webnovel

บทที่ 3

ณ ตำหนักอักษรสวรรค์ หวังจิ้นกำลังนั่งตวัดพู่กันคัดลอกตำราอยู่อย่างเงียบๆ จนกระทั่งหยู่ถง นกหงส์อัคคีในร่างเซียนรับใช้คู่กายหวังจิ้นเดินเข้ามาแจ้งชื่อผู้มาเยือน

"นายท่าน เซียนอี้ตี้จวินมาขอพบนายท่าน"

"อืม" หวังจิ้นพยักหน้าเล็กน้อย เขาวางพู่กันลงแล้วลุกไปนั่งรอสหายรักคนสนิทที่โต๊ะน้ำชา

"หยู่ถงบอกข้าว่าเจ้ายุ่งอยู่ ข้ามารบกวนหรือไม่"

"โธ่เอ๊ย เจ้าจะเกรงใจอะไรข้ากันเล่า เจ้าเป็นสหายรักของข้า จะมาหาข้าเมื่อใดก็ย่อมได้ มาๆ ดื่มชาๆ" หวังจิ้นรินน้ำชาอย่างคล่องแคล่ว รอยยิ้มอารมณ์ดีไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้างดงามคมคายของเขา แม้งานจะยุ่ง ต้องหมกตัวอยู่กับกองม้วนตำรามากมาย แต่หวังจิ้นก็ยังคงมีอารมณ์ขบขันสร้างบรรยากาศที่ดีให้กับคนรอบข้างอยู่เสมอ

"ข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้าหนึ่งข้อ"

"เจ้าพูดมา ถ้าข้าทำได้ ข้าทำให้เจ้าแน่นอน"

"ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยวาดรูปสุนัขให้ข้าสักภาพได้หรือไม่" หวังจิ้นทำหน้าอย่างบอกไม่ถูกทันทีเมื่อได้ยินคำร้องขอนั้นจากเซียนอี้ จริงอยู่ที่ความสามารถในการใช้พู่กันทั้งแดนสวรรค์มีเขาเท่านั้นที่ปราดเปรื่องที่สุด เพียงแต่มีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจว่าตี้จวินผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์จะต้องการรูปสุนัขไปทำอะไรกัน

"นี่เจ้าอารมณ์ไหนเนี่ย"

"เอาเป็นว่าเจ้าวาดให้ข้าได้หรือไม่"

"วาดได้ ข้าวาดได้ เพียงแต่คำขอของเจ้ามันฟังดูพิลึกไปหน่อย"

"เจ้าวาดให้ข้าก็พอแล้ว ขอบใจเจ้ามาก ข้าขอตัวก่อน"

"นี่เจ้ามาหาข้าเพียงแค่เรื่องนี้งั้นหรือ"

"ถ้าเรื่องนี้เล็กน้อยเกินไป เช่นนั้นเจ้าวาดให้ข้าเพิ่มเป็นสุนัขสิบตัวเลยดีหรือไม่" ประโยคยียวนของเซียนอี้ทำหวังจิ้นถึงกับหน้าเสียรีบส่ายหน้ายกมือปัดขอปฏิเสธรวดเร็วทันควัน

"เอาเถอะๆ เจ้ารีบไปเถอะ หากข้าวาดเสร็จแล้ว ข้าจะให้หยู่ถงนำไปให้เจ้า"

"ขอบใจ" เซียนอี้กล่าวสั้นๆ แล้วเดินออกไปพร้อมรอยยิ้มบาง หยู่ถงที่เดินสวนเข้ามาเห็นว่าเซียนอี้กำลังจะกลับ จึงจะเดินออกไปส่ง แต่เซียนอี้ยกมือห้ามไว้ หยู่ถงจึงเพียงคำนับบอกลา

"ท่านเซียนอี้กลับแล้วหรือขอรับ"

"เจ้ามาก็ดี ช่วยข้าฝนน้ำหมึกและเตรียมกระดาษแผ่นใหม่ให้ข้าที ข้าจะวาดรูป"

"ได้ขอรับ" หยู่ถงรับคำสั่งแล้วก็ปฏิบัติตามอย่างคล่องแคล่ว

หยู่ถง แท้จริงแล้วเป็นนกหงส์อัคคีจากป่ายงโจว ที่ตั้งชายแดนริมแม่น้ำใกล้เขตเผ่ามารฮุยอิน เมื่อสองแสนปีก่อนหลังสงครามเผ่ามารฮุยอินครั้งที่หนึ่งสงบลง จตุรเทพทั้งสี่ได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบความเรียบร้อยภายหลังสงครามและร่วมกันชำระไอมารที่ตกค้างทั้งชายแดน ทั้งยังจัดการช่วยเหลือสัตว์เล็กใหญ่ที่บาดเจ็บในป่ายงโจวที่ได้รับผลกระทบจากสงครามครานั้น ไฟสงครามแผดเผาที่อยู่อาศัยเหล่าสัตว์ป่าจนป่ายงโจวเสียหายไปกว่าครึ่ง รวมไปถึงรังของนกหงส์อัคคีของหยู่ถงก็เสียหายจนสิ้นซาก

หยู่ถงในตอนนั้นเป็นเพียงลูกนกหงส์ขนสีชาด นอนหายใจรวยรินท่ามกลางควันไฟและไอมารแทบจะสิ้นลม หวังจิ้นเห็นดังนั้นจึงรีบเข้าช่วยเหลือและรักษาลูกนกหงส์ให้บรรเทาอาการบาดเจ็บ ทว่าอาการของหยู่ถงนั้นร้ายแรงยากจะรักษา หวังจิ้นจึงนำพาเขามารักษาต่อที่แดนสวรรค์ หยู่ถงได้รับการเอาใจใส่ดูแลจากหวังจิ้นเป็นอย่างดีจนอาการบาดเจ็บหายดี และเติบโตเป็นนกหงส์อัคคีหนุ่มที่สง่างาม

หลังจากนั้นเทียนจวินคิดจะหาของขวัญมอบให้ในวันเกิดหวังจิ้น เทียนจวินเห็นว่าหวังจิ้นรักและเอ็นดูนกหงส์อัคคีนี้มาก จึงร่ายคาถาเสกร่างเซียนให้หยู่ถง และให้หยู่ถงเป็นเซียนรับใช้ข้างกายหวังจิ้นเป็นของขวัญ หยู่ถงดีใจที่ได้กลายร่างเป็นเซียนและยินดีที่จะอยู่รับใช้หวังจิ้นตลอดชีวิตเพื่อทดแทนบุญคุณ นับแต่นั้นมาล่วงสองแสนปีแล้ว หยู่ถงก็ถือเป็นเซียนคนหนึ่งบนแดนสวรรค์เรื่อยมา

จนกระทั่งสงครามเผ่ามารฮุยอินครั้งที่สองเกิดขึ้น หยู่ถงขอร้องหวังจิ้นไปร่วมออกรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพสงครามหลี่จวินจนได้รับชัยชนะกลับมาอีกครา ซึ่งครั้งนี้เซียนอี้ตี้จวิน ซือมิ่งและหวังจิ้นไม่ต้องออกโรงเองเหมือนครั้งแรก เพียงแค่รอเป็นกองทัพเสริมอยู่เบื้องหลัง เพราะหลี่จวินเติบโตอย่างแข็งแกร่งขึ้นกว่าสองแสนปีก่อนมาก ในฐานะเทพสงครามผู้ยิ่งใหญ่แห่งแดนสวรรค์ที่อายุยังน้อย แค่มีหลี่จวินเป็นแม่ทัพสวรรค์เพียงคนเดียวก็สามารถคว้าชัยชนะกลับมายังแดนสวรรค์ได้ ส่วนหยู่ถงถือว่าสงครามครั้งนี้เขาได้แก้แค้นเผ่ามารที่ทำลายบ้านเกิดเมื่อสองแสนปีก่อนจนไม่คิดติดค้างอะไรในใจแล้ว

ภายในตำหนักไท่เซียน เซียนอี้จุดกำยานหอมกลิ่นดอกท้อป่าที่โต๊ะทำงาน เขาคลี่ม้วนอักษรออกแล้วหยิบยกพู่กันเตรียมจะเขียน อักษรที่ปรากฎอยู่ในม้วนผ้าไหมทองเป็นกลบทอักษรจีนที่ดูเผินๆ คล้ายจะอ่านง่าย แต่เมื่ออ่านแล้วก็มิอาจจะเข้าใจได้ในทันที ต้องอาศัยทักษะการโยงเส้นเสียงประสมคำที่ชำนาญพอตัว บทกวีอักษรจีนในรูปของกลบทนี้เป็นสิ่งที่เขาชอบเล่นยิ่งนัก ครั้งก่อนเขาส่งโจทย์ให้กับเทียนจวิน ครั้งนี้เป็นเทียนจวินที่ส่งกลบทกลนี้มาให้เขาได้แก้บ้าง นับว่าเป็นความบันเทิงอย่างหนึ่ง และเมื่อกลบทถูกแก้ได้ ความหมายที่แท้จริงของกลบทก็มักจะเกี่ยวข้องกับงานการปกครองแดนสวรรค์เก้าชั้นฟ้าแปดทิศสี่สมุทรนั่นเอง ยิ่งเรื่องใดที่สำคัญ กลบทก็จะแก้ยากมากขึ้นตามไปเท่านั้น

'ดาวเก้าแฉกปรากฎ ณ ทิศใด ที่สุดแล้ว ก็ไม่มีวันหลบแสงหลีกหนีข้าได้'

กลบทของเทียนจวินถูกแก้ได้ง่ายเพียงพริบตาเดียว แปลว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นความลับเท่าใดนัก แต่ในข้อความที่ปรากฎกลับเป็นเรื่องของเยว่ซิน จึงทำให้เซียนอี้อดขมวดคิ้วไม่ได้ ความหมายของเทียนจวินในกลบทปรากฏเช่นนี้ หรือจะหมายความว่าเทียนจวินจะรู้แล้วว่าเยว่ซินอยู่ ณ ที่ใด

ยิ่งคิดได้ดังนั้นภายในใจก็เกิดเป็นกังวล ด้วยนิสัยที่รวบรัดหมดจดของเทียนจวิน หากเทียนจวินรู้แล้วว่าเยว่ซินอยู่ที่ใด เป็นไปได้ว่าเทียนจวินอาจจะกำลังหาทางนำพาตัวนางกลับมายังแดนสวรรค์ และหากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้ใดกันเล่าจะแก้ผนึกจิตเทพให้นางได้ นางมิต้องกลายเป็นเด็กหญิงแปลกประหลาดท่ามกลางเทพหรอกหรือ

'ดวงตะวันสาดแสงส่องทั่วหล้า ทิศทางใด หาได้มีผู้ใดหลบใต้เงาราตรี'

เซียนอี้ไม่แน่ใจว่าเทียนจวินจะรู้แจ้งแล้วจริงหรือไม่ จึงเขียนกลบทเป็นโจทย์ใหม่ส่งกลับไปเพื่อหยั่งเชิง หากแก้กลบทนี้ได้แล้วเทียนจวินแทนตัวเองเป็นดวงตะวันตอบกลับมา ถึงเวลานั้นจริงเขาคงต้องอาศัยตำแหน่งจตุรเทพตี้จวินออกโรงสักคราอีกแล้วกระมัง

"คารวะเซียนอี้ตี้จวิน" หยู่ถงที่มาจากตำหนักอักษรสวรรค์กล่าวคำนับเซียนอี้ทำลายความเงียบลง

"เจ้ามาส่งภาพวาดให้ข้าใช่หรือไม่"

"ใช่ขอรับ ท่านหวังจิ้นวาดเสร็จก็รีบให้ข้านำมามอบให้ท่านทันที" หยู่ถงยื่นม้วนภาพวาดส่งให้เซียนอี้อย่างนอบน้อม เซียนอี้รับมาแล้วคลี่ม้วนภาพเพื่อตรวจดูทันที

"หวังจิ้นวาดสวยถูกใจข้ามาก ฝากคำขอบคุณจากข้าไปบอกนายท่านของเจ้าด้วย"

"ขอรับ หยู่ถงขอตัว" หยู่ถงรับคำสั่งแล้วหันหลังเดินกลับออกไป

เซียนอี้สะบัดมือเล็กน้อยม้วนอักษรกลบทก็พาหายไปจากโต๊ะทำงานและไปปรากฎอีกที่คือภายในห้องทำงานของตำหนักเทียนจวิน ส่วนม้วนภาพวาดสุนัขที่เพิ่งได้รับมาจากหวังจิ้น เซียนอี้ร่ายคาถามือสองสามกระบวนท่าจนเกิดแสงระยิบระยับสีทองแล้วภาพวาดสุนัขนั้นก็จางหายไปจากม้วนภาพ เหลือเป็นเพียงม้วนกระดาษเปล่าราวกับไม่เคยถูกน้ำหมึกจรดลงมาก่อน

แสงระยิบระยับนำพาสุนัขน้ำหมึกลงมายังหน้าเรือนไม้ไผ่ที่โลกมนุษย์ก่อนจะค่อยๆ ปรากฎเป็นร่างของสุนัขสีขาวคล้ายกับร่างของเซียนอี้ที่เคยแปลงร่างเซียนมาเมื่อครั้งก่อน เพียงแค่ตัวโตกว่า เป็นสุนัขโตเต็มวัย ขนฟูนุ่มหนาสีขาวราวปุยหิมะในเหมันตฤดู

มาคราวนี้เยว่ซินเติบโตเป็นสาวแรกรุ่น ร่างของนางสูงโปร่งดูระหงส์เต็มวัย ใบหน้างดงามหมดจดยังคงเคล้าเดิมเมื่อวัยเยาว์ หากแต่แก้มกลมสีชมพูระเรื่อนั้นดูเรียวตอบขึ้นมาหน่อย ดวงตากลมโตขนตางอนยาว จมูกโด่งรั้นรับกับริมฝีปากเข้ารูป เยว่ซินงดงามราวกับเทพธิดาสวรรค์เหมือนกับแม่ของนางไม่มีผิดเพี้ยน เช่นคำกล่าวที่ว่าเป็นลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นคงไม่เกินจริง

เยว่ซินกำลังตากผ้าที่เพิ่งซักเสร็จ นางหันกลับมาก็ตกใจปนดีใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นสุนัขที่หน้าตาคุ้นเคยปรากฎอยู่ตรงหน้า มันนั่งมองนางและกระดิกหางอย่างรู้ความ เยว่ซินเห็นดังนั้นก็คลี่รอยยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้าลูกหมาของนางทันที

"เจ้าหมาน้อย เจ้ากลับมาได้เช่นไร ข้านึกว่าเจ้าจากข้าไปไกลแล้วเสียอีก" เยว่ซินอุ้มสุนัขขึ้นมาในท่ายกแขน ก่อนจะหอมฟัดอย่างคิดถึงจนเจ้าสุนัขเริ่มจะทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียว

เซียนอี้เห็นภาพเยว่ซินกำลังหอมเจ้าสุนัขอย่างน่าเอ็นดูผ่านดวงตาของเจ้าสุนัขที่ปรากฎฉายเป็นภาพในม้วนกระดาษเปล่าของหวังจิ้น และเพราะเพียงหนึ่งวันบนแดนสวรรค์จะเท่ากับหนึ่งปีในโลกมนุษย์ จึงไม่แปลกที่เยว่ซินจะโตเป็นสาวน้อยอายุครบยี่สิบปี ในเวลาที่แดนสวรรค์เพิ่งผ่านมาได้เพียงราวๆ สิบวัน เซียนอี้ตั้งใจจะให้สุนัขน้ำหมึกลงไปอยู่เป็นเพื่อนเยว่ซิน และคอยสอดแนมอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยดูแลนาง ลึกๆ แล้วเซียนอี้ก็ไม่เข้าใจว่าอะไรดลใจให้เขาอยากคอยดูแลนางขนาดนี้ แต่ก็ไม่ได้สนใจจะหาคำตอบที่แน่ชัดนัก ในตอนนี้เขาเห็นอีกฝ่ายเติบโตมาอย่างดีก็รู้สึกพอใจมากแล้ว

ทางด้านตำหนักซือมิ่งที่ผ่านมาเกือบยี่สิบวันแล้ว แสงของดาวเก้าแฉกในดาราจักรลิขิตชะตาก็ดูคล้ายจะกำลังจางหายไปเรื่อยๆ ซือมิ่งแทบจะหมดหวังตามแสงที่ใกล้สิ้นของดาวเก้าแฉกลงไปทุกวัน แต่แล้วอยู่ๆ ซือมิ่งที่กำลังจะหมดหวังก็ต้องสะดุ้งตกใจเมื่อภาพดาราจักรลิขิตชะตาที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างหนึ่ง

มีดาวเทพสีทองเคลื่อนตัวผ่านดาราจักรแล้วส่องแสงให้ดาวเก้าแฉกที่ใกล้จะหมดแสงกลับมาสว่างขึ้นได้อีกครั้ง เส้นตำแหน่งของดาวเก้าแฉกในดาราจักรลิขิตชะตาที่ไม่มีในตอนแรก เริ่มปรากฎเส้นสีขาวขึ้นพร้อมๆ กับแสงสีทองที่ส่องประกายจนในที่สุดดาวทั้งสองก็เคลื่อนตัวมาชิดกันและส่องสว่างเฉิดฉายจนเป็นภาพดาราจักรที่งดงามจับตาอย่างอัศจรรย์

ภาพดาราจักรของดาวเก้าแฉกเริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เหมือนได้รับพลังจากดาวสีทองอย่างเต็มกำลัง ซือมิ่งเปลี่ยนสีหน้าเป็นกังวล เมื่อเริ่มแน่ใจขึ้นมาแล้วว่า ดาวสีทองดวงนั้นคือจิตเทพของไท่เซียนอี้ตี้จวินไม่ผิดแน่

'เซียนอี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจ้ากับเยว่ซินกันแน่'

ซือมิ่งเกิดคำถามที่ยากจะหาคำตอบขึ้นในใจ เขารีบร่ายคาถามือสองสามกระบวนท่าเพื่อเปิดสมุดลิขิตชะตาของเซียนอี้ แล้วรีบตรวจดูดวงชะตาที่กำลังจะมาถึง

แล้วซือมิ่งก็ต้องตกใจอีกครั้งเมื่อชะตาลิขิตของเซียนอี้คือด่านเคราะห์รัก ว่ากันว่าการเป็นเทพชั้นสูง เมื่อผ่านด่านแปดเคราะห์จบที่การรับอัสนีบาตรหนึ่งพันหนึ่งร้อยแปดสิบสี่สายแล้ว หากรอดชีวิตจะได้เลื่อนขั้นเป็นเทพชั้นสูง ซึ่งทั้งหมดนั้นจตุรเทพเช่นพวกเขาก็ผ่านมาได้แล้ว

แต่กฎของสวรรค์บรรพกาลก็ไม่ได้รับมือง่ายดายเช่นนั้น เพราะด่านเคราะห์ที่เก้าด่านสุดท้ายมีชื่อเรียกกันว่า ด่านเคราะห์รัก จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อพลังเซียนของผู้นั้นใกล้เต็มขีดจำกัด ร่างเซียนจะกลายเป็นอมตะ แต่ก่อนที่หัวใจจะเป็นอมตะได้นั้น ต้องถูกเคราะห์รักมาท้าทายเสียก่อน หากผ่านด่านเคราะห์รักนี้ได้ เทพสวรรค์ผู้นั้นก็มิต้องกลัวเกรงอันตรายใดอีก เพราะทั้งหัวใจและร่างเซียนเป็นอมตะโดยสมบูรณ์แล้ว เพียงแต่เคราะห์รักนี้หากผ่านไปได้ง่ายๆ เช่นนั้น ป่านนี้ทั่วทั้งแดนสวรรค์ก็คงจะมีแต่เทพที่เป็นอมตะจนเต็มเก้าชั้นฟ้าแล้วกระมัง

ซือมิ่งยังคงนั่งตรวจดวงชะตาของเซียนอี้แม้เวลาจะล่วงเลยมาแล้วครึ่งค่อนวัน กฎของเทพลิขิตชะตาคือห้ามบอกชะตาให้แก่เจ้าชะตาได้ล่วงรู้ความเป็นไปล่วงหน้า เพราะไม่ว่าอย่างไรทุกสรรพชีวิตก็ต้องเผชิญกับชะตาชีวิตของตนเอง

แต่ด้วยความสามารถของซือมิ่งผู้เป็นหนึ่งในจตุรเทพ หลังจากที่นั่งคำนวณดาราจักรลิขิตชะตามาทั้งวันแล้ว เขาก็คิดแผนการขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง ในเมื่อไม่สามารถแก้ไขชะตาได้ แต่ก็มิได้มีกฎสวรรค์ข้อใดห้ามไม่ให้เขาใช้แผนการรวบรัดหมดจดให้เจ้าชะตานั้นสำเร็จโดยไวได้ใช่หรือไม่ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเขาจะช่วยเหลือสหายรักของเขามิได้เล่า