จวนแม่ทัพ
"ท่านอ๋องต่างหากที่ต้องวางมือจากเรื่องทั้งหมดนี้ซะเถิด"
พอสิ้นเสียงของแม่ทัพหนุ่ม จางเก่อและเข่อลั่วที่หายหน้าหายตาไปตั้งแต่ก่อนงานเริ่มก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเหล่าทหารฝีมือดีของหน่วยพยัคฆ์ดำจำนวนหนึ่ง และพวกเขาก็ได้ใช้ปลายกระบี่จ่อไปที่ต้นคอของกลุ่มคนร้ายทั้งหมด โดยที่พวกเขาไม่ทันรู้ตัวเลยด้วยซ้ำ
เยี่ยอ๋องเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็รู้ทันทีว่าแผนการที่เขาได้วางไว้มันพังทลายลงไม่เป็นชิ้นดี จึงได้หันไปมองทางซ่งเฉาเกา ขุนนางคนสนิทด้วยความโกรธเกรี้ยว แต่ก็ไม่พบตัวเขาในตำแหน่งที่เจ้าตัวนั่งอยู่ก่อนหน้านี้ จึงได้กวาดสายตามองไปรอบห้องด้วยความร้อนใจ และก็ได้พบว่าเขาไปยืนอยู่ข้างกายของบุรุษรูปงาม บัณฑิตเจ้าสำราญเรียบร้อยแล้ว
เยี่ยอ๋องโกรธจัด เมื่อได้รู้ว่าตัวเองถูกขุนนางขั้นสามผู้นี้ทรยศหักหลังเสียแล้ว จึงยกมือขึ้นชี้หน้าเขา น้ำเสียงเต็มไปด้วยโทสะ
"ซ่งเฉาเกา! เจ้าสุนัขเลี้ยงไม่เชื่อง นี่เจ้ากล้าทรยศหักหลังข้าอย่างนั้นรึ!"
ซ่งเฉาเกาตอบสวนขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่มีท่าทีเกรงกลัวต่อเยี่ยอ๋องแต่อย่างใด
"ข้าต้องขออภัยต่อท่านอ๋องด้วย แต่ที่เรื่องราวมันกลายเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะตัวท่าน หากท่านยอมยกคุณหนูเยี่ยให้เป็นภรรยาของข้า ตามที่ข้าได้ร้องขอไป ข้าก็คงไม่ทำเยี่ยงนี้"
คำตอบของซ่งเฉาเกา ทำให้เยี่ยอ๋องบันดาลโทสะหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม
"เจ้าแก่บ้าตัณหา เห็นเรื่องของอิสตรีสำคัญมากกว่าอำนาจที่ข้าจะมอบให้กระนั้นรึ"
"เรื่องนั้นข้าคิดว่าคุณชายหยวนก็คงจะสามารถให้ข้าได้เช่นกัน" ขุนนางขั้นสามยังคงต่อปากต่อคำเยี่ยอ๋องกลับอย่างไม่ลดละ
ทุกคนในห้องโถงต่างพากันยืนฟังเยี่ยอ๋องและซ่งเฉาเกาทะเลาะโต้เถียงแตกแยกกันอย่างตั้งใจ
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกผิดหวังและเสียพระทัยยิ่งนัก และทรงไม่อยากให้อะไรมันเลวร้ายไปกว่านี้ จึงได้ทรงหันไปตรัสกับเยี่ยอ๋อง เพื่อหวังช่วยบรรยากาศกดดันตรงหน้าให้คลายลง "เสด็จพี่ได้โปรดทรงพระทัยเย็นลงและวางมือจากเรื่องนี้เถิด อย่าให้เหตุการณ์มันบานปลาย จนต้องมีใครเสียเลือดเสียเนื้อหรือบาดเจ็บล้มตายกันเลย เราในฐานะของฮ่องเต้ ขอรับปากต่อหน้าทุกคนว่าจะไม่เอาผิดต่อท่านกับเหตุการณ์ในวันนี้อย่างแน่นอน"
เยี่ยอ๋องได้ฟังพระดำรัสข้อเสนอขององค์ฮ่องเต้ แทนที่เขาจะใจเย็นลง แต่กลับหันไปมองพระพักตร์ของพระองค์ด้วยสายตาโกรธขึ้ง สองมือกำหมัดแน่น
"ฮ่องเต้ขี้โรคและอ่อนแอเยี่ยงเจ้า ไม่ต้องมาออกคำสั่งหรือคิดยื่นข้อเสนออันใดต่อรองกับข้าให้เสียเวลา หากไร้ซึ่งวาสนาจริง ๆ วันนี้ไม่ข้าก็เจ้า! จะต้องแตกหักตายกันไปข้างหนึ่ง!"
"บังอาจยิ่งนัก!"
เฉากงกงตวาดเสียงดังใส่เยี่ยอ๋องกลับไปอย่างทันทีทันใด เพราะเจ้าตัวเพิ่งได้กล่าวถ้อยคำลบหลู่องค์ฮ่องเต้ต่อหน้าธารกำนัลมากมายอย่างไม่ยำเกรงในพระอาญา
จู่ ๆ หยวนจูวเย่ผู้ที่นั่งฟังอย่างเงียบงันมานานก็ได้ส่งเสียงหัวเราะดังร่าขึ้นอย่างขบขัน จนทุกสายตาหันไปมองทางเขาความรู้สึกประหลาดใจ
ฮ่าฮ่าฮ่า....
"ข้าฟังพวกท่านสนทนากันแล้วช่างรู้สึกขบขันยิ่งนัก คนหนึ่งต้องการอำนาจที่มิใช่ของตนมาไว้ในครอบครอง ถึงขนาดวางแผนเข่นฆ่าพี่น้องและหลานสาวได้! อีกคน...ก็มีข้าทาสบริพารที่แสนจงรักภักดี กระทั่งกล้าทำเรื่องสกปรกส่งคนไปลอบฆ่าหญิงชาวบ้านพร้อมกับลูกชายของนางให้ตายข้างถนนอย่างน่าอนาถ เพียงเพราะหวังจะสกัดคู่แข่งให้พ้นทางของผู้เป็นนาย ในการขึ้นครองบัลลังก์ตั่งทองนั่น"
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยน้ำเสียงขบขันของหยวนจูวเย่กลับฟังแล้วให้ความรู้สึกเศร้าเจ็บปวดแฝงอยู่ในนั้น
ฮ่องเต้ทรงได้ฟังก็ทรงหันพระพักตร์ข้างไปมองหน้าขันทีคนสนิทด้วยพระเนตรสับสนและฉงนสงสัยในพระทัยยิ่งนัก
"เฉากงกง สิ่งที่บัณฑิตหนุ่มผู้นั้นได้กล่าวมาทั้งหมดนั่น มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน มีอะไรที่เจ้าปิดบังข้าอยู่อย่างงั้นรึ"
เฉากงกงหน้าซีดเผือดและนั่งทรุดเข่าลงบนพื้นตรงเบื้องพระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว และกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะรู้สึกผิดในการกระทำของตนเมื่อคราวอดีต
"ฝ่าบาท! พระอาญามิพ้นเกล้า หม่อมฉันได้ทำเรื่องผิดต่อพระองค์ ตามที่หยวนจูวเย่ผู้นั้นกล่าวมาจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ได้โปรดทรงสั่งลงโทษประหารหม่อมฉันด้วยเถิด"
กล่าวจบ ขันทีเฒ่าก็โขกศีรษะของตนเองลงบนพื้นอย่างแรงติด ๆ กันหลายครั้ง ท่ามกลางความตื่นตระหนกตกใจของทุกคนในนั้น
"ฝ่าบาท...สถานการณ์ตรงหน้าคับขันยิ่งนัก ขอพระองค์ทรงโปรดระงับโทสะเอาไว้ก่อน จบจากตรงนี้ พระองค์ค่อยสืบถามหาความและลงโทษเฉากงกงทีหลังก็ยังมิสายพ่ะย่ะค่ะ"
หลงอี้หลิงได้กล่าวเสียงเข้มขึ้นเพื่อเตือนสติขององค์ฮ่องเต้ มิเช่นนั้นสถานการณ์คับขันตรงหน้าอาจจะแย่ไปมากกว่าเดิมและยากเกินกว่าที่ตัวเขาจะควบคุมได้
หยวนจูวเย่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอและกล่าวสวนแทรกขึ้น ครั้งนี้น้ำเสียงเขาฟังแล้วเปลี่ยนไปจากคนเดิมอย่างสิ้นเชิง
"หึ ๆ จบจากตรงนี้...นี่พวกเจ้าคิดว่าตัวเองจะมีชีวิตรอดไปจากที่นี่กันได้กระนั้นรึ!"
บุรุษรูปงามเปล่งเสียงเข้มดังกร้าวขึ้นไปทั่วห้องโถงภายในเรือนรับรองแห่งนี้ จากนั้นเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากตัวเสื้อด้านในของตน และชูขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็นพร้อม ๆ กัน
เยี่ยอ๋องกับซ่งเฉาเการวมไปถึงถงเสี่ยวเถา ทั้งสามเห็นขวดแก้วสีขาวใบเล็กในมือของหยวนจูวเย่ พวกเขาก็มีสีหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกโพลงขึ้น
"นะ นั่นมันผงปลิดวิญญาณของท่านอ๋องนี่เจ้าคะ"
สาวใช้ของเยี่ยชิงเซียวกล่าวอย่างลนลานเสียงดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนกตกใจหนักยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ พลางชี้มือไปยังบัณฑิตรูปงามผู้ที่กำลังถือขวดแก้วใบนั้น
"หุบปากของเจ้าซะนางข้าทาสชั้นต่ำ"
เยี่ยอ๋องส่งเสียงตวาดไปยังสาวใช้ของบุตรสาวตนอย่างเกรี้ยวกราด ในใจก็เกิดความสงสัยไม่ต่างกัน
'จริงสิ! ยัยเด็กนั่นเป็นคนบุกเข้ามาขโมยขวดนั่นไปจากห้องหนังสือของเรา แล้วตอนนี้มันไปอยู่ในมือของเขาได้เยี่ยงไร หรือว่าสองคนนี้ร่วมมือกัน...ว่าแต่หยวนจูวเย่ผู้นี้เป็นใครกันแน่และเขามีความโกรธแค้นอันใดกับฮ่องเต้และขันทีเฒ่ากัน'
หยวนจูวเย่ได้เห็นปฏิกิริยาอันเดือดดาลของเยี่ยอ๋องที่แสดงออกกับ สาวใช้ผู้จงรักภักดีต่อจวนอ๋อง พานทำให้เขาหวนคิดถึงความทรงจำของตนเองกับมารดาเมื่อครั้งในอดีต จึงได้หมุนขวดแก้วในมือไปมาและกล่าวแทรกขึ้น
"ท่านอ๋องไม่ควรกล่าวตำหนิสาวใช้ผู้จงรักภักดีของท่านให้เหนื่อยเลย มิเช่นนั้น หากโรคความดันของท่านพานกำเริบขึ้นมา มันอาจจะทำให้หัวใจวายตายลงตรงนี้ได้นะ..."
เยี่ยอ๋องฟังคำพูดของหยวนจูวเย่ เขายิ่งโกรธเดือดจัดมากกว่าเดิม เพราะกำลังถูกคนหนุ่มรุ่นลูกกล่าววาจาลูบคมตนเองอยู่อย่างท้าทาย
"หยวนจูวเย่! เจ้าเป็นใครกันแน่ แล้วของสิ่งนั้นมันไปอยู่ในมือของเจ้าได้ยังไงกัน"
หยวนจูวเย่ยิ้มอ่อนขึ้นบนใบหน้าอย่างพึงพอใจที่ได้เห็นความเดือดดาลนั้นของเยี่ยอ๋อง นาทีต่อมาคุณชายรูปงามก็ชูขวดแก้วในมือขึ้นและยื่นออกไปทางด้านหน้า
"ท่านอ๋องอย่างเพิ่งโกรธไป ข้าเป็นเพียงสามัญชนผู้ต่ำต้อย บังเอิญโชคดีที่ได้เจอกับขุนนางผู้มีจิตใจเมตตาให้การช่วยเหลือรับและข้ามาเป็นบุตรบุญธรรมก็เท่านั้น"
ในขณะที่หยวนจูวเย่กำลังตอบคำถามของเยี่ยอ๋องนั้น แม่ทัพหนุ่มกับฮ่องเต้ต่างก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ
"...ส่วนเรื่องที่ว่าข้าได้สิ่งนี้มาอยู่ในมือนั้นได้ยังไง ตอนนี้มันก็คงไม่สำคัญแล้วกระมัง"
บุรุษรูปงามหยุดพูดไปครู่หนึ่งและเผยแววตาดุดันออกมา รังสีอำมหิตแผ่ออกมาโดยผ่านทางน้ำเสียงอันเย็นยะเยือกนั้น
"...ข้าได้สั่งให้คนผสมผงปลิดวิญญาณลงไปในอาหารและเครื่องดื่มที่มีภายในงานวันนี้เรียบร้อยแล้ว"
น้ำเสียงของเขาฟังแล้วช่างเย็นชาและให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสียววูบวาบไปทั่วแผ่นหลังจริง ๆ
เมื่อทุกคนภายในห้องนั้นได้ฟัง ต่างก็พากันยกมือขึ้นมาลูบสัมผัสยังลำคอของตนเอง รวมทั้งซ่งเฉาเกาก็ด้วยเช่นกัน
"ผงปลิดวิญญาณอย่างงั้นรึ มันคืออะไรกัน"
"หรือว่ามันเป็นยาพิษ!"
พวกเขาพากันส่งเสียงดังอึ้งอึงขึ้นอย่างตระหนกตกใจกลัวยิ่งกว่ากลัวคมดาบที่กำลังจ่อปลายคอในตอนนี้เสียอีก
แม้กระทั่งองค์ฮ่องเต้ เฉากงกง หลงฮูหยิน ไม่เว้นแม้แต่เยี่ยอ๋องเอง ต่างก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาอย่างชัดเจน
จู่ ๆ ถงเสี่ยวเถา ก็เห็นถึงความผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้นกับนายสาว ซึ่งก่อนหน้านี้นางเอาแต่ยืนตัวแข็งทื่อ นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา แต่ตอนนี้นางกลับยืนสั่นไปทั้งตัว และส่งเสียงหัวเราะขึ้นมาจากในลำคอ และค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับคนที่เสียสติไปแล้ว
หึ หึ หึ....
สาวใช้ตกใจกลัวจนรีบชักมือที่กำลังจับแขนของนายสาวกลับเข้าหาตัวและเอ่ยถามเสียงสั่น พร้อมกับถอยห่างร่นไปทางด้านข้างสองก้าว
"คะ คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป อย่าทำให้ข้ากลัวสิเจ้าคะ"
พอสิ้นคำพูดของสาวใช้ เสียงหัวเราะของเจ้าสาวก็เงียบเสียงลง ทุกสายตาที่เคยสนใจเยี่ยอ๋องและหยวนจูวเย่ต่างพากันเบนเข็มหันไปจับจ้องมองสตรีชุดแดงอย่างไม่วางตา
วินาทีนี้เหมือนเวลาได้หยุดลง แม้แต่เสียงของลมหายใจก็เหมือนจะหยุดชะงักไปด้วย
ดวงตาทุกคู่ต่างจ้องมองไปยังเจ้าสาวผู้แสนงดงามของวันนี้ ท่ามกลางความสงสัยและความประหลาดใจระคนกัน
ความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัยและคำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของทุกคน
นิ้วมือเรียวเล็กจับไปยังตรงปลายผ้าคลุมสีแดงผืนบาง และค่อย ๆ เปิดขึ้นอย่างช้า ๆ
ชั่วอึดใจก็เผยให้เห็นปลายคางเรียวคมของเจ้าสาว และรอยยิ้มอัน แยบยลแสนเจ้าเล่ห์บนดวงหน้างาม
อนิจจา!
เจ้าสาวของแม่ทัพหนุ่มแห่งแคว้นโหย่วได้เสียสติไปแล้วจริง ๆ กระนั้นหรือนี่
....
เซียงไค 盛開