webnovel

บทที่ 3 หุบผาปักษาหวน

"  พี่ชาย  ท่านพาข้าไปส่งที่บ้านสกุลอู่ด้วยเถิด  รับรองว่าท่านจะได้เงินทองไม่น้อยแน่ "

      คุณหนูอู่พูดเสียงแผ่วผิดแปลกไป  เพราะการแนบชิดกับบุรุษเพศเช่นนี้  โยกคอนให้ใจนางสั่นสะท้านไม่น้อย

      " ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ข้าไม่อาจไปส่งเจ้าได้หรอกน้องชาย  เอาไว้ถึงที่ปลอดภัย  แล้วเจ้าคงต้องหาทางกลับบ้านเองแล้ว "..

      เสียงกังวาลใสที่ระบายมากับลมหายใจอบอุ่นสัมผัสใบหน้า  ทำเอาเด็กสาวระทกระทวยอยู่ในอ้อมแขนที่รัดกาย

      ทว่าถ้อยคำของมัน  กลับพลิกให้อารมณ์นางแง่งอนขึ้นมาทันใด

      " เหตุใดไปไม่ได้  ท่านคิดทอดทิ้งข้าพเจ้าอย่างนั้นรึ  ! "

      น้ำเสียงเคืองขุ่นของนาง  ลอยล้อไปกับท่าร่างท่องนภา  ล่อนกายแผ่วเบาลงเชิงผาสูงตระหง่าน

      ทันทีที่เท้าแตะพื้น  ชายหนุ่มพลันปล่อยแขนออกจากเอวบาง  แล้วเดินเบี่ยงไปเชิงผา  เหม่อมองลงไปยังหุบเหวอันลึกล้ำดั่งไร้ที่สิ้นสุด

      " อาจารย์สั่งให้ข้ารอคอยอยู่ที่นี่  หากข้าไปส่งเจ้า  ย่อมกลับกลายเป็นคนตระบัดสัตย์  เจ้าปราถนาให้คนเลวทรามไปเยี่ยมเยือนบัานเจ้ารึ ? "

      " โฮ้ !...พี่ชายพูดขนาดนี้  ข้าก็อับจนถ้อยคำแล้ว  คงต้องอยู่คอยอาจารย์เป็นเพื่อนท่าน  รอจนท่านเสร็จธุระแล้วคงไปส่งข้าพเจ้าได้ใช่หรือไม่ "  เด็กสาวชะโงกหน้ามามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากล

      ทำเอาชายชุดเขียวต้องระบายยิ้มเฝื่อนๆตาม

      " น้องชาย  เจ้ามีสติปัญญาว่องไวนัก  หากฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ข้า  รับรองว่าบรรลุเป็นเซียนได้ไม่ยากเย็นเลย "  

     " ชิ !...เป็นนักพรตมีอันใดดี  ไม่ได้กินเนื้อ  ไม่ได้ดื่มสุรา  ต่อให้มีชีวิตอมตะก็นับว่าเป็นความจืดชืดอันยืนยาวสิ้นดี "  นางกล่าวฉอดๆ  แสดงสิ่งที่อยู่ในใจโดยไม่กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย

      " เซียนไม่ได้แค่มีชีวิตยืนยาวหรอกน้องชายแซ่อู่ "  มันกล่าวพร้อมเป่าลมลงไปในกังหันลมในมือ  ให้ใบสี่แฉกหมุนวนไป

      " วิถีเซียนเป็นดั่งเมฆหมอกเฉื่อยฉิวอย่างเจ้างั้นเหรอ ? "  นางเริ่มเย้ยหยันหยอกล้อ  คล้ายเห็นมันเป็นสหายรู้ใจแล้ว

      " แค่บางส่วนเท่านั้นล่ะ  ส่วนที่เหลือคือวิถีแห่งธรรมชาติ … เมื่อมีลมหายใจทั้งเจ้าและข้าจึงมีชีวิต  มีชีวิตจึงมีโลก  มีโลกจึงมีสายลม  และเมื่อมีลมเจ้ากับข้าจึงหายใจได้  ความสัมพันธ์ชนิดนี้แหละคือวิถีแห่งเซียน "  

      เด็กสาวกอดอกโยกตัวไปมาเหมือนล้อเลียนมัน  

      " ข้าเพียงหยอกเย้าเจ้าเล่นๆ  เหตุใดต้องพูดยืดยาว  ข้าไม่ได้ยากเป็นเซียนสักหน่อย "...

      ชายหนุ่มได้แต่ลูบท้ายทอย  หัวเราะคิก คิกแก้เก้อ  เหมือนมันไม่รู้จักการละเล่นเช่นเด็กน้อยมาเนินนาน

      ทว่าทั้งคู่หาได้นิ่งสงัดกับความขวยเขินนานนัก  เพราะเบื้องหลังเกิดลมปราณแกร่งกล้าพวยพุ่งมากับคำเสียดเย้ยแหบพร่า

      " น้องอู่จ้าว !...อย่าไปเสียเวลาสนทนากับนักพรตจืดชืดเลย  มันไม่มีอารมณ์เริงเล่นเช่นปุถุชนหรอก "

      คุณชายหยวนวิ่งขึ้นเนินผามาพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น  ด้านหลังมันยังตามติดมาด้วยยี่สิบคุณชายที่ถือกุมกระบี่  กับเก้าขอทานร่ายไม้เท้ามาไม่ห่าง

      " ท่านตามข้าพเจ้ากลับไปรับทานอาหาร  ร่ำสุราให้สำราญเถิด  วิถีของท่านสมควรเสวยสุขในเมืองนู้น  หาใช่ป่าดงพงไพรหรอกคุณหนู "... คุณชายหยวนยังคงหว่านล้อมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์  พร้อมกับขวางกระบี่ไว้หว่างอก  อีกมือผายให้พวกพ้องควงกระบี่  แกว่งไม้เท้าเข้ารายล้อม

      " แย่แล้ว !...แย่แล้ว  พี่ชายทำอย่างไรดี ? "  

      ดรุณีน้อยสะดุ้งตัวเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่ม  พร้อมเหลียวมองไปทางหุบเหวลึกอย่างอับจนหนทางรอด

      " ไม่มีทางถอยหนีอีกแล้วน้องชาย  เจ้าสมควรส่งมอบคุณหนูอู่มาเถิด  อย่าให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันเลย "  ขอทานเฒ่าข่มขู่ตามต่อ  เหมือนมันจะหยามใจที่เห็นชายชุดเขียวไม่ตอบโต้  จึงทำลายขวัญซ้ำซ้อนอีก

       " จิตใจคนนี่ช่างประหลาดพิกล  ใช้อาวุธไล่ฆ่าฟันอยู่ดีๆ  ก็มาหว่านล้อมให้ยอมจำนน  คงเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือแล้วกระมั้ง "  ชายชุดเขียวระบายคำอย่างเอื้อมระอา  พลางเอื้อมมือไปจับเอวเด็กสาวอีกครั้ง

      " พี่ชาย !..นี่ท่านจะทำอะไร  เราหมดหนทางหนีแล้วนะ "

      เด็กสาวไม่ทันกล่าวจบความ  ร่างนางก็พลันลอยละล่องไปกับชายชุดเขียว  ร่วงละลิ่วลงจากเชิงผา  ตกดิ่งรวดเร็วจนนางกรีดเสียงร้องลั่น

      ก รี๊ ด ด ด ด…..

      ระหว่างร่างทั้งคู่ร่วงละลิ่วลงจากอากาศ  ชายหนุ่มพลันแผดเสียงกู่ร้องยืดยาวเสียดเย้ยไปกับเสียงกรีดร้องของเด็กสาว  ดั่งร่วมประสานโทนเสียงก็ไม่ปาน

      แตกต่างเพียงเสียงกู่ร้องของชายหนุ่มแฝงไว้ซึ่งพลังวัตรแกร่งกล้า  สะท้อนสะท้านแรงให้พวยพุ่งสู่หุบเหว  ที่ซึ่งมีเพียงม่านหมอกปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง  

      ในพริบตาที่เสียงสะท้อนก้อง  ม่านหมอกขาวหม่นที่เบื้องล่างได้เกิดแยกเป็นโพลงแหวกออกหลายสิบสาย  พลันนั้นหมู่นกกระเรียนปีกขาวนวลสิบกว่าตัวได้บินทะยานฝ่าสายหมอก  พวยพุ่งสวนทางกับทั้งคู่ขึ้นสู่เบื้องบน

      " เกาะข้าไว้แน่นๆน้องชาย "

      " ไม่ต้องบอก  ข้าก็เกาะเจ้าไม่ปล่อยอยู่แล้ว วู้ ว ว ว ว ! "... นางร้องเสียงหลง  ตัวเกร็งกระตุกโอบรัดวงแขนกับลำคอชายหนุ่มไว้แน่น

      นางสัมผัสถึงไออุ่นระอุแผ่ออกจากกายชายหนุ่ม  ขณะมันพลิกผันท่าร่างกลางฟ้า  แล้วางเท้าแตะสัมผัสกับหลังนกกระเรียนที่บินสวนมา  ส่งให้เกิดแรงลอยขึ้น  ลดทอนแรงตกให้เชื่องช้าลง  มันกระทำท่าร่างเช่นนี้อีกสี่ครากับนกสี่ตัว  จนร่างทั้งคู่ฝ่าม่านหมอกลงลึก  จากนั้นมันจึงเปลี่ยนท่าร่างเป็นหมุนวน  จนอาภรณ์ทั้งคู่สยายไหวดั่งปีกกังหันลมกรูเกรียวลงสู่พื้น

      " โ ว้ ว ว ว….  นี่เจ้าทำได้อย่างไรเนี่ย  อย่างกับเซียนเหยียบเมฆเลย ? "...เด็กสาวร้องลิงโลดเริงร่า  กระโดดเร้าๆทั้งที่ยังกอดคอชายหนุ่มไว้แน่น

      " ถ้าเจ้าชอบ  ลองเล่นอีกรอบดีหรือไม่ "

      " เอะ !.. นี่เจ้าพูดจริง  หรือพูดเล่นเนี่ย ? "

      " ข้ากำลังฝึกหัดล้อเล่น  เจ้าชื่นชอบหรือไม่ ? "

      เด็กสาวหัวเราะคิก คิก ชอบใจ  ขณะปล่อยแขนออกจากลำคอมัน  

      " นับว่ามีความพยายามเริงเล่นอยู่บ้าง  แต่ต้องฝึกหน้าตาให้ยิ้มแย้มกว่านี้นะ "  นางกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย  ขณะสบตากับดวงตาสีเทาอ่อนด้วยความไว้วางใจดั่งรู้จักคบหากันมาเนินนาน

     นางสัพยอกเบิกบาน  หากเพียงครู่เดียวกลับมองเห็นใบหน้าชายหนุ่มพร่าเลือนไป  เพราะหมอกหนาเข้าปกคลุม  จนละอ่องขาวหม่นมัวอบร่ำทั่วทั้งบริเวณ

      " ประหลาดจริง  นี่เที่ยงวันแท้ๆเหตุใดยังมีหมอกปกคลุมหนาขนาดนี้ "  นางยกฝ่ามือขึ้นมองทั้งที่ปากยังพร่ำความสงสัย

      " วิชาหมอกมายาของนักพรตไท้ซาน …เจ้าสมควรขึ้นมาขี่บนหลังข้าไว้นะน้องชาย "

      " นี่เจ้าล้อเล่นอีกแล้วรึ ? "

      เด็กสาวเอ่ยทักไม่ทันจบ  ก็ต้องมีอันสะดุ้งจนตัวโยน  เมื่อรู้สึกว่าตรงข้อเท้าถูกมือเยียบเย็นสัมผัสต้อง

      " อุ๊ย !...นี่ใครกัน "...

      นางร้องแตกตื่น  พลางถอยร่นมาเกาะแขนชายหนุ่มไว้มั่น

      ที่นางเห็นนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น  คือนักพรตวัยกลางคนร่างเล็กสันทัด  มันนอนหอบหายใจถี่  ยื่นแขนสั่นระริกมาขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา

      " พี่ชายท่านเป็นไรหรือไม่ ? "  ชายหนุ่มรีบเข้าไปช่วยประคองมันขึ้นนั่ง  แล้วประกบฝ่ามือยังแผ่นหลัง  ถ่ายทอดพลังวัตรช่วยชุบชีพจรมันให้ฟื้นขึ้น

      " แค๊ก แค๊ก แค๊ก…พ่อหนุ่มน้อยอย่าได้เปล่าเปลืองพลังวัตรเลย  พวกลัทธินอกรีตมันยังอยู่แถวนี้มากมายนัก "  นักพรตร่างเล็กไอแห้งๆ  พูดเสียงแผ่วราวลอยละเมอมาจากแดนปรโลก

      " เกิดเหตุอันใดขึ้นท่านพี่ " ชายหนุ่มกล่าวพลางย้อนพลังวัตรคืนสู่กาย  แล้วตรงเข้าประคองไหล่มันขึ้น

      " แค๊ก แค๊ก แค๊ก…ลัทธินอกรีตมันใช้เล่ห์กลหลอกลวงพวกเราทั้งสี่ธรรมบรรพต  ให้มาติดกับดักแล้ว "

      " เป็นไปได้อย่างไรทั้งสี่เซียนล้วนมาชุมนุมกันที่นี่  จะมีผู้ใดกล้าทำร้ายพวกท่านได้ "

      " เจ้าดูสภาพเราเถิด  ดูหมอกมายานี่เถิด  ทั้งหมดเป็นการลงมือของลัทธิมณีกีทั้งสิ้น "

      เมื่อได้ยินคำว่าลัทธิมณีกี  เด็กสาวพลันขมวดคิ้วขุ่น  เพราะบิดานางเคยตอนรับแขกจากลัทธินี้อยู่หลายครา  นางเห็นว่าพวกมันล้วนฉลาดเฉลียว  ชอบร้องรำทำเพลง  ไม่ได้มีท่าทีอำมหิตจะทำร้ายใครได้

      " แล้วทั้งสี่ปรมาจารย์อยู่ที่ใดแล้วพี่ชาย  ท่านพอบอกหนทางได้หรือไม่ ? "  ชายหนุ่มยังคงถามตามต่อด้วยสีหน้าสุดห่วงใย

      " อยู่ในถ้ำม่านน้ำ ทางตะวันออกนู้น…"

      ไม่ทันสิ้นเสียง  อาวุธมีคมพลันพวยพุ่งฝ่าอากาศเข้าใส่คนทั้งสาม

      ก รี๊ ด ด ด ด….

      คุณหนูอู่กรีดร้องลั่น  พร้อมเพรียงกับที่ชายหนุ่มกระโดดเข้าขวางตัวนาง  พานางหลบเลี่ยงอาวุธมีคมที่พุ่งโฉบเฉี่ยวฝ่าอากาศ

      " ยังไม่รีบขึ้นมาบนหลังข้าอีก ! "  ชายหนุ่มรีบย่อตัว  เร่งกระตุ้นนางอีกครั้ง

      ทันทีนั้นเด็กสาวรู้แล้วว่ามันไม่ได้กล่าววาจาล้อเล่น  นางรีบกระโดดขึ้นไปเกาะหลังมัน  สองแขนโอบรัดคอชายหนุ่มแน่น  และเพียงอึดใจนางก็พลันพัดพลิ้วไปตามท่าร่างอันเลื่อนไหล

      ชายหนุ่มเคลื่อนขยับดั่งสายลมวูบไหว  หลบเลี่ยงอาวุธคมวาวที่พุ่งผ่านสายหมอกดัง เฟี้ยว  เฟี้ยว  เฟี้ยว…

      อาวุธบินระดมพุ่งใส่ดั่งปักษาปีกเหล็ก  โผผินกระหายโลหิต

      แม้ชายหนุ่มจะมีวิชาตัวเบาเลิศล้ำ  หากอาวุธบินมีมากเกินไป  พุ่งมารวดเร็วเกินไป  จนชายหนุ่มต้องคว้ากระบี่ที่ตกอยู่ข้างกายนักพรตร่างเล็ก  ขึ้นมาตวัดกวัดแกว่งปะทะกับอาวุธบินดัง กร๊อง แกร๊ง กร๊อง แกร๊ง

      " เจ้ายังไม่ลงมือจู่โจมอีกหรือพี่ชาย หากตั้งรับอยู่แบบนี้  คงไม่ได้มีชีวิตไปกราบอาจารย์เจ้าแล้ว "  เด็กสาวร้องเสียงหลง  ทั้งหวาดกลัวทั้งหงุดหงิด  ที่เห็นชายหนุ่มเอาแต่ควงกระบี่ปกป้องกาย

      " ศิษย์เลวทรามนัก  ไม่อาจทำตามคำสั่งอาจารย์ได้แล้ว ! "  ชายหนุ่มกล่าวก้องไปพร้อมร่ายกระบี่สวนทางไปกับอาวุธบินที่โฉบใส่

      อ๊ า ก ก ก ก !

      เพียงพริบตากระบี่คมกริบพลันทะลวงแทงเข้าใส่ลำคอคนสัดอาวุธ  ลงไปล้มขมำกับพื้น

      แต่ยังมีคนใส่ชุดดำปิดหน้าตาอีกสามคนอยู่ไม่ห่าง  พวกมันต่างกำอาวุธโจนเข้าใส่

      โดยชายหนุ่มเพียงบิดกายหลบเลี่ยง  แล้วพลิกข้อมือตวัดกระบี่สวนกลับ  เข้าที่คอหอยคนทางซ้าย  จนมันถอยถลาไปด้วยเลือดทะลักนองลำคอ

      อีกสองคนแตกตื่นกับเพลงกระบี่ชายหนุ่มจนถอยล้นไปหลายก้าว ถึงกระนั้นพวกมันยังไม่วายสัดอาวุธเข้าใส่  ก่อนจะวิ่งเตลิดหายลับไปในสายหมอก  

      ส่วนกระบี่ในมือชายหนุ่มพลันแกว่งไกว  แทงสวนอาวุธบินที่โจนมา  เกี่ยวมันให้ควงหมุนเข้าไว้ในคมกระบี่ยาว

      ที่แท้อาวุธบินที่พวกมันใช้  เป็นห่วงทรงกลมแบนแหลมดั่งคมมีดเป็นวง  เป็นอาวุธที่ชาวต้าถังไม่คุ้นเคยนัก

      " ชาร์แครม ! "...เด็กสาวร้องบอกด้วยดวงตาเหลือกกว้าง  ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นอาวุธต่างแดนในสถานการณ์เช่นนี้

      " เจ้ารู้จักอาวุธประหลาดนี่หรือ " ชายหนุ่มถามงงๆ  ขณะหยิบห่วงคมออกจากตัวกระบี่  ออกมาพลิกมองไปมองมา

      " ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้ว  เคยมีคาราวานพ่อค้าเปอร์เซียเอาอาวุธนี้มาให้ข้าเล่น  พวกมันว่าเป็นอาวุธที่ใช้ได้ยากเย็น  มีอันตรายกับคนใช้มากกว่าคนที่ต้องการโจมตีเสียอีก "  เด็กสาวอธิบายพร้อมปล่อยแขนจากคอชายหนุ่ม  แล้วก้าวลงไปยืนกับพื้น

      นางล้วงมือเข้าอกเสื้อ  หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าเนื้อแพรสีชมพูออกมาคลุมฝ่ามือ  ก่อนจะยื่นไปรับห่วงใบมีดจากมือชายหนุ่ม

      เด็กสาวพลิกมองไปมา  ดูเนื้อโลหะที่หนาหนักกว่าชาร์แครมที่นางเคยเห็น  คมมีดก็บิดขึ้นๆลงๆ  คล้ายของทำเลียนแบบมากกว่า

      แต่นางไม่ทันได้เอ่ยปากบอกชายหนุ่ม  มันกลับพลันร้องเสียงดังเหมือนนึกอะไรขึ้นได้

      " แย่แล้ว !...พี่ชายร่างเล็กนั้นเป็นไรหรือไม่ ! "  มันรีบผลุนผลันไปยังนักพรตชุดเทาที่นอนร้องด้วยความเจ็บปวด

      ชายหนุ่มรีบเข้าไปช่วยห้ามเลือดสมานแผล  ปล่อยให้เด็กสาวยืนเคว้งคว้าง  ค้างคาใจกับเหตุการณ์ที่เกิด

      ใจนางสั่นระรัวขณะเดินเข้าไปใกล้ศพชายชุดดำทั้งคู่  เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคนตกตายกับตา  มือนางเย็นเฉียบตอนที่ดึงผ้าปิดหน้าชายชุดดำออก  เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือก  ตาเหลือกค้าง

      " เอะ !...เหตุใดมันเป็นชาวต้าถังเล่า ? "

      เสียงร้องของนางกวักเรียกให้ชายหนุ่มช่วยพยุงนักพรตร่างเล็กเข้ามาหานาง

      " เจ้าหมายความว่ายังไง ?  ทำไมมันจะเป็นชาวต้าถังไม่ได้เล่า ? "

      " เจ้านี่ถามพิกล  ก็มันบอกมิใช่รึว่าพวกลัทธิมณีกีลอบทำร้ายพวกเรา  ข้ายังไม่เคยพบเจอชาวต้าถังอยู่ในลัทธินี้สักคน "

      คำกล่าวของนางทำเอาชายหนุ่มทั้งคู่หันมองหน้ากัน  ด้วยแววตาเกลื่อนล้นคำถาม  แล้วพวกมันต้องตื่นตะลึงกว่าเก่า  เมื่อเด็กสาวบอกความคิดอ่านที่อยู่ในใจ

      " ในหมู่พวกท่านทั้งสี่ธรรมบรรพต  มีใครสักคนหักหลังเข้าแล้ว  ซ้ำมันยังโยนบาปให้ลัทธิมณีกีด้วย "

      " แค๊ก แค๊ก แค๊ก  เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด  ท่านทั้งสี่เซียนล้วนหลุดพ้นโลกีย์วิสัย  ไม่มีผู้ใดมีจิตใจกลับกลอกทำร้ายคนหรอก "  นักพรตเตี้ยกล่าวเคืองขุ่น  ทั้งที่เสียงแหบโหยเต็มที

      ทว่าเด็กสาวยังลอยหน้าลอยตาตอบ  โดยไร้ความหวั่นเกรงใดๆ

      " เป็นเซียนนั้นล่ะอันตรายที่สุด  เมื่อไร้จิตใจอย่างคนสามัญ  จึงไม่อาจคาดเดาการกระทำมันได้ ! "...

      นางโต้แย้งไปด้วยความไวปัญญา  โดยไม่เฉลี่ยวใจสักนิด  ว่าเซียนวิเศษพวกนั้นได้กระทำเรื่องเกินคาดคิดไปไกล

      ไกลเกินผู้คนจะเข้าถึงได้ท่องแท้นัก…