webnovel

บทที่ 2 เมฆาในสายลม

ดวงอาทิตย์สาดแสงแรงกล้า  แผ่ไออบอ้าวจนดวงตาดรุณีน้อยเริ่มพร่าเรือน  จากรังสีอันร้อนละอุ

      ดรุณีน้อยวิ่งกระหืดกระหอบมาเป็นเวลาเกือบสองชั่วยาม  นางทั้งเหนื่อยล้าทั้งหิวโหย  เหงื่อออกชุมเต็มแผ่นหลัง

      " ฤดูร้อนอบอ้าวขนาดนี้  ตาเฒ่าหมอดูเอาอะไรมาพูดว่า  มีฤดูใบไม้ผลิรออยู่ ! "...เด็กสาวบ่นงึมงำขณะลดฝีเท้าเดินเชื่องช้าลง  เมื่อรู้สึกว่านางวิ่งมาไกลเกินไปแล้ว

      ที่เลวร้ายคือท้องนางร้องโครกคราก  หิวแสบไส้ไปหมด  ดวงอาทิตย์ตรงหัวขนาดนี้  คงเลยยามอู่( เวลาเที่ยง ) มาได้สักพักแล้ว

      " ตาเฒ่าหมอดูหมอเดา  หลอกลวงให้ข้าหลงทางแล้วมั้ง ! "...นางปาดเเหงื่อไปกับวาจาอ่อนล้า  ขณะเดินลากเท้าฝ่าพงไพร  จนดวงตางามซึ้งพลันเปล่งประกายเจิดจ้า  เมื่อเห็นบึงน้ำเขียวขจีอยู่เบื้องหน้า

      ความกระปี่กระเป่ารี่ไหลรวดเร็วราวสายฟ้าแลบผ่าน  นางตะบึงวิ่งเข้าหาแหล่งน้ำ  ยกมือจ้วงน้ำใสดื่มด้วยความกระหาย

      ความชุ่มชื่นเหมือนจะเพิ่มเป็นเท่าทวี  เมื่อนางได้กลิ่นปลาย่างหอมกรุ่น  ลอยมาเตะจมูก

      มีกองไฟอยู่บนเนินทรายริมน้ำ  รอบๆไฟที่ลุกโชนมีปลาเสียบไม้อังอยู่ห้า-หกไม้  ถัดกองไฟยังมีห่อผ้ากับกังหันลมเด็กเล่นวางอยู่

      " เป็นชาวป่ามาก่อไฟกินอาหารอย่างนั้นรึ ? "  เด็กสาวกล่าวร้องในใจ  พลางหันมองไปรอบๆ  โดยกระชับกริชไว้แน่นขณะเยื่องย่างเข้าใกล้กองไฟทีละน้อย ๆ

      " วู้ว !...มีใครอยู่ที่นี่หรือไม่ ? "  ดรุณีน้อยกู่ร้องลั่น  ทั้งที่น้ำลายเริ่มสอด้วยกลิ่นปลาหอมกรุ่นโชยชายมาไม่หยุด

      " ปลาท่านจะไหม้แล้วนะ  ดีนะที่ข้าพเจ้ามาพบเจอ  ของกินจะได้ไม่ต้องทิ้งคว้าง  ข้าพเจ้ายินดีช่วยเหลืออย่างยิ่ง "...นางกล่าวเลื่อนลอยกับอากาศ  แล้วรีบวิ่งเข้าหาปลาเผาอย่างหิวโหย

      นางชักกริชเข้าเฉือนเนื้อปลา  แล้วจิ่มส่งเข้าปาก

      " อืม !...หวานนุ่มละมุนลิ้นยิ่ง  ขนาดไม่ปรุงแต่งอะไรยังเลิศรสเพียงนี้…"  ดรุณีน้อยลิ้มรสไปชื่นชมไปไม่หยุดปาก  เพียงชั่วลัดนิ้วมือ  ปลาเผาตัวน้อยก็เหลือแต่กางติดไม้แห้งกรัง

      ปลาตัวที่สองถูกดึงมากัดกินด้วยริมฝีปาก  โดยไม่ต้องใช้กริชให้เชื่องช้าอีก

      แต่แล้วเด็กสาวพลันต้องชะงักการขบเคี้ยวทันใด  เมื่อเกิดซุ่มเสียงเจื้อยแจ่วมาจากหนองน้ำ…

      " น้องชายเจ้าไปตายอดตายยากมาจากที่ใดกัน ? "  

      เสียงกังวานใสกวักเรียกให้เด็กสาวมองหา  จนได้พบชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆผุดตัวขึ้นจากบึงน้ำ  ในมือมันยังมีไม้เสียบปลาดิ้นกระตุกไปมาอยู่สองตัว

      " ปลาตัวกระจ๋อยร่อยแค่นั้นไม่พอให้เจ้าอิ่มหน่ำหรอก …ดูนี่ซิข้าได้ปลาอวบอ้วนมาอีกสองตัว  รับรองว่าเพียงพอให้เราสองคนอิ่มพุงกางเชียว ฮ่า ฮ่า ฮ่า…"

      ชายหนุ่มกล่าวเริงร่าพลางพวยพุ่งขึ้นจากน้ำ  ร่างมันลอยละลิ่วข้ามธารใสลงไปหยัดยืนยังพื้นตรงหน้านาง

      " อ๊าก !...เจ้า !..เจ้า !..."

      เด็กสาวร้องเสียงลั่น  เหลือกตาถล่น  อ้าปากกว้างจนเนื้อปลาในปากร่วงหล่นลงพื้น

      เพราะสิ่งที่โทงเทงอยู่หน้านาง  คือชายเปลือยเปล่า  ไม่มีใบไม้สักใบปกปิดร่างกาย

      " เจ้าเป็นไรน้องชาย  กางปลาติดคอรึ ? "  มันร้องด้วยความห่วงใย  พลางเข้าไปนั่งย่องๆข้างนาง  ปล่อยให้ท่อนกลางกายห้อยต่องแต่งเรี่ยพื้น

      เด็กสาวรีบหันหน้าหนีด้วยความเขินอาย  ใบหน้าแดงระเรื่อจากเลือดฝาดที่ฉีดซ่านไปทั่ว  แต่ด้วยความฉับไวปัญญานางยังคงแสร้งไอ  พยักหน้ารับ

      " เจ้านี่น้า !...เหตุใดต้องรีบร้อนรับทานด้วย  ปลายังมีอยู่เต็มสระน้ำ "  มันกล่าวอารมณ์ดีขณะลูบหลังนางเบาๆ

      แรงสัมผัสที่ชายหนุ่มลูบหลังกระตุ้นให้เลือดลมนางร้อนผ่าว  หัวใจระทึกรัวอย่างไม่เคยเป็น  แม้จะก้มหน้าก้มตาสุดขวยเขิน  แต่ยังไม่วายชำเรืองมองกล้ามเนื้อแน่นที่ห่างแค่เอื้อม  ด้วยความอยากรู้อยากเห็น

      " เอ้า !...น้องชายดื่มน้ำเสียหน่อยเถิด  คงพอช่วยบรรเทาอาการเจ้าได้กระมั้ง ! "

      กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำถูกหยิบจากกองผ้าส่งยื่นมาให้นาง  พร้อมเพรียงกับที่ชายหนุ่มปักไม้เสียบปลาอังไฟไว้  จากนั้นมันจึงลุกตรงไปหยิบอาภรณ์ที่ถอดวางมาสวมใส่

      โดยเด็กสาวได้แต่กระดกน้ำดื่มดับร้อนรุ่มเฮือกแล้วเฮือกเล่า

      " เจ้าพลัดหลงกับสหายมาหรือไรน้องชาย  ดูเจ้าจะไม่ใช้ชาวไพรมาเก็บของป่ากระมั้ง ? "...ชายหนุ่มแย้มยิ้มถาม  ขณะมานั่งข้างกองไฟแล้วยื่นปลาเข้าเผารนความร้อน

      ครานี้เด็กสาวสามารถมองมันได้เต็มสองตา  อาภรณ์ที่มันสวมใสได้ปกปิดแรงระทึกในใจนางไว้สิ้นแล้ว

      " เจ้าก็ดูไม่ใช่ชาวป่า  ยังมาอยู่ในป่าได้  เหตุใดข้าพเจ้าจะไม่สามารถเล่า ! "

      คุณหนูอู่จะอย่างไรก็เป็นทายาทคหบดีใหญ่  ไหนเลยจะยินยอมถูกซักไซ้  ตกเป็นรองฝ่ายเดียว  นั้นย่อมผิดหลักการค้าไม่น้อย

      เสียดายที่ชายหนุ่มเบื้องหน้า  หาใช่พ่อค้าที่ต้องการกำลี่กำไล  มันเพียงพยักหน้าแย้มยิ้ม  ร้องดัง " อ้อ !..."  แล้วหยิบปลาส่งเข้าปากละเลียดกิน

      เด็กสาวงงงันกับท่าทีของมันนัก  มันทั้งไม่ถามไถ่ชื่อแซ่  ไม่ซักไซ้ที่มาที่ไป  ท่าทีมันผ่อนคลายกัดกินเนื้อปลาสบายอารมณ์

      มันเป็นคนประเภทไหนกันถึงวางใจคนแปลกหน้าได้ง่ายดายนัก

      ดวงตาแวววาวของเด็กสาวเฝ้าสังเกตมันด้วยความสนเท่ใจ

      ดูอาภรณ์ที่มันสวมใส่คล้ายเหล่านักพรตเต๋า  ผิดแต่เนื่อผ้าย้อมด้วยสีเขียวอ่อนดั่งหญ้าสด  ซ้ำร่างกายมันยังสูงใหญ่ไหล่กว้าง  แขนขายาว  คล้ายนักรบเหี้ยมหาญมากกว่าเป็นเต้าหยินมากนัก

      แม้มันจะยังอยู่ในวัยเยาว์คะเนอายุน่าจะ20-21  แต่เค้าโครงหน้ามันคมคาย  จมูกโด่ง  คิ้วดกหนา  ดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นมีสีเทาอ่อน  ดึงดูดให้นางจ่อมจมมองเข้าไปภายในอย่างลืมตัว

      " ใบหน้าข้ามีอะไรติดอยู่อน่างนั้นรึ ?...เหตุใดเจ้าจ้องไม่วางตา ? "

      คำถามที่ลอยเลื่อนมากับประกายตาสีเทาอ่อน  ทำเอาดรุณีน้อยต้องรีบเบือนสายตาหลบ  ทั้งที่แก้มขึ้นเลือดฝาดแดงระเรื่อ

      " ต้องจ้องมองซิ !...ก็ข้าเพิ่งเคยพบพานคนไม่สำนึกบุญคุณคนมากที่สุดในแผ่นดิน ! "

      " เป็นข้าพเจ้าไม่สำนึกบุญคุณท่านอย่างนั้นรึ? "

      " ถูกต้อง !..ก็ข้าช่วยไม่ให้ปลาของเจ้าไหม้เกรียม  ไม่เห็นขอบคุณข้าสักคำ  ชื่อแซ่ผู้มีพระคุณก็ไม่สนใจถามไถ่ ? "...

      " อ้อ !...เหตุใดข้าต้องขอบคุณเล่า  บางทีปลามันอาจชมชอบถูกฌาปนกิจให้มอดไหม้ก็ได้  ส่วนที่ไม่ถามชื่อแซ่เพราะอีกสักครู่เจ้าต้องบ่งบอกมาเองอยู่แล้ว "

      " ชิ !..เหตุใดข้าต้องบอกขื่อแซ่เจ้าด้วย  เจ้าอาจเป็นโจรป่า  จับตัวข้าเรียกค่าไถ่ก็ได้ ! "

      " หว้า !…สมเป็นผู้คนจากเมืองใหญ่โดยแท้  ระแวงระวังคนแปลกหน้าเสมอเลย !...ถ้าเช่นนั้นเราสองคนแยกย้ายกันในลักษณะนี้เถิด "....

      มันกล่าวรวบรัดอารมณ์ดี  พร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหยิบห่อผ้าสะพายไหล่  หยิบกังหันเด็กเล่นไว้มือหนึ่ง  อีกมือยังมีปลาเสียบไม้แทะกินอย่างเอร็ดอร่อย

      ดรุณีน้อยเบิกตาโพลงด้วยความแตกตื่น  ผู้ช่วยเหลือนางออกจากป่า  กำลังจะจากไปแล้ว…

      " เดี๋ยว !...เจ้าห้ามไปไหน ! "

      " จะรั้งข้าไว้ทำไมคนแปลกหน้า  ไม่กลัวข้าจับตัวเจ้าแล้วรึ ? " มันถามด้วยสีหน้ายียวน  ทั้งที่ยังมีเนื้อปลาอยู่เต็มปาก

       " เอ่อ !...คือ..คือ.."  เด็กสาวได้แต่อึกๆอักๆ  ไม่อาจนึกหาข้ออ้างเหนี่ยวรั้งมันสักคำ

      " เคี๊ยก เคี๊ยก เคี๊ยก…คุณหนูอู่ท่านอยู่นี่เอง ! "

      เสียงหัวเราะแหบพร่าลอยมาตามลม  พร้อมร่างขอทานมอมแมมตะบึงออกมาจากแนวป่า  โดยมีเสียงร้องตะโกนลั่นมาจากด้านหลัง  ล้วนเป็นเหล่าขอทานวิ่งติดตามมาไม่ห่าง

      ดรุณีน้อยรีบลุกพรวดจากที่  เมื่อเห็นเหล่าขอทานดาหน้ามา

      " อ้าว !...สหายท่านมาแล้ว  เหตุใดถอยหนีมาเล่า ? "  ชายหนุ่มชุดเขียวถามหน้าระรื่น  ขณะที่เด็กสาวเข้ามายืนเกาะแขนอยู่แนบข้าง

      " เจ้าฟั่นเฟือนไปแล้วรึไร  ข้าพเจ้าจะเป็นสหายกับขอทานได้อย่างไร !... "  นางกล่าวรนราน  พร้อมกับยึดเกาะแขนมันไว้จนแน่น

      " ฮ่า ฮ่า ฮ่า น้องอู่จ้าวกล่าวถูกต้องแล้ว  ขอทานยากไร้จะเป็นสหายกับท่านได้อย่างไร  ? "  เสียงคึกคะนองเลื่อนลอยมากับเงาร่างอวบอิ่มอาภรณ์แพรวพราวของคุณชายหยวน  ที่โจนทะยานมากับยี่สิบชายฉกรรจ์ในมือล้วนมีกระบี่แวววับ

      มันทั้งหมดล่อนร่างลงบนเนินดิน  โดยมีคุณชายหยวนแกว่งไกวกระบี่ขวางหน้าไว้

     " น้องอู่จ้าวท่านนี่ช่างกระไร  โลกภายนอกมีแต่คนโฉดชั่วมากเล่ห์เพทุบาย  เชิญท่านกลับสู่เมืองกับข้าพเจ้าเถิด "   คุณชายหยวนกล่าวมาดมั่น  ท่วงท่าเคืองโขดั่งขุนนางใหญ่

      ขณะที่ขอทานเฒ่าก็เปรยยิ้มเหื้ยมเกรียมไม่ยิ่งย่อนไปจากมัน

      " ไม่ต้องมาพูดดีเลย  พวกเจ้านั้นล่ะที่เป็นตัวชั่วช้าอันดับหนึ่งในแผ่นดิน "  เด็กสาวยังคงพูดกร้าว  ทั้งที่มือเกาะหลังชายชุดเขึยวไว้แน่น

      " เจ้านี่คบหาผู้คนหลากหลายนัก  มีทั้งพ่อค้า  ทั้งกระยาจก  นับว่าเป็นผู้กว้างขวางโดยแท้ ! "...ชายชุดเขียวยังคงกล่าวหน้าระรื่น  พร้อมทั้งเป่าลมหายใจใส่กังหันลมในมือ  จนใบหมุนเป็นวง

      " ใครว่าข้าคบหาพวกมันเล่า !...พวกมันนั้นล่ะโจรลักพาตัว ! "

      " น้องอู่จ้าว  ท่านอย่ากล่าวหยอกล้อไป  ประเดี๋ยวน้องชายท่านนี้จะเข้าใจผิดไปใหญ่ " คุณชายหยวนปั้นหน้าสงบเย็น  ต่างจากกระบี่ในมือมัน  ที่แกว่งไกวฝ่าลมดังควับๆ  เหมือนกำลังข่มขวัญอยู่ในที

      " ข้าพเจ้าหยวนจงเซิน  พอมีชื่อเสียงในเมืองหลวงอยู่บ้าง  น้องชายท่านนี้คงพอเคยได้ยินบ้างกระมั้ง ? "  มันกล่าวตามต่อ  พร้อมแผ่ลมปราณเข้าไปในคมกระบี่  แฝงเร้นการคุกคามอยู่สามส่วน

      " ต้องขออภัย  ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญพรตจากแดนไกล  ไม่ประสีประสากับคหบดีเรืองนามหรอก "  ชายหนุ่มกล่าวพลางควงมือเป็นวง  แผ่พลังวัตรฝ่าอากาศ  ตรงเข้าปะทะกระบี่คุณชายหยวนเต็มด้าม

      โดยไม่มีใครคาดคิด  ว่ากระบี่ในมือผู้ฝึกยุทธจะพลันลอยคว้างหลุดมือ  แล้วปลิวละล่องเข้ามาหมุนวนรอบมือชายชุดเขียว  คล้ายใบไม้ลอยตามลมไม่มีผิด

      " วิชากระบี่เฉวียน 9 ขั้น ! "  ขอทานเฒ่าตะโกนร้องแตกตื่น

      เช่นเดียวกับทุกผู้คน  ที่ถลึงเหลือกตาพองเมื่อเห็นวิชาฝีมือพิสดาร

      โดยเฉพาะคุณชายหยวนที่มีอันต้องถอยหลังชะงักมอง  ด้วยสีหน้าซีดเผือดดั่งพบภูตผีกลางวันแสกๆ

      " ของมีคมไม่ควรกวัดแกว่งเล่นไปนะท่านคหบดั ! "  ชายชุดเขียวกล่าวไปพร้อม  สะบัดมือควง  ส่งกระบี่ปลิวละลิ่วลอยไปตกยังบึงน้ำจมหายไปในพริบตา

      " ที่แท้ท่านเป็นศิษย์ของเซียนกระเรียนมรกตแห่งหุบเขาง้อไบ้  นับถือ  นับถือ "  ขอทานเฒ่าตรงเข้าประสานมือคารวะ  เสนอหน้ามายืนเคียงข้างคุณชายหยวนอย่างท้าทาย

      " อ้อ !...ผู้อาวุโสท่านนี้สายตาแหลมคมนัก  อาจารย์ข้าพเจ้าบำเพ็ญตนเดียวดายมาหลายสิบปี  ไม่คิดว่ายังมีคนจดจำท่านได้  

      " ข้าพเจ้าฟงก่าน  เลื่อมใสมานาน  หากมีโอกาสคิดไปเยี่ยมเยือนท่านที่ง้อไบ้สักครา "

      " เจ้าขอทานโสโครกอย่าทำปากดี  เมื่อครู่ยังจับตัวข้ารีดไถเงิน  ตอนนี้มาเจอองครักษ์ข้าแล้วเป็นไงล่ะ  ยังไม่รีบไสหัวไปให้พ้น ! "  เด็กสาวรีบก้าวมายืนเท้าสะเอว  ข่มขู่ปาวๆอย่างหยามใจ

       ในขณะที่ชายชุดเขียวได้แต่ขมวดคิ้วขุ่น  ถามนางด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ

      " องครักษ์อย่างนั้นเหรอ ? "

      " ย่อมต้องเป็นองครักษ์ซิ  หรือเจ้าจะปล่อยให้ข้าพเจ้าเผชิญกับเหล่าสามสิบคนโฉดเพียงลำพัง ! "  นางยื่นหน้าเข้าไปกระซิบกระซาบ  ยักคิ้วหลิ่วตาเป็นสัญญาณติดๆ

      ทำเอาชายหนุ่มได้แต่เกาหัวแกรกกราก  ไม่อาจเอ่ยถ้อยคำปฏิเสธใดได้

      " นักพรตน้อยวิชาดึงดูดกระบี่ของเจ้านับว่าน่ามองไม่น้อย  ในที่นี้มีกระบี่อีกยี่สิบเล่ม  ลองดูว่าวิชาของเจ้าสามารถดึงดูดกระบี่ได้ครบถ้วนหรือไม่ ! "...คุณชายหยวนตรงเข้าไปคว้ากระบี่จากชายข้างกาย  แล้วระเบิดคำสั่งให้เหล่าพวกพ้อง  กำอาวุธโรมรันชายชุดเขียวโดยพร้อมเพรียง

      " ฮ่า ฮ่า ฮ่า…พวกพี่ชายนี่ชอบเล่นของมีคมกันเสียจริง  มิน่าเล่าแผ่นดินถึงไม่เคยว่างเว้นการนองเลือด "

      ชายชุดเขียวกล่าวหน้าระรื่น  ขณะเหนี่ยวรั้งเอวเด็กสาวไว้ในอ้อมแขน  ก่อนจะพานางเผ่นพลิ้ว  เคลื่อนหลบยี่สิบกระบี่ที่รุกไล่เข้ามา

      มันเลี่ยงหลบซ้าย  ยักย้ายร่างไปขวา  ขยับเท้าราวลอยลมไร้น้ำหนัก  แม้จะมีเด็กสาวในวงแขน  มันยังพลิ้วไหวแคล่วคล้องดั่งภูตพรายไร้ร่าง  จนกระบี่นับสิบได้แต่กรีดเฉือนอากาศ  ฟาดฟันห่างทั้งคู่โดยไม่อาจแตะระคาย

      กระบวนท่าร่างชายชุดเขียวเคลื่อนคล้อยงดงาม  ประหนึ่งเริงรำสำราญไปกับเด็กสาว  ท่ามกลางสีเงินยวงของกระบี่ที่วูบไหวรอบกาย

      คุณชายหยวนทั้งที่ตวัดกระบี่รุกไล่  ทั้งตื่นตะลึง  ทั้งชมมองจนงมงาย  ไม่คิดฝันว่าจะได้เห็นวรยุทธอันลึกล้ำถึงเพียงนี้

      " คุณชายหยวน  เกรงว่าท่านคงต้องว่าจ้างคนเพิ่มกระมั้ง  วิชาของเด็กหนุ่มผู้นี้ตึงมือพวกท่านมากนักนะ "  ขอทานเฒ่าตะโกนถาม  ทั้งที่กระชับไม้เท้าเตรียมลงมือ

      " ข้าเพิ่มให้อีกพันตำลึง  พวกเจ้ารีบลงมือโดยไว้ ! "...

      สิ้นเสียงบอกราคา  ขอทานทั้งหมดพากันโห่ร้องเข้ามา  พร้อมกวัดแกว่งไม้เท้าล้อมไว้ทุกทิศทาง

      " มันมากันใหญ่แล้วนะ  เจ้าไม่คิดจะลงมือตอบโต้บ้างเลยรึ ? "   เด็กสาวแว้ดเสียงสูง  เมื่อรู้สึกว่าตนกำลังตกอยู่กลางวงล้อมของคนโฉดชั่ว

      " อืม !.. อาจารย์ไม่ให้ข้าลงไม้ลงมือกับผู้ใด "

      " ห่ะ !...แต่พวกเรากำลังจะถูกหั่นเป็นชิ้นเนื้ออยู่แล้วนะ ! "

      " คิก คิก คิก…ไม่ย้ำแย่หรอกน้องชาย  ข้าพเจ้าถูกเรียกว่าเมฆาในสายลมมาตั้งแต่จำความได้แล้ว ไม่มีผู้ใดจับตัวข้าพเจ้าได้หรอก "

      เสียงเริงร่าทอดร่างไปกับสายลมโชยผ่าน  โลดละลิ่วหิ้วเด็กสาวผ่านยี่สิบกระบี่เก้าไม้เท้า  ทะยานกายแตะยอดหญ้าเผ่นโผนออกไปทางแนวป่ารกครึ้ม  โจนแล่นทิ้งห่างกลุ่มคนที่กำลังโวกเวกโวยวาย

      " ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ไม่มีปีกก็โบยบินได้  เห็นมั้ยเล่าน้องชาย ฮ่า ฮ่า ฮ่า …"

      เสียงหัวเราะสดใสสะท้อนก้องเข้าไปในใจนาง  ชั่วแล่นที่อยู่ในอ้อมอกชายแปลกหน้า  เด็กสาวคล้ายลอยละเมอในฝัน  หลงลืมทุกสรรพสิ่ง  เพียงรู้สึกถึงสายลมพัดผ่านใบหน้า  

      สัมผัสเพียงความอบอุ่นที่แนบกาย…