปหาสมุนไพรตัวอื่นต่อหลังจากได้ดอกแก้วผสานจิตมาแล้ว เลยคิดจะไปไม่หวนมาเส้นทางเดิมแล้ว ส่วนจะได้มีโอกาศพบกันอีกมั้ยนั้น ให้ขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตอีกครั้ง

"อืม ขอให้เจ้าโชคดี"ปักษาเฒ่าอวยพรให้ผม ก่อนที่ผมจะคารวะแล้วหันหลังเดินออกมาตรงหน้าปากถ้ำอีกที แล้วร่ายเวทย์เหินตัวขึ้นไปยังปากถ้ำที่สูงกว่าไม่มากนัก และหน้าปากถ้ำก็เล็กกว่ามากขนาดเท่าคนเดินเข้าไปแค่คนเดียว ทำไมพอยืนหน้าปากถ้ำแล้วใจหวิวๆเหมือนหัวใจสูบฉีดเลือดมากขึ้น สงสัยเพราะอยู่ที่สูงหรือเปล่านะ จากนั้นผมจึงเอาไข่มุกเวทย์ขนาดเท่ากำปั้นเด็กออกใช้แทนครอบเพลิง เพราะไข่มุกเวทย์มีสีขาวนวลและส่องประกายสว่างขนาดดวงไฟย่อมๆ ผมจึงเอามาใช้แทนแสงสว่างจากนั้นจึงเดินเข้าไปในถ้ำ เดินเข้ามาประมาณ 5 นาที ผมเริ่มรู้สึกหัวใจเต้นรัวมากขึ้นเรื่อยๆไม่รู้ทำไม

ปุ ไข่มุกเวทย์ในมือหล่นลงไปที่พื้นถ้ำ เพราะอยู่ๆผมก็กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้พลังปราณในร่างกายปั่นป่วนสับสนแปลกๆราวกับได้รับอะไรมากระตุ้นสักอย่าง ผมจึงทบทวนใหม่ตั้งแต่เดินเข้าถ้ำไปว่าผมได้สัมผัสอะไรที่ทำให้พลังปราณปั่นป่วนรึเปล่า แต่ก็ไม่มี แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่างในถ้ำที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้แน่ๆ และจากการคาดเดาต้องเป็นค้างคางเลือดที่อาศัยอยู่ในถ้ำแน่ๆ ซึ่งพอผมมาคิดอีกทีถึงความเป็นไปได้ก็ทำให้ผมมั่นใจเพราะค้างคาวเป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนและมีคลื่นอะไรสักอย่างในตัวที่ใช้หาอาหาร เรียกง่ายๆคือมีเรเซอร์ส่วนตัวที่สามารถปล่อยไปกระทบเหยื่อหรือสิ่งมีชีวิต แล้วคลื่นนี้พิเศษตรงที่กระตุ้นหัวใจให้ทำงานมากขึ้นจนหัวใจสูบฉีดเร็วเกินไปแล้วทำให้หัวใจวายตายอย่างเฉียบพลันนั้นเอง มิน่าละปักษาเฒ่าถึงเตือนว่าไม่เห็นตัวก็น่าจะตายก่อน ผมน่าจะโดนลอบจู่โจมตั้งแต่หน้าปากถ้ำแล้วแน่ๆเลย จนตอนนี้พลังปราณเริ่มปั่นปราณก็นานพอควร ผมควรทำอะไรสักที่จะทำให้อาการผมดีขึ้น หนึ่งคือต้องไล่ค้างคาวเลือดพวกนี้ออกไปให้พ้นระยะที่ทำอันตรายเข้าได้ซะหรือไม่ก็ต้องฆ่ามันทิ้งจะได้ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ ส่วนสองคือหนีออกไปให้พ้นเขตที่ค้างคาวเลือดใช้คลื่นโจมตีผมซะ ซึ่งข้อสองนี้ไม่มีทางเป็นได้เลยเพราะพวกมันไม่น่าจะปล่อยให้ผมออกไปง่ายๆเหมือนตอนเดินเข้ามาแน่ๆ และอีกอย่างผมยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการเลยจะออกไปไม่ได้เด็ดขาด ฉะนั้นมีทางเดียวให้เลือกคือต้องฆ่ามันเท่านั้น คิดได้ดังนั้นผมเลยร่ายเวทย์ป้องกันครอบตัวผมไว้ แล้วร่ายเวทย์ปิดปากถ้ำซะ เพราะถ้าจะฆ่าต้องฆ่าทุกตัว หากยังมีที่เหลือรอดมันก็จะกลับมาแก้แค้นอยู่ดี ฉะนั้นคงต้องตายกันไปข้างเท่านั้น จากนั้นผมก็ร่ายเวทย์ลูกไฟวงแหวนขึ้นมาที่ฝ่ามือ แล้วก็ปาไปผนังถ้ำรอบตัวผม ปรากฏว่ามีค้างคาวเลือดเกาะอยู่เต็มผนังไปหมดจนมองไม่เห็นผนังถ้ำเก่า ก็ว่าทำไมถ้ำแลดูแคบๆที่ไหนได้มันคือกำแพงค้างคาวครับด้วยขนาดที่เล็กกว่าค้างคาวปกติครึ่งนึงและสีตัวที่ดำสนิท แล้วยังเกาะติดผนังถ้ำอย่างนิ่งสนิทนั้นทำให่้ผมเข้าใจผิดว่าถ้ำนี้มันมืดเพราะผนังถ้ำมีสีดำนั้นเอง แต่จริงๆมันคือค้างคาวเลือดที่พร้อมส่งคลื่นเข้ามาปั่นป่วนในร่างกายผมตั้งแต่ยืนหน้าถ้ำแล้ว พอผมปาลูกไฟวงแหวนไปโดนตัวพวกมันจำนวนนึงด้วยลูกไฟนี้เป็นแบบวงแหวนทำให้มันกระจายตัวออกไปรอบบริเวณที่ปาไปด้วยจึงเผาพวกมันตายไปจำนวนนึง นั้นจึงทำให้พวกมันทุกตัวโมโหที่พรรคพวกโดนทำร้ายจึงบินเข้ารุมล้อมที่ป้องกันเวทย์ของผมและพยายามส่งคลื่นเข้ามารุนแรงมากขึ้น จนตอนนี้เขตป้องกันเวทย์ที่เหมือนโดมแก้วครอบตัวผมอยู่เริ่มมีรอยร้าวเกิดขึ้น ผมจึงร่ายเวทย์ลูกไฟทะลวงมารแล้วปาไปที่ค้างคาวนอกเขตป้องกันทันที เพราะลูกไฟทะลวงมารไม่จำเป็นต้องร่ายเวทย์ซ้ำๆร่ายครั้งเดียวสามารถปาลูกไฟไปได้เรื่อยๆจนกว่าพลังปราณคนร่ายจะหมดลง แล้วตอนนี้ผมก็ปาไปเรื่อยๆจนได้กลิ่นเผาไหม้และกินเนื้อสุกตลบอบอวลไปทั่วทั้งถ้ำ เพราะไม่มีที่ให้อากาศผ่านออกไปทำให้กลิ่นเนื้อไหม้รุนแรงขึ้นจนแสบจมูกไปหมด แต่ตอนนี้จำนวนค้างคาวยังคงมีมาเรื่อยๆราวกับที่ตายไปกองใหญ่อยู่ที่พื้นนั้นเป็นแค่หนึ่งในห้า ถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานผมต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบแน่เพราะทั้งอากาศในนี้ที่กำลังน้อยลงเรื่อยๆและกลิ่นควันเผาไหม้ที่ส่งผลต่อการหายใจโดยตรงแบบนี้จะทำให้ผมหมดสติในที่สุดแน่เพราะออกซิเจนไม่พอไปเลี้ยงสมองนะสิ ทำยังไงดีว่ะ จะมาตายกากๆแบบนี้ไม่ได้นะเว้ย ผมเป็นพระเอกไม่ใช่เหรอว่ะ เห้ยย คิดออกแล้วจากนั้นผมจึงร่ายเวทย์เพลิงผลาญมังกรออกไป ทำให้เบื้องหน้าผมมีมังกรไฟตัวเขื่องกำลังลอยมาโอบล้อมเขตป้องกันผมไว้ จากนั้นก็พ่นไฟออกไปใส่ค้างคาวเลือดที่หล่นลงมาตายที่พื้นระเนระนาดในพริบตาเดียว ค้างคาวเลือดที่มากมายจนผมคิดว่าจะต้องเพลี่ยงพล้ำแล้วแน่ๆกลับพลิกมาชนะอย่างง่ายๆเฉย สกิลพระเอกว่ะ เกือบไม่รอดแหนะ โง่เหนื่อยตั้งนาน ทำไมไม่คิดถึงเวทย์บทนี้ตั้งแต่ทีแรกก็ไม่รู้

หลังจากนั้นผมจึงคล้ายเวทย์ทุกอย่างลงทำให้ทุกอย่างหายไปทั้งมังกรไฟ เขตป้องกัน และสิ่งที่ปิดปากถ้ำ จนตอนนี้เริ่มมีอากาศและแสงแดดส่งเข้ามาได้บ้างแล้ว ผมจึงมองเห็นผนังถ้ำที่มีสีเหลืองของกำมะถันเหลืองจากนั้นผมจึงรีบเดินเข้าไปในก้นถ้ำหาของที่คิดไว้ แล้วก็พบจริงๆด้วยเป็นต้นดอกแก้วผสานจิตที่ตอนนี้เหมือนต้นกำลังเหี่ยวเฉาลงจากความร้อนในไฟที่เผาค้างคาวเมื่อกี้ น่าส่งผลให้ต้นไม้ที่กำลังผลิบานและชอบที่เย็นเหี่ยวเฉาลงไม่ยาก ผมจึงคอยๆขุดต้นดอกแก้วผสานจิตที่ขนาดต้นเป็นพุ่มเล็กสูงไม่เกินเข่าผมอย่างระมัดระวังแล้วเข้ามาในแหวนมิติหากระถางมาปลูกไว้ให้ต้นมันคืนชีพ เพราะต้องใช้ดอกมันนี่น่าและตอนนี้มันก็กำลังเหี่ยวเฉาส่งผลให้ดอกมันที่กำลังบานก็เหี่ยวลงไปด้วย จะเก็บแบบเหี่ยวๆไปใช้ก็ไม่ได้เพราะยังบานไม่เต็มที่เลย สรรพคุณก็จะน้อยลง ทางเดียวคือขุดไปปลูกนี่ละครับ ดีที่สุดแล้ว และอีกอย่างในแหวนมิติผมก็มีผลึกหวนคืนอยู่เอามาวางไว้ใกล้กระถางแปปเดียวต้นดอกแก้วผสานจิตเหมือนจะมีชีวิตชีวากลับมาอีกครั้ง หลังที่เห็นต้นดอกแก้วผสานจิตกำลังจะผลิบานดอกต่อผมเลยออกมานอกแหวนมิตเพื่อจะเดินทางต่อ ปล่อยให้ต้นดอกแก้วผลิบานออกดอกจนเต็มที่ผมค่อยเข้าเก็บดอกมันก็ไม่สาย แห่ม ผมนี่มันเก่งจริงๆเข้ามาที่นี่ไม่ถึงสองวัน ก็ได้ของดีมาแล้วตั้งสามอย่างแหนะ ลูกรักพระเจ้าจริงๆ ป่าคงรักผมแน่ๆเลยอะ ไม่งั้นจะให้ของที่หายากแบบนี้กับผมง่ายๆได้ไง ถูกมั้ยทุกคน ชมตัวเองเสร็จผมเลยเดินออกมาปากถ้ำแล้วเหินตัวลอยขึ้นไปบนปากเหวของภูเขาลูกนี้ แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปในป่าด้วยรอยยิ้มน้อยๆประดับมุมปากทั้งสองข้างตลอดเส้นทางที่เดินผ่านราวกับโลกนี้สดใสนัก เพราะกำลังหลงตัวเองอยู่นั้นเอง เลยไม่ได้มองรอบตัวเลยว่ากำลังเดินอยู่ในป่าอะไร

ผมเดินแบบเหยียบเมฆาเข้ามาเรื่อยๆพร้อมทั้งคิดไปเรื่อยเปื่อยของผมไป จนตอนนี้เพิ่งจะสังเกตรอบๆตัวเองที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดสลัวๆและมีหมอกหนาอยู่รอบตัว ทำให้มองห็นแค่รางๆแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ตรงหน้า แล้วตอนนี้ผมก็เริ่มหนาวขึ้นมาอย่างเพิ่งรู้ตัวว่าได้เดินเข้ามายังเขตป่าหมอกมรณะในป่าอาถรรพ์แล้ว เดินเข้ามาทางไหนนะแล้วเข้ามาตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะตอนที่เขาออกมาจากถ้ำก็บ่ายคล้อยแล้ว แสดงว่านี่ก็ใกล้จะค่ำแล้ว แต่ผมดันเดินทะเล่อทะล่าเข้ามายังเขตที่อันตรายเป็นอันดับต้นๆในป่าอาถรรพ์ในเวลาที่อันตรายอีก พระเจ้าไม่รักผมแล้ว พาผมมาที่อันตรายขนาดนี่เรียกว่ารักได้อีกหรอ ผมพาลไปเรื่อยทั้งที่ความจริงมันเป็นเพราะผมเองอีกตามเคยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือแล้วเดินเข้านี่อะ แต่จะให้ผมทึ้งผมตัวเองแล้วด่าว่าสะเพร่าไม่ดูตาม้าตาเรือ มัวแต่ยอตัวเองจนชีวิตวิบัติแบบนี้ก็ไม่ได้อะ ทำไงดีอะ บรรยากาศน่ากลัวมากด้วยตอนพลบค่ำแบบนี้ เข้าไปอยู่ในแหวนมิติละค่อยออกมาตอนเช้าดีกว่า คิดได้ดังนั้นผมเลยเข้าไปอยู่ในแหวนมิติตัวเองที่ภายในเป็นเหมือนห้องๆนึงที่เก็บของจำเป็นทุกอย่างเอาไว้ยกเว้นเตียงที่ใหญ่เกินไป ถ้าใส่เข้ามาในแหวนมิติจะกินพื้นที่มากเกินไปผมเลยใช่เป็นฟุกสามอันมาซ้อนกันแทนแล้วปูพรมขนจิ้งจอกหิมะแทนผ้าปูเตียงในมุมนึงของแหวนมิติ แล้วในนี้ก็เต็มไปด้วยโหลของกินที่ผมเตรียมมากินในป่านี้เยอะแยะเลยทั้งผลไม้แห้ง ขนม ชาและอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว จากโรงครัวที่เขตบุหลันนั้นแหละครับ แค่เขียนเมนูแล้วลงวันที่จะกิน ครัวเวทย์ที่นั้นก็จะจัดเตรียมอาหารไว้ให้ในห่อผ้ารักษากาลเวลาที่จะคงรักษาสภาพของอาหารเหมือนเสร็จใหม่ๆออกจากครัวทันที แล้วห่อมาให้อย่างดีสามารถใส่ลงไปในแหวนมิติได้สะดวกอีกด้วย ผมเลยชอบอาหารที่ครัวเวทย์มากเพราะอร่อย ถูกปาก กินที่ไหนก็ยังอร่อยเหมือนเดิม ผมเลยเดินไปโต๊ะที่วางของกินต่างๆไว้แล้วลงมือกินข้าวตามด้วยขนมล้างปากแล้วปิดมื้ออาหารด้วยชายอดน้ำค้างที่หอมหวาน จากนั้นก็เดินไปอีกมุมที่มีฉากกั้นอยู่และมีอ่างอาบน้ำขนาดกลางที่บรรจุน้ำสะอาดอยู่ผมจึงผลัดผ้าแล้วร่ายเวทย์ให้น้ำอุ่นขึ้น จากนั้นก็ลงไปนอนแช่น้ำอุ่นซึ่งช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าได้ดีมาก หลังจากขึ้นจากอ่างแล้วผมก็ใส่ชุดนอนตัวขาวบางแล้วไปนอนที่ฟุกนุ่มอุ่นนั้นแล้วหยิบหนังสือสักเล่มในชั้นที่ผมเอาเข้ามาด้วยอ่านไปเพลินๆ เนื่องจากตอนนี้ยังไม่ดึกมากผมเลยยังไม่ง่วงเท่าไหร่และการอ่านหนังสือนั้นน่าจะดีที่สุดเพราะอ่านทีไรง่วงทุกที หนังสือเหมือนยานอนหลับนั้นละนะผมเลยหยิบมาอ่านจะได้ง่วงนอนไง

อีกด้านนอกป่าหมอกมรณะมีบุรุษชุดครามปักดิ้นทองลวดลายเมฆขาวกำลังหนีอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นอย่างหัวซุกหัวซุน ด้วยความที่ตอนนี้มีแต่ความมืดรายล้อมทำให้เขามองไปทางไหนก็ล้วนเหมือนกัน จึงวิ่งบนกิ่งไม้ใหญ่ตรงไปเรื่อยๆจนเข้ามายังเขตป่าที่มีความหนาวเหน็บกว่าป่าที่เขาเพิ่งผ่านมาด้วยความที่หนาวเหน็บบวกกับบาดแผลที่ผมได้รับจากการต่อสู้กับสัตว์อสูรกระทิงคำรามที่เป็นสัตว์อสูรขั้น 6 ที่มีความเร็วราวกับภูติผี ทั้งยังมีเขาที่เรียกสายฟ้าได้ และหนังที่ทนทานต่อไฟและสายฟ้านั้นอีก ทำให้เขาที่เผลอตกต้นไม้ตอนล่าภูตกระรอกแล้วหล่นใส่หลังมันต้องปะทะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วด้วยความที่เขาเป็นผู้ใช้ยุทธ์ทำให้ตกเป็นรองสัตว์อสูรตัวนั้นอยู่แล้ว เรื่องพลังกำลังและความอึดทนทานนั้นคนจะสู้กระทิงได้ยังไง ต่อให้ระดับเขาจะสูงกว่าแต่คุณสมบัติของกระทิงตัวนั้นก็ไม่อาจเอาชนะได้เลยด้วยซ้ำ แล้วด้วยความเร็วราวกับหายตัวได้ของกระทิงตัวนั้นก็ทำให้เขาโดนมันขวิดจนมีแผลขนาดใหญ่ที่หน้าท้อง จากนั้นก็สูงกับกระทิงตัวนั้นหลายชั่วโมงจนหาทางหนีออกมาได้ แต่ก็ต้องระแวดระวังอยู่ดีเพราะไม่รู้ว่ามันจะโผล่มาจากไหนรึเปล่า เพราะตอนที่เขาหนีมาด้วยความเร็วที่สุดที่เขามี ข้างหลังเขามักจะได้ยินเสียงลมแหวกผ่านด้วยความเร็วตามมาเสมอ จนตอนที่เขาเข้ามายังเขตอากาศหนาวนี่แหละที่รู้สึกว่าไม่มีอะไรตามมาแล้ว เขาจึงหยุดอยู่ที่กิ่งไม้ขนาดใหญ่กิ่งนึงที่มองอะไรเบื้องล่างต้นไม้ใหญ่นี่ไม่เห็นอะไรเลยนอกจากหมอกที่หนาจัด เขาจึงจุดไฟในอากาศขึ้นแล้วสำรวจบาดแผลที่ตอนนี้เลือดหยุดไหลแล้ว แต่แผลเหวะหวะขนาดใหญ่จนมองเห็นอวัยวะภายในกลายๆนั้นก็ทำให้เขาตกใจได้ไม่น้อย อย่างตอนที่โดนขวิดด้วยความที่กลัวตายอยู่เลยไม่รู้สึกเจ็บมากนัก แต่ตอนนี้ที่เห็นแผลชัดๆบวกกับอาการเหนื่อยล้าที่ต่อสู้มาหลายชั่วโมงก็ทำให้เขาหมดสติและหล่นจากต้นไม้ไป

ตุ้บ ผมที่กำลังสะลึมสะลืออยู่จากการที่คว่ำตัวนอนอ่านหนังสือได้ยินเสียงอะไรหล่นจากที่สูงตกลงพื้นดินอย่างแรงทำให้ผมสะดุ้งตัวตื่นทันทีว่ามีอะไรหล่นใกล้แถวๆที่ผมเข้ามายังแหวนมิติรึเปล่า ผมเลยคิดจะออกไปดูสักหน่อยว่าคืออะไร อันตรายก็กลัวอยู่หรอกนะแต่ความอยากรู้อะมีมากกว่านะสิ ผมเลยหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาใส่แล้วไปหยิบไข่มุกเวทย์มาแทนครอบไฟ จากนั้นก็ออกมายังจุดที่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่ผมเข้าไปยังแหวนมิติเมื่อตอนหัวค่ำนั้น ก่อนจะเดินไปใต้ต้นไม้นั้นที่มีเงาก้อนอะไรสักอย่างดำๆม่วงๆกองอยู่ ผมเลยร่ายเวทย์ให้ไข่มุกลอยเข้าใกล้เพื่อดูว่าก้อนนั้นคืออะไร ถ้าเป็นผีหรืออันตรายอะไรด้วยระยะนี้ผมน่าจะเข้าไปในแหวนมิติทันจึงยืนอยู่ห่างไม่มากนัก แต่เมื่อไข่มุกลอยเข้าไปใกล้ก็ทำให้ผมเห็นคนที่หมดสติหน้าซีดขาวราวกระดาษเอสี่และท้องที่เป็นรูขนาดใหญ่เหมือนโดนเขาอะไรสักอย่างแทง สภาพไม่น่ารอด หรือนี่จะเป็นศพนะ แต่หน้าท้องที่เป็นแผลนั้นยังขยับอยู่หน่อยๆนะ เสือสมิงหรือเปล่าว่ะ โลกนิยายนี่มีเสือสมิงป่ะ ไม่น่ามีหรอกมั้งนี่โลกเทพเซียนในจีนนะ ผมเลยค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ร่างใหญ่ที่ไร้สติ

"นี่เจ้า นี่ ตายรึยังอะ"ผมใช้เท้าสะกิดเข้าที่แขนใหญ่ข้างที่อยู่ใกล้ผมที่สุด

"....."เสียงอะไรนะ ร่างที่ไร้สติคิดอย่างลำคาญว่าอะไรกันมาสะกิดเขา

"คนหรือเปล่า ถ้าคนจะได้ช่วย"ผมถามลองเชิงไปงั้นแหละ รู้หรอกว่าตอบไม่ได้

"..."อะไรนะ เสียงอะไร

"ไม่ตอบงั้นไปนะ"ผมเลยแกล้งจะเดินหนี เพราะเห็นเปลือกตานั้นเริ่มขยับเหมือนจะตื่นแล้ว

"ชะ..ช่ว…ช่วยด้วย…ช่วยข้าด้วย"มือที่ไร้เรี่ยงแรงเหมือนจับเข้ากับอะไรได้สักอย่าง และจิตสำนึกลึกๆของเขาตัองการรอดชีวิต เขาจึงเผลอร้องขอให้ใครสักคนช่วยเขาด้วย ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่เขาคว้าได้จะเป็นข้อเท้าใครสักคน

"เห้ยยย ตกใจหมด"ผมที่โดนคว้าข้อเท้าไว้ด้วยมือใหญ่นั้นทำให้ผมตกใจหมดเลย นึกว่าจะโดนซะแล้ว เมื่อเห็นมือใหญ่นั้นไม่ยอมปล่อยสักทีผมเลยต้องแงะมือออกเอง นี่หมดสติจริงป่ะเนี่ย ทำไมแรงเยอะขนาดนี้นะ ข้อเท้าผมแดงเทือกไปหมด หลังจากข้อเท้าเป็นอิสระแล้วผมจึงจับข้อมือใหญ่นั้นแล้วพาหายวับเข้ามาในแหวนมิติทันที ทำให้เมื่อเข้ามาแล้วจึงเห็นคนเจ็บได้ชัดสักที ทั้งรูปร่างที่สูงใหญ่ มีกล้ามเนื้อสวยได้รูปอยู่ในชุดสีครามปักลวดลายเมฆลอยเด่น ส่งผลให้หน้าที่คมกริบ ริมฝีปากไม่บางไม่หนาสีเข้ม จมูกโด่งเป็นสัน คิ้วกระบี่สีเข้ม กรามนูนชัดนั้นดูเป็นผู้ใหญ่ที่น่าจะมีอายุสัก 25 ปีได้จากนั้นผมเลยเดินเข้าไปดูแผล แผลที่เห็นเป็นรูขนาดใหญ่นั้น ผมทำความสะอาดแผลด้วยน้ำทิพย์จะได้นอนหลับสบายขึ้นแล้วใส่ยาสมานแผลให้ จากนั้นผมก็ถอดเสื้อผ้าเขาออกแล้วพันแผลให้ จากนั้นนำผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวแล้วใส่ชุดนอนผมที่ต้องร่ายเวทย์ขยายชุดให้ จากนั้นผมจึงไปเตรียมฟุกนอนให้เข้า โดยแบ่งจากฟุกสามชั้นนี่ละครับ โดยแบ่งมาชั้นเดียวให้เขา จะว่าเห็นแก่ตัวก็ใช่ แต่ผมนอนที่นอนแข็งๆแล้วไม่หลับนี่ ส่วนเขานะหลับไปแล้ว ฉะนั้นนอนนุ่มนอนแข็งเขาก็ไม่รับรู้หรอก ผมจึงนำไปปูใกล้ๆกระถางต้นดอกแก้วผสานจิตและผลึกหวนคืน เพื่อที่ละอองจากดอกแก้วและไอจากผลึกจะทำให้แผลสมานหายเร็วขึ้น จากนั้นก็พยายามพยุงร่างที่ใหญ่กว่าตัวเองไปนอนที่ฟุกนั้นด้วยความยากลำบากเพราะร่างสูงที่ตัวหนักกว่านั้นโถมกายมาที่ผมจนเกือบล้มหลายครั้งหลายคราจนพามานอนที่ฟุกได้สำเร็จผมจึงห่มผ้าให้แล้วเดินไปฝั่งตรงข้ามที่เป็นฟุกนอนผม ด้วยความที่เหนื่อยมาทั้งวันจนเมื่อกี้ทำให้เมื่อหัวถึงหมอนผมก็หลับเป็นตายทันที

อีกฝั่งของฟุกที่ตอนนี้คนหมดสติได้ลืมตาสีดำรัตติกาลขึ้นมาในความมืดแล้วมองไปที่ร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังนอนหลับสนิท จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปยังฟุกนั้นราวกับไม่เคยเจ็บหรือมีบาดแผลมาก่อน แล้วจรดริมฝีปากไปที่หน้าผากแล้วร่ายเวทย์ลงไปที่หน้าผากนั้นอีกที แล้วจึงเดินกลับมาที่ฟุกนอนตนเองแล้วนอนหลับไปพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก

ของขวัญจากผู้อ่านคือกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงาน ช่วยส่งกำลังใจให้ไรต์หน่อยนะ!

mmmintmintcreators' thoughts