บทที่ 8
ผจญภัยในโลกกว้าง
กลางป่าหลังเขตสำนักบุหลันที่เงียบสงัดตอนนี้ได้มีร่างเพรียวบางในชุดสีขาวยืนนิ่งเป็นสง่าด้วยใบหน้าที่สวยราวกับสตรีนั้นทำให้ภาพที่เห็นราวกับความฝันที่เทพธิดาอยู่ในสวนบุปผาสวรรค์ เพราะร่างบางยืนอยู่ใต้ต้นดอกหงระย้าสีชมพูที่ตอนนี้กำลังแข่งกันผลิบานออกดอกกันอย่างสวยงาม หลังจากที่ร่างบางเคลื่อนย้ายมาอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างบางต้องปรับตัวเล็กน้อยจึงยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อปรับสภาพที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วทั้งสภาพอากาศที่หนาวเย็นขึ้นจากร่มเงาของป่า และแสงสว่างที่น้อยลงเพราะมีแต่ต้นไม้สูงใหญ่ทำให้บดบังแสงแดดที่ส่องลงมา หลังจากที่ปรับสภาพได้แล้วผมจึงมองไปรอบๆส่วนที่อยู่ตอนนี้เป็นยังไงจะได้วางแผนว่าจะไปทางไหนก่อนดี ซึ่งจากที่ดูป่ารอบๆตัวตอนนี้ทางซ้ายมือผมมีต้นไม้ขึ้นอย่างแน่นขนัด ทำให้เวลามองลึกเข้าไปเห็นทัศนียภาพได้ไม่มากนักแถมยังแลดูวังเวงอีกต่างหาก เนื่องจากต้นไม้ที่แออัดกันต่างต้องการแสงแดดเพื่อเติบโตกันทั้งนั้นทำให้แสงแดดยิ่งส่องลงมาไม่ถึงพื้น ลึกเข้าไปใต้ต้นไม้จึงเหมือนมีหมอกอยู่กลายๆและดูมืดมนลึกลับอันตรายจนไม่น่าเดินเข้าไปในป่าเขตนั้น ส่วนทางขวาอากาศกำลังอบอุ่นพอดีไม่หนาวเกินไปไม่ร้อนเกินไปเนื่องจากเป็นป่าโปร่งที่ต้นไม้ขึ้นอย่างสม่ำเสมอไม่น้อยเกินไปไม่มากเกินไป ทำให้ยังพอมีส่วนที่แสงแดดส่องลงมาถึงพื้นดิน อากาศจึงน่าอยู่กว่าฝั่งซ้ายมือนัก ส่วนเบื้องหน้าผมเหมือนจะเต็มไปด้วยพุ่มไม้ที่มีดอกไม้บานเต็มไปหมด ลองฟังเสียงดูเหมือนจะได้ยินเสียงน้ำตกจากที่ที่ผมยืนอยู่ไม่ไกลไม่ใกล้มากนักจึงพอได้ยินเสียงอยู่
ส่วนข้างหลังที่ผมยืนอยู่คือมีต้นดอกหงระย้าอยู่แล้วถัดจากต้นไม้ใหญ่ไปไม่กี่ต้นคือตีนเขาลูกนึงที่ต้องเดินขึ้นไปสำรวจดูว่าภูเขาลูกนี้มีอะไรบ้าง ผมจึงตัดสินใจเดินไปทางขวามือเพราะจากสภาพแวดล้อมน่าจะมีสมุนไพรเติบโตได้ดีและหลากหลายชนิดกว่าทุกทิศแล้ว ส่วนป่าทิศอื่นๆถ้าผมหาในป่าทางขวามือค่อยเดินกลับมาก็ยังไม่สาย ผมจึงใช้วิชาเหยียบเมฆาที่สามารถเดินบนอากาศที่ระดับสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณ 1 ฟุต เพื่อก้าวไปได้อย่างรวดเร็ว 1 ก้าวปกติบนพื้นดินเทียบเท่า 5 ก้าวบนนี้ และเพื่อไม่ให้มีรอยเท้าให้ตามติดได้ เผื่อมีคนเข้ามาล่าหาสัตว์เวทย์ในป่านี้จะได้ไม่มาปะทะกับผมต่อนึงด้วยนั้นเอง ในขณะที่ผมกำลังสอดส่องสายตาไปรอบๆทางที่ผมเดินทางผ่านก็เหมือนมีประกายบางอย่างมากระทบที่หางตาผมทางซ้ายมือ ผมเลยหยุดแล้วเดินเข้าไปดูทิศทางนั้นทันทีก่อนจะเข้าไปใกล้ประกายนั้นกลับมีเสียงร้องหวีดขึ้นมาอย่างข่มขู่เหนือหัวผม เมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นปักษาเพลิงพิโรจน์ตัวขนาด 3 ฟุตเศษ กำลังบนวนเหนือหัวผมไปมาราวกับกำลังเตรียมพร้อมต่อสู้หากผมเดินเข้าไปใกล้อะไรสักอย่างเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ผมกำลังยืนประเมินสถานการณ์อยู่กับที่ ทำให้ปักษาเพลิงพิโรจน์บินร่อนตัวเองมายืนขวางเบื้องหน้าที่ห่างจากผมประมาณสามเมตรได้ มองกะจากสายตาที่ยืนระดับเดียวกันปักษาเพลิงพิโรจน์น่าจะสูงเลยเอวผมมานิดหน่อย และจากที่เห็นรัศมีสีแดงที่แผ่ออกมาจากปีกสีแดงแซมดำนั้นแล้วปักษาตัวนี้น่าจะอยู่ในระดับ 6 ได้ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์เวทย์ระดับกลางใกล้จะสูงแล้ว แล้วที่มีชื่อว่าปักษาเพลิงพิโรจน์นั้นเพราะปีกสีแดงแซมดำที่เห็นนั้นแม้จะสวยงามมาก แต่ก็มีพิษสงมากเช่นกันเนื่องจากสีแดงของปีกมันเกิดจากการที่ร่างกายมีธาตุไฟโลกันต์เยอะเกินไปจนไปประจุกันอยู่ที่ปีกจึงทำให้ปกติปีกเป็นสีดำแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเพลิง ถ้าถูกปีกนั้นสะบัดใส่หรือแตะโดนปีกสีแดงนั้นเท่ากับรนหาที่ตายเพราะไฟโลกันต์จะไม่สามารถมอดดับไปเองได้จนกว่าจะเผาไหม้สิ่งที่สัมผัสโดนปีกมันหมด หรือต้องมีน้ำทิพย์มาชะโลมเท่านั้นเพราะน้ำทิพย์มีฤทธิ์เย็นและช่วยชะล้างบาดแผลที่เกิดจากไฟโลกันต์ได้ และโดยปกติปักษาเพลิงพิโรจน์นี้จะไม่ทำอันตรายกับใครก่อน เพราะมันเป็นสัตว์เวทย์ที่รักสงบพอควรและรู้ถึงพิษสงตัวเองดีมันจึงอยู่เงียบๆเป็นที่เป็นทางไม่รังแกสัตว์ที่อ่อนแอกว่า นอกจากคนที่บุกรุกพื้นที่มันเข้ามามันจึงจะสู้สุดใจและอาฆาตแค้นเป็นที่สุดเพราะมันถือว่าจะเข้ามาทำร้ายมัน มันจึงต้องปกป้องตัวเอง โดยการที่ต้องตายกันไปข้างเท่านั้น และผมก็เป็นคนบุกรุกคนนั้นนั้นเอง เอาไงดีนะ ถอยก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไปไม่ถึง ด้วยระดับของปักษาที่ต่ำกว่าผมหนึ่งขั้นทำให้ผมได้เปรียบอยู่บ้าง แต่พิษสงของปีกนั้นอะผมเอาจะชนะได้ยังไง โดยไม่บาดเจ็บเลยนะสิ
"เอ่อ ท่านปักษา ข้าไม่ได้มีเจตนาจะเข้ามารุกรานทำร้ายท่านนะขอรับ เพียงแค่เห็นประกายบางอย่างเลยตามมาดูเพียงเท่านั้น หากทราบว่านี้คืออาณาเขตของท่าน ข้าจะไม่ล่วงล้ำเข้ามาเลยขอรับ"ผมเจรจาดีๆกับปักษาเพลิงพิโรนจ์ตัวนี้เพราะสัตว์เวทย์ที่มีระดับ 5 ขึ้นไปมักจะฟังมนุษย์รู้เรื่องเข้าใจ และมักจะตอบกลับมาทางกระแสจิตได้อีกด้วย
"แล้วเจ้าเข้ามาที่ป่าแห่งนี้ด้วยเหตุอันใดเล่าเจ้ามนุษย์น้อย"กระแสจิตของปักษาเพลิงพิโรจน์ถูกส่งเข้ามายังกระแสจิตผมด้วยน้ำเสียงแหบแข็งแรงที่เหมือนเสียงชายชราที่ยังดูสุขภาพดีอยู่
"ข้าเป็นศิษย์คนที่หกของเขตสำนักบุหลันภายในสำนักญาณศึกษานี่เองขอรับ วันนี้ข้าได้ทำการทดสอบเพื่อเลื่อนระดับเป็นผู้ปรุงยาเลยต้องเข้ามาหาสมุนไพรไปทำการรักษาโรคที่ข้าจับฉลากได้นะขอรับ"ผมตอบตามความจริงทุกอย่าง หวังใช้ความจริงใจเข้าสู้นั้นแหละ
"อืม ศิษย์ของสำนักญาณศึกษากลางหุบเขาในป่าอาถรรพ์นั้นนะรึ"
"ขอรับ อาจารย์จึงให้ข้าเข้ามาหาสมุนไพรในป่านี้แล้วข้าก็เดินมาเรื่อยๆจนเมื่อกี้เห็นอะไรบางอย่างจึงเข้ามาดู ไม่ได้คิดว่าจะบุกรุกอาณาเขตท่านโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเช่นนี้ ต้องขออภัยท่านด้วยขอรับ"ผมกล่าวอย่างอ่อนน้อมด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ
"5555 เดิมทีข้าก็โกรธและโมโหอยู่หรอก แต่เห็นคนหนุ่มที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นเจ้าแล้วข้าก็โกรธไม่ลงหรอกนะ ส่วนใหญ่มนุษย์ที่เข้ามาในอาณาเขตข้าล้วนแต่มีจิตใจไม่ใสสะอาดทั้งนั้น เพราะหวังจะครอบครองในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน ทำให้เอาชีวิตมาจบลงที่นี่มากมายหลายคนทั้งคนหนุ่มคนสาวทั้งหัวหงอกหัวดำ แล้วเจ้าเล่าเด็กน้อยหากประกายที่เจ้าเห็นเป็นประกายของผลึกเพิ่มปราณธาตุในตัวเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น แล้วเลื่อนระดับจากตอนนี้ที่เจ้าอยู่ในระดับจอมยุทธ์ระดับกลางขึ้นไปหนึ่งขั้นให้เจ้าอยู่ในระดับจินตานตอนต้น เจ้าสนใจที่จะเข้าไปดูหน่อยมั้ยละ"เสียงที่ดังในโสตจิตของผมออกจะเจ้าเลาห์สักหน่อย
"เข้าไปดูทำไมขอรับ"ผมถามอย่างงงๆ
"ก็เข้าไปดูผลึกไง ของหายากเช่นนี้ใช่ว่าจะหาดูได้ง่ายๆนะ เจ้าไม่อยากเห็นบ้างเลยรึ"เสียงแหบถามอย่างฉงนสงสัย ทำอย่างกับลองใจผมแหนะ
"ไม่อะขอรับ ก็รู้แล้วว่าคืออะไรจะไปดูทำไม"ผมก็ยังตอบไปแบบงงๆอยู่ดี
"ก็เผื่อข้าโกหกไง เผื่อเป็นอะไรที่มีค่ากว่านั้นละ เจ้าไม่อยากไปเห็นหน่อยรึไง"เสียงแหบเริ่มหงุดหงิด
"แล้วท่านจะโกหกข้าทำไมละขอรับ ไม่เห็นมีเหตุผลอะไรที่ท่านต้องโกหกข้านี่"
"อืม เข้าใจละ เจ้านี่ซื่อบื่อไร้เดียงสาซะจริง เดาว่าคงออกจากจวนแล้วก็มาเรียนที่นี่เลยสินะ แล้วนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่เข้าป่ามาหาประสบการณ์งั้นใช่มั้ยเด็กน้อย"เสียงแหบนั้นพูดอย่างอดเอ็นดูแกมเป็นห่วงไม่ได้ ไม่รู้ทำไมพอได้คุยกับเด็กคนนี้กลับทำให้เขาสบายใจว่าเด็กตรงหน้าจะไม่อยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนเองแน่ๆ จนบอกสิ่งที่เขาต้องปกป้องไว้ด้วยชีวิตรอส่งมอบให้ผู้ที่เหมาะสมจะได้เท่านั้น ซึ่งคนที่จะได้ไปครอบครองต้องเป็นคนที่จิตใจใสสะอาดไม่คิดเบียดเบียนผู้ใด เพราะการที่ได้ครองผลึกเพิ่มปราณธาตุนั้นจะส่งผลให้ผู้ครอบครองแข็งแกร่งขึ้น หากเป็นคนชั่วช้าที่มีจิตใจดำมืดเกรงว่าจะเป็นภัยต่อสรรพสิ่งได้ ฉะนั้นเขาเลยต้องคอยปกป้องมันไว้จากพวกที่กระหายในอำนาจแล้วรอคอยคนที่เหมาะสมมาโดยตลอด แต่ช่วงหลายร้อยปีมานี่เขากลับไม่พบสักคนที่เหมาะจะครอบครองผลึกเพิ่มปราณธาตุ เพราะทุกคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่จ้องจะทำร้ายเขาเผื่อฉกชิงมันไปทั้งสิ้น ทำให้เขาที่เพิ่งเคยเจอเด็กหนุ่มที่อยู่ๆก็ก้าวเข้ามาในอาณาเขตเขาอย่างรวดเร็วราวกลับหาอะไรสักอย่าง เขาจึงคิดว่าจะเข้ามาหาผลึกเพิ่มปราณธาตุ แต่พอเด็กหนุ่มอธิบายถึงการมาและขออภัยอย่างจริงใจนั้น ทำให้เขาลองใจเด็กหนุ่ม จนตอนนี้ที่เขารู้แล้วว่าคนที่เหมาะจะครอบครองผลึกเพิ่มปราณธาตุนั้นคือผู้ใด
"ท่านปักษาอาวุโสรู้ได้อย่างไรขอรับ ว่าข้าเพิ่งเคยออกท่องยุทธ์"ผมถามอย่างงงๆอีกแล้ว
"เด็กน้อยเอ๋ยเด็กน้อย แค่พฤติกรรมเจ้า ข้ามองปราดเดียวก็รู้แล้ว"พูดด้วยน้ำเสียงเหม็นเบื่อความซื่อเต็มประดา
"แล้วท่านยกโทษให้ข้ารึยังขอรับ ข้าตอบทุกอย่างที่ท่านปักษาอาวุโสถามแล้วนะขอรับ แล้วข้าก็ไม่ได้อยากได้อะไรจากที่นี่ด้วยนอกจากมาหาสมุนไพรจริงๆ"
"ข้ายกโทษให้เจ้านานแล้วละนะ"
"งั้นข้าขอตัวเดินทางต่อนะขอรับ มีเวลาแค่ 7 วันเองเดี่ยวหาสมุนไพรไม่คบ หากข้าเดินทางผ่านมาทางนี้อีก จะแวะมาเยี่ยมนะขอรับ"ผมเลยบอกลาแล้วกำลังจะเดินทางไปหาสมุนไพรต่อ
"เดี่ยวสิว่ะ เอ็งจะรีบไปไหนเนี่ย ตามข้ามานี่ก่อน ข้ามีของจะให้เจ้า"เสียงแหบนั้นร้องเรียกเขาอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะไปตามทางตัวเอง
"ของอะไรขอรับ สมุนไพรหายากรึขอรับ"ผมถามอย่างตื่นเต้น ก็แห่ม ท่านปักษาอาวุโสรู้ว่าผมเป็นนักเรียนสายโอสถย่อมต้องให้สมุนไพรก็เป็นเรื่องธรรมดารึเปล่า และยิ่งท่านเป็นปักษาต้องเห็นหรือมีสมุนไพรดีๆหายากไว้ในครอบครองแน่ๆเลยอะ คาดหวังเลยนะเนี่ย
"ตามข้ามา"จากนั้นท่านปักษาอาวุโสก็บินพาผมเข้ามายังถ้ำแห่งนึงที่มีขนาดไม่ใหญ่มากอยู่กึ่งกลางหน้าผาที่สูงชัน ความสูงจากพื้นดินขึ้นมายังถ้ำเทียบได้กับตึกสี่ชั้นน่าจะได้ ตกลงไปไม่ตายก็น่าจะเลี้ยงไม่โตครับลักษณะนี้ แล้วตอนนี้ผมก็กำลังยืนอยู่หน้าปากถ้ำด้วย พื้นที่อันตรายซะจริง
"ไหนขอรับสมุนไพรล้ำค่า"ผมถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเต็มประดา จนปักษาเพลิงพิโรจน์ที่มองเห็นทำหน้าเหม็นเบื่อใส่ในความเด็กน้อยนี้
"ข้าบอกรึว่าคือสมุนไพรล้ำค่า ในหัวเจ้าคิดอยู่เรื่องเดียวรึไงกัน ของล้ำค่าที่ข้าจะให้มันไม่ใช่สมุนไพรหรอก มันมีค่ากว่านั้นอีก"เสียงแหบตอบผมมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆและท้ายประโยคมีความภาคภูมิใจแปลกๆ
"อ้าว อย่าบอกนะขอรับว่าคือผลึกเพิ่มปราณอะไรสักอย่างนั้นนะ"ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
"ใช่แล้ว น่าตื่นเต้นใช่มั้ยละ"
"ไม่อะขอรับ ตื่นเต้นอะไรกัน นั้นไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้สักหน่อย"ผมพูดเสียงเซ็งๆ
"เอ๊ะไอ้เด็กนี้นี่ ช่างไม่รู้จักของดีเอาซะเลย คนมากมายยอมตายเพื่อได้มันมา แต่เจ้าที่ข้ามอบให้ดีๆกลับไม่อยากได้ เจ้านี่ช่างไม่รู้ค่าของสิ่งของนัก"เสียงแหบตะโกนขึ้นในกระแสจิตอย่างโมโห
"ก็ข้าเห็นท่านหวงมันอย่างกับจงอางหวงไข่ อยู่ดีๆมามอบให้ข้าทำไมละขอรับ"
"ก็เจ้าเหมาะสมที่จะเป็นนายมันยังไงละ อีกอย่างข้าไม่ได้หวงมันโว้ย ข้าแค่รอส่งมอบมันให้คนที่เหมาะสมเท่านั้น ของอันตรายพักนั้นข้าจะหวงมันทำไมกัน"
"อ้าว งี้อันตรายก็มาอยู่ที่ผมแทนนะสิ เช่นนั้นต้องมีคนต้องการมันมากเป็นแน่ หากรู้ว่าอยู่กับผม คนก็ต้องมาฆ่าผมเพื่อชิงมันนะสิขอรับ"ผมถามอย่างเพิ่งนึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้
"ใช่"
"งั้นข้าไม่เอาขอรับ"ผมตอบปฏิเสธเสียงแข็ง
"ไม่ได้ ผู้ใหญ่ให้ของเจ้าไม่รับ เสียมารยาทนะเด็กน้อย อุตส่าห์มอบของดีๆให้"เสียงแหบพยายามยัดเยียดผลึกเพิ่มปราณธาตุให้เด็กหนุ่มให้ได้
"ให้ความตายแก่กันนั้นเรียกมอบสิ่งดีๆให้แก่กันหรือขอรับ"ผมเถียงกลับ
"ไอ้เด็กคนนี้นี่มันยังไงว่ะ กลัวอะไรกะอีแค่ความตายนะห๊ะ"
"อ้าวววว ท่านก็พูดได้สิท่านอยู่มานานแล้วนี่ ส่วนข้าเพิ่งเกิดได้ใช้ชีวิตมาไม่กี่ปีเองนี่ท่านปักษาอาวุโส"
"เอาจริงๆนะเด็กน้อย หากผลึกเพิ่มปราณธาตุยอมรับเจ้าเป็นนายมัน มันจะมอบพลังให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นให้เจ้าปกป้องตนเองและมันได้จากภยันอันตรายรอบด้าน ฉะนั้นเจ้าจะไม่เป็นอะไรแน่นอนเชื่อข้าเถอะ"
"งั้นข้าจะเชื่อท่านดูขอรับ แล้วข้าต้องทำสิ่งใดบ้างขอรับ"น้ำเสียงที่บอกอย่างจริงจังนั้นทำให้ผมตัดสินใจจะลองดูสักครั้งอย่างห้ามใจไม่ได้ เผื่อผลึกไม่ยอมรับเขาจะได้ไปต่อสักที
"เช่นนั้นเจ้าจึงเดินเข้าไปภายในก้นถ้ำ เมื่อเห็นผลึกสีดำที่อยู่ภายในนั้นให้เจ้ากรีดเลือดลงไปแล้ว รอดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นมั้ย ถ้าไม่มีแสดงว่าผลึกไม่ยอมรับเจ้า เจ้าก็ค่อยออกมาแล้วข้าจะพาเจ้าไปหาของขวัญปลอบใจใหม่ให้ อาจเป็นสมุนไพรล้ำค่าสักต้นเป็นเช่นไร"เอาสมุนไพรมาล่อเขาซะแล้ว แรงจูงใจดีอย่างนี้ ผมจึงเดินหน้าตั้งเข้ามาแบบไม่คาดหวังว่าผลึกจะยอมรับมั้ย แต่กำลังคิดว่าจะได้สมุนไพรอะไรเป็นการปลอบใจดี จนเมื่อเดินเข้ามาเห็นก้อนผลึกสีดำขนาดสองฝ่ามือวางอยู่บนหินก้อนใหญ่ ซึ่งทำให้ผลึกดำก้อนนี้เด่นเป็นสง่ามาก ผมจึงเดินเข้าไปใกล้แล้วมองด้วยสีหน้าสงสัยว่าผลึกก้อนนี้นะเหรอที่มีแต่คนต้องการจนยอมตายเพื่อมัน หากมองดีๆมันก็แค่ผลึกก้อนนึงเองนะ ผมจึงหยิบกริซออกมาจากแหวนมิติจากนั้นกรีดลงที่ปลายนิ้วชี้แล้วหยดเลือดลงไปที่ผลึกดำก้อนนี้ จากนั้นผมจึงเก็บกริซไว้เหมือนเดิมและกำลังคิดจะหมุนตัวออกไปแ แต่แสงสีขาวที่เปร่งออกมาจากผลึกก้อนสีดำนั้น จนกะเทาะสีดำที่เป็นฝุ่นออกไปจนเป็นก้อนสีขาวสว่างทั้งก้อนแล้วละอองสีขาวก็แผ่ออกมาจากผลึกก้อนนั้นก่อนจะโอบล้อมรอบตัวผม จากนั้นละอองนั้นก็ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายผมในทุกเส้นขนและรูขุมขนจนร่างกายรู้สึกเบาสบายแล้วละอองนี้ก็เข้าไปสู่แก่นพลังธาตุในร่างกายผม แล้วเพิ่มพลังให้แก่นธาตุของผมให้แข็งแรงมากขึ้น มากจนตอนนี้ผมเริ่มเจ็บนิดๆตามเส้นปราณในร่างกายทุกส่วนแล้ว เนื่องจากพลังที่อัดแน่นเกินไป ผมจึงค่อยๆตั้งจิตดูดพลังที่บริสุทธิ์เข้าไปในแก่นพลังธาตุอย่างช้าๆไม่เร่งรีบ เพราะหากเร่งรีบเส้นปราณอาจเสียหายหรือแก่นพลังธาตุรับไม่ไหวแตกก่อนที่จะดูดซึมเสร็จ เขาอาจพิการหรือจบชีวิตลงที่นี่ได้
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ที่เขาดูดซึมปราณบริสุทธิ์จากผลึกเพิ่มปราณธาตุสำเร็จ จนตอนนี้ร่างกายรู้สึกเบาสบายเขาจึงลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปรอบตัวก็เห็นตัวเองลอยเคร้งอยู่ในอากาศเขาจึงค่อยๆลงไปยืนที่พื้นถ้ำ จากนั้นจึงมองสำรวจไปรอบๆถ้ำเพราะตั้งแต่ที่เข้ามาก็ไม่ได้สนใจจะสำรวจอะไรเลย จนพอตอนนี้ที่สนใจสำรวจจึงกวาดตามองไปรอบๆผนังถ้ำก็ไม่เห็นอะไรที่น่าสนใจ บนพื้นถ้ำก็มีแต่ก้อนหินและฝุ่นไม่มีอะไรน่าสนใจสักนิด ด้วยความถ้ำมีแต่ความมืดและฝุ่นทำให้เขาระคายเคืองตา จนเขาต้องหลับตาแล้วเงยหน้าขึ้นเพื่อพักสายตาสักพัก พอหายระคายเคืองตาแล้วจึงลืมตาขึ้นทั้งที่ยังเงยหน้าอยู่ทำให้เขาเห็นอะไรบางอย่างที่สวยงามแล้วก็หายากมากเช่นกัน แถมยังเป็นหนึ่งในส่วนผสมของยาแก้พิษที่เขาตามหาอีกต่างหาก สิ่งนั้นก็คือผลึกหวนคืนที่ตอนนี้กำลังฝังก้อนอยู่บนผนังถ้ำมีประมาณสามก้อน ก้อนขนาดหัวแม่มือมีสีฟ้าสว่าง นี่คงเป็นเหตุผลที่ผลึกเพิ่มปราณธาตุคงสภาพมาได้หลายร้อยปี เพราะได้รับไอของผลึกหวนคืนนี่เอง แต่คงอยู่ในถ้ำที่มีแต่ฝุ่นนานเกินไปจึงทำให้มันไม่มีประกายออกมาเพราะถูกฝุ่นกลบจนหมองนั้นเอง หากนำไปล้างทำความสะอาดก็จะกลับมาเป็นประกายปกติ ผมจึงร่ายเวทย์เหาะขึ้นไปแกะมันออกมาจากผนังถ้ำแล้วนำใส่ไปในแหวนมิติทั้งสามก้อนนั้นเอง และร่ายเวทย์ให้ถ้ำสว่างมองเห็นทุกอย่างให้ชัดเจนจนเห็นว่าไม่มีของที่จำเป็นแล้วเขาจึงออกมาปากถ้ำก็เห็นปักษาเพลิงพิโรนจ์ที่ทำท่าทางดีใจเต็มประดาที่เขาสามารถเป็นนายผลึกก้อนนั้นได้แถมยังหลอมรวมกันสำเร็จแล้วด้วย ดูจากรัศมีที่แผ่ออกจากตัวเด็กหนุ่มที่ตอนนี้อยู่ในระดับจินตานตอนกลาง ซึ่งหมายถึงการเข้ากันได้ดีกับผลึกเพิ่มปราณธาตุนั้นเอง
"เป็นอย่างไรบ้าง ทุกอย่างผ่านไปด้วยดีใช่รึไม่เด็กน้อย เห็นเข้าไปนานหลายชั่วยามเลย"ถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นระคนเป็นห่วง
"ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีขอรับ แถมข้ายังได้ของดีมาด้วยละ"ผมตอบด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเช่นกัน
"หึ ข้าบอกแล้วว่าเป็นของดี จากนี้ไปผลึกก้อนนั้นเป็นของเจ้านะ รักษามันให้ดีละ"
"จริงรึขอรับ ท่านให้ข้าแล้ว ข้าไม่คืนนะ ข้าสัญญาจะดูแลมันอย่างดีขอรับ"
"ได้ยินเท่านี้ข้าก็ตายตาหลับแล้วละ"เสียงแหบพูดอย่างคนเหน็ดเหนื่อยมานาน แล้วตอนนี้ก็ถึงเวลาปล่อยวางทุกอย่างแล้ว โดยที่ทั้งคู่คุยกันคนละเรื่องเดียวกันแล้วเข้าใจกันไปคนละทิศคนละทาง ปักษาเฒ่าดันคิดว่าของดีที่ว่าคือผลึกเพิ่มปราณธาตุ ส่วนเด็กหนุ่มนั้นก็หมายถึงผลึกหวนคืนที่ตนเพิ่งได้มาครอบครอง ต่างคนต่างเข้าใจกันไปคนละทาง