webnovel

บทที่ 2

ณ หมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทเมืองเฉียวเชียน หมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ในใจกลางหุบเขา มีทิวเขาน้อยใหญ่ล้อมรอบ บรรยากาศเย็นสบาย มีป่าไม้และสัตว์เล็กใหญ่อาศัยอยู่ภายใต้ประโยชน์แห่งความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่แห่งนี้ ยามเซิน (*ช่วงเวลาบ่ายสามโมงถึงห้าโมงเย็น) แสงอาทิตย์สาดส่องทางทิศตะวันตกฉาบท้องฟ้าจนเป็นสีทองตัดกับสีส้มดูสวยงามเพลินตา เด็กหญิงตัวน้อยวัยสิบขวบแหงนมองฝูงนกบินผ่านท้องฟ้าในเวลาที่ต้องกลับรังนอน

"เสี่ยวเยว่ ฝูงนกบินกลับรังนอนแล้ว ไยเจ้าไม่รีบกลับบ้านไปหาแม่บ้าง" ลี่จิ่นในชุดผ้าทอสีชมพูกลีบบัวช่วยขับผิวพรรณของร่างเซียนให้ดูผุดผ่องเกินกว่าหญิงชาวบ้านทั่วไปอยู่มาก ใบหน้ายังคงความงดงามสมกับเป็นอดีตเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ นัยน์ตาหวานรับกับรอยยิ้มบนริมฝีปากบางยิ่งทำให้ลี่จิ่นเป็นสาวชาวบ้านที่สวยงามราวกับภาพวาดเทพธิดา

"ท่านแม่" เยว่ซิน เด็กหญิงตัวน้อยร้องเรียกลี่จิ่นด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วรีบลุกกระโดดลงจากหินก้อนใหญ่ที่นั่งอยู่ไปโผกอดลี่จิ่นแน่น

"อ้อนแม่เช่นนี้ เจ้าหิวแล้วใช่หรือไม่" ปลายนิ้วชี้เรียวยาวจิ้มเข้าที่ปลายจมูกเล็กๆ อย่างรู้ทัน

"ข้าหิวมากเลยท่านแม่ ข้าอยากกินปลา" เยว่ซินเอามือน้อยๆ ลูบท้องเป็นท่าทางประกอบ

"ถ้าแม่ให้เจ้ากินปลา เจ้าจะตอบแทนแม่เรื่องหนึ่งได้หรือไม่"

"ท่านแม่มีอะไรให้ข้าช่วยหรือเจ้าคะ"

"พรุ่งนี้แม่กับชาวบ้านจะขึ้นไปปลูกต้นท้อป่าบนภูเขา เจ้าต้องสัญญากับแม่ว่าต้องอยู่ในบ้านห้ามออกมาวิ่งเล่นข้างนอกเด็ดขาด"

"อีกแล้วเหรอท่านแม่" เยว่ซินหน้างอเมื่อได้ยินคำขอที่คุ้นชิน เพราะตลอดสิบปีที่ผ่านมา หากลี่จิ่นมีธุระต้องออกไปข้างนอกหมู่บ้าน เด็กน้อยจะถูกสั่งให้อยู่แต่ภายในบ้านตลอดทั้งวัน ห้ามออกมาวิ่งเล่นข้างนอกจนกว่าลี่จิ่นจะกลับมา

"แม่เตรียมต้มปลา ขนมดอกกุ้ยฮวาและพุทราเชื่อมน้ำตาลไว้ให้เจ้าด้วยนะ" ลี่จิ่นหลอกล่อลูกสาวตัวน้อยด้วยของโปรด เยว่ซินเลยหายหน้างอและพยักหน้ารับปากลี่จิ่นว่าจะเชื่อฟังคำสั่งแต่โดยดี

เช้าวันต่อมาแสงอาทิตย์บอกเวลายามเฉิน (*ช่วงเวลาเจ็ดโมงถึงเก้าโมงเช้า) เยว่ซินค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น นางหันซ้ายขวาไม่เจอลี่จิ่นแล้ว นางจึงรู้ว่าท่านแม่คงออกไปกับชาวบ้านตามนัดหมาย และนางต้องอยู่แต่ภายในบ้านตามสัญญาของเด็กดี

เยว่ซินลุกจากเตียงนอนแล้วพับผ้าห่มเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปล้างหน้าและแต่งตัวใหม่อย่างง่ายๆ ก่อนจะเดินมายังโต๊ะอาหารที่มีถ้วยต้มปลา กับจานขนมดอกกุ้ยฮวาและพุทราเคลือบน้ำตาลที่ลี่จิ่นรับปากว่าจะเตรียมไว้ให้กินจนอิ่มได้ตลอดทั้งวัน

ตุ้บ!

ยังไม่ทันที่เด็กน้อยจะได้กินอะไร ก็มีเสียงวัตถุบางอย่างตกลงมาอย่างแรงที่บริเวณหน้าเรือนไม้ไผ่ ทว่าจะออกไปดูก็ไม่กล้า เพราะสัญญากับท่านแม่ไว้แล้วว่าจะไม่ออกไปไหนและไม่เปิดประตูอย่างเด็ดขาด

เยว่ซินคิดดังนั้นจึงทำได้แค่แอบส่องดูตามช่องระหว่างไม้ไผ่สานเท่านั้น สายตาของเด็กหญิงมองลอดผ่านรูเล็กๆ เห็นลูกสุนัขสีขาวตัวหนึ่งนอนตัวงอคล้ายบาดเจ็บหลังตกลงมาจากที่สูง สีหน้าลูกสุนัขตัวน้อยดูเจ็บปวดน่าสงสาร เยว่ซินเห็นดังนั้นก็ตัดสินใจทันทีว่าจะออกไปช่วยเหลือลูกสุนัขตัวนั้นก่อน ส่วนเรื่องสัญญาที่ให้ไว้กับท่านแม่ค่อยอธิบายในภายหลังคงไม่เป็นไรกระมัง

"เจ้าหมาน้อย เจ้าตกลงมาจากที่ใด เจ็บตรงไหนบ้าง เจ้าเก่งมากนะที่ไม่ร้องสักแอะ แต่สีหน้าเจ็บปวดเช่นนี้ เจ้าบาดเจ็บแล้วใช่หรือไม่" เด็กน้อยเยว่ซินอุ้มลูกสุนัขสีขาวตัวน้อยเข้ามาในบ้าน แล้วค่อยๆ วางลงบนเตียงนอน มือน้อยๆ ค่อยๆ จับตัวลูกสุนัขพลิกดูอย่างแผ่วเบา เจ้าลูกสุนัขเองก็ว่าง่าย พลิกตัวตามมือน้อยนั้นอย่างน่ารักน่าเอ็นดู

"เจ้าไม่มีแผลนี่นา" สิ้นเสียงเล็กๆ เจ้าลูกสุนัขก็ร้องออกมาเหมือนมือน้อยๆ นั้นจับโดยจุดที่เจ็บอย่างไม่ได้ตั้งใจ

"อ๊ะ! เจ้าเจ็บตรงนี้นี่เอง" เจ้าลูกสุนัขคล้ายจะเข้าใจคำถามรีบยกขาหน้างอขึ้นเล็กน้อยทันที

"เจ้าตกลงมาขาหน้ากระแทกใช่หรือไม่ เดี๋ยวข้าพันขาเอาไว้ เจ้ารอข้าตรงนี้นิ่งๆ นะ" เจ้าลูกสุนัขมองตอบเยว่ซินตาแป๋วพลางกระดิกหาง

เยว่ซินเดินไปที่ตู้เก็บของของลี่จิ่น นางจำได้ว่ามีลี่จิ่นมักจะเก็บเศษผ้าที่ใช้ตัดชุดเอาไว้ในตู้ เด็กน้อยก้มหาอยู่ครู่เดียวก็ได้เศษผ้ายาวพอที่จะใช้พันขาเป็นเฝือกอ่อนให้ลูกสุนัขได้ เยว่ซินค่อยๆ พันขาหน้าของเจ้าลูกสุนัขอย่างเบามือ ผ้ายาวถูกพันจนขาหน้าเล็กๆ กลายเป็นก้อนผ้าอ้วนๆ ดูแปลกพิลึก เจ้าลูกสุนัขทำหน้าอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็ทิ้งตัวพิงเด็กน้อยอย่างออดอ้อนเพื่อขอบคุณ

"เอาล่ะ เจ้านอนพักเถอะ เดี๋ยวข้าไปตักน้ำแกงมาให้เจ้ากินนะ" เยว่ซินเดินไปตักน้ำแกงต้มปลาของตัวเองใส่ชามเล็กๆ แบ่งมาให้เจ้าลูกสุนัขที่นอนพักบนเตียงกิน เจ้าลูกสุนัขดมฟุดฟิดอยู่สองสามทีก็ตวัดลิ้นเลียน้ำแกงจนหมดชาม

"อิ่มแล้วก็นอนพักนะ ตอนเย็นถ้าท่านแม่ข้ากลับมา ข้าต้องพาเจ้าไปซ่อน เจ้าอยู่ที่นี่กับข้าไม่ได้ ท่านแม่ต้องตีข้าแน่" เด็กน้อยบ่นก่อนจะลุกไปกินต้มปลา แล้วปล่อยให้เจ้าลูกสุนัขนอนพักบนเตียงไปสักตื่นหนึ่ง

เวลาผ่านมายามเว่ย (*ช่วงเวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสามโมง) ไม่รู้ว่าเยว่ซินคล้อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แขนเล็กๆ นอนโอบกอดเจ้าลูกสุนัขไว้แล้วหลับสนิทไปข้างกัน เจ้าลูกสุนัขค่อยๆ ขยับตัวออกมาจากอ้อมกอดอย่างแผ่วเบา ก่อนแสงสีทองประกายระยับเพียงพริบตาจะปรากฎแล้วลูกสุนัขสีขาวก็กลายร่างเป็นเซียนอี้ตี้จวิน

แขนขวาของเซียนอี้มีเศษผ้ายาวผูกไว้เป็นก้อนกลมแน่นหนาจนข้อมือรู้สึกชาเพราะเลือดไม่ไหลเวียนมาหลายชั่วยามแล้ว เขาค่อยๆ แกะเศษผ้าออกพลางยิ้มขำกับความน่ารักไร้เดียงสาของเยว่ซิน เมื่อแกะเศษผ้าออกหมดแล้ว เซียนอี้ก็อุ้มเด็กหญิงตัวน้อยให้นอนบนหมอนในท่าสบายแล้วห่มผ้าให้เรียบร้อย เขาลอบมองใบหน้าเล็กของเด็กหญิง ขนตางอนยาว แก้มกลมระบายสีชมพูระเรื่อและริมฝีปากเล็กๆ นั้นช่างน่าเอ็นดู

เซียนอี้ไม่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาร่ายคาถามือสองสามท่าแล้วชี้ที่หน้าผากของเยว่ซิน ตราประทับเทพลายกลีบดอกท้อป่าปรากฎขึ้นเหนือเขนยเด่นชัด เซียนอี้มั่นใจแล้วว่าร่างจริงของเยว่ซินคือเทพธิดาน้อยแห่งแดนสวรรค์ที่เทียนจวินมีรับสั่งให้ออกตามหานั่นเอง

ทว่าตอนนี้พลังเซียนของเยว่ซินถูกผนึกด้วยคาถาของลี่จิ่น ซึ่งเป็นคาถาต้องห้ามของแดนสวรรค์ ผู้ใดเป็นผู้ร่ายคาถาต้องให้ผู้นั้นเป็นผู้ปลดผนึกคาถาเช่นกัน ดังนั้นการพาร่างเด็กน้อยที่ไร้พลังเซียนกลับสวรรค์ไป ก็คงไม่มีผู้ใดช่วยปลดผนึกให้นางได้ ย่อมไม่ต่างอะไรกับการเป็นแค่เด็กมนุษย์ธรรมดาที่พลัดหลงอยู่ในแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า และหากเป็นเช่นนั้นเยว่ซินจะเติบโตต่อไปได้เช่นไร จะเป็นเทพธิดาสวรรค์ก็ไม่ใช่ จะเป็นมนุษย์ก็ไม่เชิง คิดได้ดังนั้นเซียนอี้จึงปล่อยให้นางนอนหลับ แล้วเขาก็จากไปอย่างเงียบๆ ด้วยแสงพริบตา

ณ ตำหนักไท่เซียน หวังจิ้น ซือมิ่ง และหลี่จวินมานั่งเล่นหมากล้อมระหว่างรอเซียนอี้กลับมาจากโลกมนุษย์ แสงสีทองประกายระยิบระยับปรากฎอยู่เบื้องหน้าจตุรเทพทั้งสาม ซือมิ่งเห็นอย่างนั้นก็ดีใจที่เซียนอี้กลับมาเสียที

"เซียนอี้ เป็นอย่างไรบ้าง เจ้าเจอนางหรือไม่" ซือมิ่งถามอย่างตื่นเต้น เพราะถ้าหากเจอเทพธิดาน้อยแล้ว เขาจะได้เขียนลิขิตชะตาต่อไปได้เสียที และเมื่อนั้นภารกิจของเขาก็จะเสร็จสิ้น รักษาตำแหน่งซือมิ่งไว้ได้อย่างปลอดภัย

"เจอ นางชื่อเยว่ซิน เป็นเทพธิดาดอกท้อป่า ตอนนี้อายุสิบปีตามอายุขัยของมนุษย์"

"เช่นนั้นท่านไม่พานางกลับมาแดนสวรรค์ด้วยเล่า ตอนนี้นางอยู่ที่ใด แล้วเจอลี่จิ่นหรือไม่" เทพสงครามละสายตาจากกระดานหมากแล้วรอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ

"ลี่จิ่นไม่อยู่ จึงเป็นโอกาสให้ข้าได้เจอเยว่ซิน แต่ข้าพานางกลับมาด้วยไม่ได้ เพราะลี่จิ่นผนึกจิตเทพของนางไว้จริงๆ หากข้าพานางกลับมา จะต่างอะไรกับเด็กมนุษย์ธรรมดาที่พลัดหลงอยู่ในแดนสวรรค์ท่ามกลางเหล่าเทพกันเล่า"

"เจ้าหมายความว่าต้องให้ลี่จิ่นปลดผนึกให้เยว่ซินเองใช่หรือไม่" เซียนอี้พยักหน้าแทนคำตอบ หวังจิ้นถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อรู้เช่นนั้น เพราะเงื่อนไขนี้คงเป็นไปได้ยากแล้วจริงๆ

"จบกันแล้ว จบกันแล้ว" ซือมิ่งร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง ภาระหน้าที่ของซือมิ่งคือการลิขิตชะตาสรรพชีวิตทั่วสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทร หากขาดลิขิตชะตาของใครสักคนไป นั่นย่อมหมายถึงเขาบกพร่องต่อหน้าที่เทพลิขิตชะตาอย่างร้ายแรง

"วางใจเถอะซือมิ่ง ข้าต้องช่วยแก้ปัญหาให้สำเร็จอย่างแน่นอน" เซียนอี้ให้คำมั่นสัญญา หวังจิ้นกับหลี่จวินก็ตบบ่าซือมิ่งเบาๆ เป็นกำลังใจ และยืนยันแน่นหนักว่าจะไม่ทิ้งให้ซือมิ่งต้องแบกรับปัญหานี้เพียงลำพัง

"เสี่ยวเยว่ แม่กลับมาแล้ว" เสียงร้องบอกของลี่จิ่นมาพร้อมกับเสียงเปิดประตูเรือนไม้ไผ่ ปลุกให้เยว่ซินรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

"เจ้าหมาน้อย!" เยว่ซินลืมตาขึ้นมาไม่เจอเจ้าลูกสุนัขก็ลืมตัวร้องเรียกอย่างตกใจ

"เยว่ซิน เจ้าเรียกแม่ว่าอย่างไรนะ" ลี่จิ่นได้ยินลูกสาวตัวน้อยร้องเรียกสุนัขอย่างชัดเจน

"เอ่อ ท่านแม่ ข้าฝันไปเจ้าค่ะ" เด็กหญิงตัวน้อยยกมือลูบหัวป้อยๆ อย่างแก้เก้อ ลี่จิ่นเห็นว่าเยว่ซินเพิ่งตื่นนอนจริงๆ เลยไม่ได้สงสัยอะไรอีก

"เช่นนั้นก็ลุกไปล้างหน้าล้างตาเถิด แม่จะไปทำข้าวเย็นให้เจ้ากิน" ลี่จิ่นวางตะกร้าผักผลไม้ที่เก็บกลับมาจากในป่าไว้ข้างโต๊ะอาหาร พลางเหลือบไปเห็นชามน้ำแกงถูกใช้ไปสองชามจึงแปลกใจ

"เสี่ยวเยว่ ทำไมถึงมีชามน้ำแกงสองชามได้เล่า"

"เพราะข้าตักแบ่งน้ำแกงกินสองมื้อเจ้าค่ะ" เยว่ซินพยายามทำตัวนิ่งที่สุดเพื่อกลบพิรุธ เหตุผลฟังดูดีใช้ได้ ลี่จิ่นจึงปล่อยผ่านไปอีกครั้ง และเก็บถ้วยชามไปล้างตามปกติ

"ท่านแม่ ข้าช่วย" เยว่ซินวิ่งมารับถ้วยชามจากมือมารดา แล้วนำไปล้างทำความสะอาดที่ริมธารใสเล็กๆ ไม่ไกลจากเรือนเรือนไม้ไผ่มากนัก

สองมือน้อยๆ ถูถ้วยชามจนสะอาดเกลี้ยงเกลา ทว่าสายตากับไม่ได้มองถ้วยชามในมือแต่อย่างใด เด็กหญิงกำลังมองไปรอบๆ เพื่อมองหาเจ้าลูกสุนัขที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยตัวนั้นต่างหาก

"เจ้าหมาน้อยหายไปไหนแล้วล่ะ ขอให้เจ้าปลอดภัย อย่าโดนสัตว์อื่นทำร้ายเอาได้นะ" เด็กหญิงพึมพำกับตัวเองเสียงแผ่วเบา นางรู้สึกเศร้าอยู่บ้างที่เจ้าสี่ขาหายไปโดยไม่ได้ร่ำลา แต่ก็โล่งใจที่มารดาของนางไม่ได้กลับเจอมัน เด็กน้อยเก็บถ้วยชามซ้อนกันแล้วค่อยๆ เดินกลับบ้าน โดยมิวายจะหันมามองไปรอบๆ อีกครั้ง และเมื่อแน่ใจแล้วว่าเจ้าลูกสุนัขไม่ได้อยู่แถวนี้อีกแล้ว นางจึงเดินเข้าบ้านปิดประตูไป

ภายนอกเรือนไม้ไผ่ไม่ไกลนัก ร่างเซียนถูกปกปิดด้วยคาถาไร้เงาจากเจ้าของอาภรณ์ขาวเกศาเงิน เขายืนเฝ้ามองสองแม่ลูกอยู่นิ่งๆ และได้ยินทุกประโยคที่ลี่จิ่นคุยกับเยว่ซิน นางดูเป็นเด็กฉลาดมีไหวพริบอยู่มากทีเดียวที่สามารถคลายสงสัยของลี่จิ่นได้อย่างแนบเนียน เซียนอี้ยิ้มบางอย่างนึกขัน หากเยว่ซินไม่ถูกผนึกจิตเทพไว้ เด็กหญิงตัวน้อยที่แสนฉลาดคนนี้คงจะเป็นเทพธิดาสวรรค์ที่โดดเด่นในแดนเทพมากเป็นแน่