เรือนรับรองของจวนแม่ทัพ
จู่ ๆ ถงเสี่ยวเถา ก็เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับนายสาว ซึ่งก่อนหน้านี้นางเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่อนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่ตอนนี้นางกลับยืนสั่นไปทั้งตัว และส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาจากในลำคอ และค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคนที่เสียสติไปแล้ว
หึ หึ หึ....
สาวใช้ตกใจกลัวจนรีบชักมือที่กำลังจับแขนของนายสาวกลับเข้าหาตัวและเอ่ยถามเสียงสั่น พร้อมกับถอยห่างร่นไปทางด้านข้างสองก้าว
"คะ คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้ากลัวสิเจ้าคะ"
พอสิ้นคำพูดของสาวใช้ เสียงหัวเราะของเจ้าสาวก็เงียบเสียงลง ทุกสายตาที่เคยสนใจเยี่ยอ๋องและหยวนจูวเย่ต่างพากันเบนเข็มหันไปจับจ้องมองสตรีชุดแดงอย่างไม่วางตา
วินาทีนี้เหมือนเวลาได้หยุดลง แม้แต่เสียงของลมหายใจก็เหมือนจะหยุดชะงักไปด้วย
ดวงตาทุกคู่ต่างจ้องมองไปยังเจ้าสาวผู้แสนงดงามของวันนี้ ท่ามกลางความสงสัยและความประหลาดใจระคนกัน
ความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัยและคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน
นิ้วมือเรียวเล็กจับไปยังตรงปลายผ้าคลุมสีแดงผืนบาง และค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ
ชั่วอึดใจก็เผยให้เห็นปลายคางเรียวคมของเจ้าสาว และรอยยิ้มอันแยบยลแสนเจ้าเล่ห์บนดวงหน้างาม
อนิจจา!
เจ้าสาวของแม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นโหย่วได้เสียสติไปแล้วจริง ๆ กระนั้นหรือนี่
ในขณะที่ทุกสายตากำลังจับจ้องไปยังจุดเดียวกัน ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวถูกเปิดออก ดวงหน้าเฉิดฉันงามสง่าของนางดูประดุจนางฟ้าภายใต้แสงจันทร์ มุมปากอมยิ้มน้อย ๆ อย่างเจ้าเล่ห์เหลือหลาย
ทุกคนภายในงาน เบิกตาโพลงมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ เมื่อได้พบกับความจริงว่าเจ้าสาวของวันนี้ไม่ใช่เยี่ยชิงเซียว
หยวนจูวเย่และคนของเขาเห็นดวงหน้างามของเจ้าสาวในวันนี้ ทั้งสองก็เผยอาการตกใจระคนสงสัยผ่านทางสีหน้าและดวงตา
โดยเฉพาะเยี่ยอ๋อง ใจเขากระตุกวูบอย่างแรงกะทันหัน
"นี่มันเรื่องบ้าห่าเหวอะไรกัน!" เขาสบถคำหยาบออกมาอย่างลืมตัว
แม้กระทั่งองค์ฮ่องเต้ เฉากงกง หลงฮูหยินและคนของนาง ต่างพากันฉงนสงสัยยิ่งนักว่าเป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไรกัน
ท่ามกลางสายตาตกตะลึง ตลอดจนความสงสัยและคำถามมากมายที่เกิดขึ้นภายในใจของทุกคน
เจ้าสาวก็ได้กล่าวทักทายทุกคนในงานอย่างฉะฉานมั่นใจ
"ใยพวกท่านพากันจ้องใบหน้าหน้าข้าอย่างไม่กะพริบตาเช่นนี้ล่ะ หรือเป็นเพราะกำลังตกตะลึงในเสน่ห์และความงดงามของข้าภายใต้ชุดเจ้าสาวสีแดงแสนสวยนี้" คำพูดของนาง แฝงความหมายเสียดสีอย่างเข้มข้น
"เจ้าสาวถูกเปลี่ยนตัวอย่างงั้นรึ"
"นี่เจ้าสาวไม่ใช่คุณหนูเยี่ย แต่เป็นสาวใช้ของท่าแม่ทัพหรอกรึ!"
เสียงพูดคุยของแขกเหรื่อผู้ที่มาร่วมงานดังอื้ออึงขึ้นมาในเรือนรับรองอย่างสงสัยและแปลกใจ
เยี่ยอ๋องยืนตัวสั่นเกร็ง ตอนนี้เขาแทบจะคุมสติแทบไม่อยู่แล้ว และหันไปมองหน้าหลงอี้หลิง พร้อมตวาดถามเสียงดังขึ้น
"หลงอี้หลิง! นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน เซียวเอ๋อร์ของข้าอยู่ที่ไหนกัน"
ยังไม่ทันที่แม่ทัพหนุ่มจะได้ตอบคำถามของเยี่ยอ๋อง
หยวนจูวเย่ก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน อากัปกิริยาสีหน้าและคำพูดของเขาดูเป็นปกติและนิ่งมาก
"จริงด้วย พวกเราทุกคนในห้องนี้ต่างได้รับเทียบเชิญว่าให้มาร่วมงานพระราชทานมงคลสมรสของท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เกรียงไกรของแคว้นโหย่วกับธิดาคนเดียวของท่านอ๋อง แต่เหตุใดเจ้าสาวของงานวันนี้กลับกลายเป็นฟ่งหลันหลั่น สาวใช้ของท่านไปได้ การกระทำเช่นนี้มิถือเป็นการหมิ่นพระบรมเบื้องสูงหรอกหรือ"
หยวนจูวเย่เป็นบัณฑิตหนุ่มที่เก่งเรื่องการเจรจาพาที เขาจึงใช้ความสามารถนั้นปลุกปั่นความคิดของแขกที่มาร่วมงานให้หันเหไปในทิศทางที่เขาต้องการ เพื่อหวังเบี่ยงประเด็น และจังหวะที่เขากำลังหันหน้าไปทางข้างเพื่อกระซิบบางอย่างกับลูกน้องนั้น
เสียงหัวเราะอย่างตลบขบขันของหญิงสาวก็ดังขึ้นมา
ฮ่าฮ่าฮ่า...
เจ้าสาวผู้แสนงดงามปรายตากวาดมองไปรอบ ๆ เรือนรับรองและกล่าวขึ้น
"ข้าจะตอบคำถามของผู้ใดก่อนดี" สุ้มเสียงของนางแผ่วเบาดุจกิ่งหลิวพลิ้วไหว
ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งวันก่อนหน้านี้
ช่วงหลังยามห้าย[1]ภายในตรอกเล็ก ๆ ห่างจากเรือนหลงหลิงไม่มากนัก บรรยากาศโดยรอบขณะนั้นเริ่มเงียบสงัด เพราะบ้านเรือนของผู้คนแถวนั้นต่างปิดประตูลงกลอนบ้านกันเรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นยามวิกาล
เสียงตีฆ้องร้องป่าวเพื่อบอกเวลาว่าถึงช่วงพักเพื่อและเป็นช่วงเวลาที่ผู้คนออกนอกบ้านหากไม่มีเหตุฉุกเฉินอันควร
ฉับ ฉับ ฉับ...เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งวิ่งฉับ ๆ ด้วยความรวดเร็วเหมือนมีใครกำลังวิ่งหนีอะไรบางอย่าง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าที่ฟังดูหนักแน่นจำนวนหลายคู่วิ่งดังตามมาติด ๆ
ทันใดนั้นอรชรน้อยในสภาพสะบักสะบอมเหนื่อยหอบ ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ เสื้อผ้าที่สกปรกเปรอะเปื้อน เดินหอบร่างที่แทบหมดเรี่ยวแรงเดินฝ่าออกมาจากเงามืด
แฮ่ก แฮ่ก...
"พวกเจ้ารีบแยกย้ายกันไปตามจับตัวนางให้ได้ มิเช่นนั้นหัวของพวกเจ้าคงจะไม่ได้ตั้งอยู่บนบ่านั้นอีกต่อไป เร็วเข้า!"
"ขอรับหัวหน้า!"
เสียงชายฉกรรจ์ลึกลับกลุ่มหนึ่งพูดคุยกันดังในความมืดดังไล่ตามหลังนางผู้นั้นมาติด ๆ
[1] ยามห้าย (亥:hài) คือ 21.00 - 22.59 น.
ในที่สุดสตรีน้อยนางนั้นก็สิ้นท่าจนมุม เมื่อถูกพวกกลุ่มคนสวมชุดดำจำนวนหนึ่งบุกล้อมเข้ามาดักทางทั้งหน้าและหลังพร้อมกัน
ชายฉกรรจ์ใบหน้าเหี้ยมเกรียมผู้หนึ่งชี้ปลายดาบมาทางนางและกล่าวเสียงเข้ม
"แม่นาง! จงตามพวกข้ากลับไปดี ๆ เถอะ อย่าให้ต้องออกแรงเหนื่อยกันไปมากกว่านี้เลย"
สตรีน้อยจ้องหน้ากลับด้วยแววตาเด็ดเดี่ยวไปกลัวตาย และตอบสวนอย่างท้าทาย
"พวกเจ้าต่างหากที่เป็นฝ่ายต้องถอยร่นไป เพราะหากคนผู้นั้นมาเจอพวกเจอกำลังรุมทำร้ายข้าเยี่ยงนี้ พวกเจ้าคงได้ไปเฝ้ายมบาลกันหมดแน่"
"ขอโทษด้วยที่ต้องบอกเจ้าเช่นนี้ แต่คืนนี้ถึงเจ้ามีปีกเจ้าก็หนีไปไม่รอด"
ชายฉกรรจ์คนเดิมกล่าวขึ้นอีกครั้ง และในจังหวะที่สตรีน้อยตรงหน้า พุ่งมองมายังตัวเขา เจ้าตัวก็ได้พยักหน้าส่งสัญญาณให้กับคนอื่น ๆ
เมื่อทุกคนได้รับสัญญาณต่างก็พากันวิ่งกรูเข้าไปจู่โจมสตรีน้อยทันที
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ นางก็ถูกจับตัวได้ โดยหนึ่งในนั้นได้แบกร่างอรชรไว้บนไหล่ของเขาโดยที่เจ้าตัวพยายามออกแรงถีบตัวและดิ้นไม่หยุด แถมยังตะโกนเสียงแหกปากตลอดเวลา
"พวกเจ้าไม่ได้เย็นหรือไง ข้าบอกว่าให้ปล่อยข้าลงเดี๋ยวนี้นะ หากเขามาเจอพวกเจ้ากระทำหยาบคายกับข้าเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ"
"ปล่อย!"
แม้สตรีน้อยจะแหกปากร้องตะโกนจนเจ็บคอและออกแรงดิ้นจนแทบหมดแรง พวกเขาก็ยังคงเร่งฝีเท้าเพื่อรุดไปให้ถึงจุดหมาย แต่เดินไปได้ถึงแค่ครึ่งทางก็ต้องหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
ผู้ที่เข้ามาขวางทางกลุ่มคนชุดดำ ให้ต้องหยุดเดินและทำให้พวกเขาตกใจถึงขนาดแสดงท่าทีหวาดกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเขา
หลงอี้หลิง
แม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นโหย่วยืนตระหง่านด้วยท่าทางขึงขัง เขาจ้องเขม็งมองตรงมายังกลุ่มคนชุดดำ นัยน์ตาคมกริบคู่นั้นวาวดุจดั่งเปลวเพลิงจากโลกันตร์
"พวกแกเป็นใคร บังอาจกล้ามาจับตัวคนของข้า! ขออนุญาตข้าแล้วหรือยัง" น้ำเสียงเหี้ยมเกรียมแฝงอยู่ในถ้อยคำ
กลุ่มคนชุดดำได้ฟังเช่นนั้น พวกเขาก็พากันเผยความวิตกกังวลออกมามากยิ่งขึ้น บางคนแสดงท่าทีลนลานมาก และพูดเสียงสั่น
"จะทำยังไงกันดี พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาเสียด้วยสิ"
คนชุดดำอีกคนได้ยินสหายในกลุ่มกล่าวเช่นนั้น เขาก็หันไปตวาดเสียงดังใส่พวกเดียวกันด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
"หุบปากซะเจ้าคนขี้ขลาด! เขาแค่คนเดียว จะมีฝีมือแค่ไหนกันเชียว พวกเรามากันตั้งหลายคน ยังไงก็เป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่แล้ว"
เมื่อต่อว่าสหายร่วมทีมเสร็จ คนผู้นี้ก็ได้หันไปมองยังชายชุดดำคนที่กำลังแบกสตรีน้อยไว้บนบ่าของเขา และออกคำสั่งทันที
"เจ้ารีบพานางผู้นี้มุ่งหน้าไปยังที่นัดหมายก่อน เดี๋ยวพวกข้าจะช่วยสกัดทางนี้ไว้เอง จัดการเสร็จเมื่อไร พวกข้าจะตามไปสมทบทันที รีบไปเร็วเข้า!"
คนชุดดำที่กำลังแบกคนอยู่ก็ได้พยักหน้าและขานรับคำอย่างหนักแน่น
"ได้! แล้วเจอกัน" พูดจบเขาก็รีบหันหลังขวับเพื่อจะหนีไปอีกทางแต่ทว่าดูเหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคิดไว้เสียแล้ว
ทว่าทหารนายกองคนสนิทของหลงอี้หลิงทั้งสองคนก็ได้มายืนดักทางอยู่อีกด้านเอาไว้พอดี
เข่อลั่วยืนจังก้าแบกดาบเล่มใหญ่ของเขาไว้บนบ่า พร้อมกับกล่าวทักทายพวกกลุ่มคนชุดดำด้วยน้ำเสียงเหมือนหยอกล้ออีกฝ่าย แต่แววตาของเขาที่เผยออกมา หาได้มีความเป็นมิตรแต่อย่างใด
"อ๊ะ อ๊ะ! จะรีบหนีไปไหนกัน จู่ ๆ ก็ทำตัวเป็นแมวขโมยมายุ่งกับคนของผู้อื่น แล้วจะชิ่งหนีไปง่าย ๆ ได้ยังไงกัน อยู่เป็นสหายเล่นกับพวกข้าก่อนสิ!"
จางเก่อซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ กัน ก็อดที่จะกล่าวตำหนิสหายไม่ได้ เพราะสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนี้ นายกองร่างท้วมยังมีอารมณ์มาพูดเล่นอีก จึงหันไปดุสหายอย่างขึงขัง
"เข่อลั่ว! เลิกเล่นได้แล้ว รีบช่วยคนก่อน มิเช่นนั้นหากพวกเขาพาตัว แม่นางฟ่งไปได้ นายน้อยได้จัดการเจ้าเละเป็นโจ๊กแน่"
"โอ้! ขอโทษที ข้าดันเผลอติดเล่นไปหน่อย"
เข่อลั่วหันไปขอโทษสหายด้วยน้ำเสียงเจื่อน และหันกลับมาประจันหน้ากับคู่ต่อสู้
จากนั้นการต่อสู้แย่งตัวประกันก็ได้เปิดฉากเริ่มต้นขึ้น เสียงของอาวุธที่ทำจากเหล็กกระทบกระทั่งกันดังก้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ รวมทั้งเสียงชกต่อยออกมาหมัดและท่าเตะต่าง ๆ ไม่วายแม้กระทั่งเสียงข้าวของเครื่องใช้หรือโครงหลังคาบ้านเรือนแตกพังเสียหาย แต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าเปิดประตูออกมาดูเลยสักราย
เวลาไม่ถึงครึ่งจิบถ้วยน้ำชา กลุ่มคนชุดดำก็ได้ถูกคมดาบของแม่ทัพหนุ่มและลูกน้องของเขา มีทั้งบาดเจ็บและล้มตายไปหลายคน และก็มีบางคนที่หนีรอดไปได้
จังหวะนั้นเอง ฟ่งหลันหลั่นได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นเหตุการณ์พอดี พอได้สติดี นางก็กวาดสายตามองไปรอบตัว และต้องตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นแม่ทัพหนุ่มกับนายกองทั้งสองของเขากำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มคนชุดดำที่เข้ามาจับตัวนางก่อนหน้านี้
"ท่านแม่ทัพ" น้ำเสียงแหบแห้งของสตรีน้อยได้เรียกแม่ทัพหนุ่ม
หลงอี้หลิงได้ยินก็รีบหันขวับกลับไปมองทางด้านหลัง และเมื่อพบว่าสาวใช้ของเขารู้สึกตัวขึ้นมาแล้ว เขาก็รีบเข้าไปประคองตัวนางด้วยความเป็นห่วงอย่างรวดเร็ว โดยจางเก่อและเข่อลั่วช่วยยืนคุ้มกันให้ เผื่อว่าจะมีคนร้ายตามมาสมทบพรรคพวกของมัน
"หลั่นเอ๋อร์ เจ้าเป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรเจ้า ใบหน้าและลำตัว ถึงได้มีสภาพดูไม่ได้เช่นนี้"
แม่ทัพหนุ่มพรั่งพรูคำถามมากมายออกมาอย่างเป็นกังวลต่อสตรีที่กำลังวางใบหน้างาซุกอยู่บนแผ่นอกหน้ากว้างแข็งแรงของเขา
แค่ก แค่ก
ฟ่งหลันหลั่นสำลักน้ำลายของตัวเองเล็กน้อย จากนั้นก็พยายามเค้นน้ำเสียงที่เกือบจะหายไปหมด พูดขึ้นเบา ๆ
"ตอนนี้พวกเราไม่มีเวลามากแล้ว ท่านช่วยพาข้ากลับไปที่จวนแม่ทัพของท่านตอนนี้ได้หรือไม่ พวกเรามีเรื่องด่วนที่จะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ร้ายแรงที่กำลังจะเกิดขึ้นในงานแต่งของท่าน"
พูดจบฟ่งหลันหลั่นก็สลบไปในอ้อมแขนของแม่ทัพหนุ่มด้วยความหมดแรงจริง ๆ
หลงอี้หลิงได้ฟังเช่นนั้น เขาทั้งเป็นห่วงและกังวลใจมากกับสิ่งที่นางเพิ่งบอก จึงรีบหันไปสั่งลูกน้องคนสนิททั้งสอง ให้ตามเขากลับไปที่จวนแม่ทัพทันที
พอทั้งหมดกลับมาถึงจวนแม่ทัพ หลงอี้หลิงก็ได้ช่วยให้สตรีน้อยฟื้นขึ้น และฟ่งหลันหลั่นและได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทุกอย่างให้เขาฟัง
จากนั้นภาพก็ตัดสลับมาเป็นช่วงเช้าตรู่ของวันนี้ และทำให้เห็นว่านางก็ได้แอบเข้าไปจวนอ๋อง โดยตรงดิ่งไปที่เรือนของธิดาอ๋อง และทำการให้เจ้าสาวของงานวันนี้หมดสติไป
และตอนที่ถงเสี่ยวเถา เดินเข้ามารับตัวเจ้าสาวเพื่อจะพาไปขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว เยี่ยชิงเซียวเจ้าสาวตัวจริงถูกมัดมือมัดท้าและเอาผ้าอุดปาก ซ่อนตัวไว้อยู่บนเตียงนอนโดยมีผ้าม่านปกคลุมลงมา จึงทำให้สาวใช้ไม่ทันได้ผิดสังเกตว่าเจ้าสาวคนที่นางกำลังประคองเดินออกไปจากห้องคือตัวปลอม
ทางด้านจวนแม่ทัพ จางเก่อและเข่อลั่ว ก็ได้สั่งให้บ่าวไพร่ทุกคนเปลี่ยนเครื่องดื่มและวัตถุดิบที่จะใช้ปรุงเพื่อรับรองแขกเหรื่อที่จะมาร่วมงานใหม่ทั้งหมด และยังกำชับให้ทุกคนเพิ่มกำลังตรวจตราอย่าแน่นหนา หากมีคนแปลกหน้าปะปนเข้ามา ก็ให้ทำการจับกุมตัวไปขังไว้ทันที และทุกคนต้องทำตัวตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตัดภาพกลับมาช่วงเวลาปัจจุบัน
"เรื่องทั้งหมดก็เป็นไปตามที่ข้าเพิ่งเล่าจบเมื่อสักครู่ เอาละทีนี้ ใครต้องการจะเป็นคนแรกดี ข้าจะได้เริ่มต้นตอบแทนความแค้นที่มันอัดแน่นในอกส่งคืนให้กับเจ้าของมันอย่างสาสม"
น้ำเสียงแข็งกระด้าง ดุดันของฟ่งหลันหลั่นประกาศกร้าวขึ้น พร้อมกับกวาดสายตาจับจ้องมองไปยังศัตรูที่นางหมายหัว และชี้นิ้วไปที่พวกเขาทีละคน ทีละคน
เริ่มจาก ซ่งเฉาเกา
"เป็นเจ้า!..."
"หรือพวกท่าน!..." หยวนจูวเย่และคนของเขา
จากนั้นก็เบนสายตาไปทางเยี่ยอ๋อง
"หรือเป็นท่านลุงของข้า! ..."
และวกกลับไปหยุดอยู่ที่เฉากงกง
"เป็นท่านก่อนดี เฉากงกง!"
ซึ่งตรงนี้ได้สร้างความสงสัยให้กับหลงอี้หลิงและฮ่องเต้พอยิ่งนัก
....
เซียงไค 盛開