เสียงกลองยาวดังขึ้นรัวๆ ก่อนจะตามมาด้วยการแผดเสียงของเพลงที่มีเนื้อร้องและทำนองอันคุ้นหูของทุกคน
"ฝนเทลงมา เทลงมา เทลงมา ให้นาตูโฮ่ง นาตูโฮ่ง นาตูโฮ่ง
ให้โส่งตูเปียก โส่งตูเปียก โส่งตูเปียก ให้เสื้อตูเปียก เสื้อตูเปียกเสื้อตูเปียก
แมงตับเต่า ออกลูกต่างหลัง...…เป็นแมงอีหยัง....
โอ้แมงอีฮูม แมงอีฮูม แมงอีฮูม ใต้ต้นหมากเขียบ ต้นหมากเขียบ ต้นหมากเขียบ"
สิปรางค์มองภาพความรื่นเริงตรงหน้าอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ นี่มันเพลงเชียร์กีฬาแน่หรือ หญิงสาวคิดว่าหล่อนเคยได้ยินเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก มันไม่เห็นจะมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกีฬาตรงไหน และภาพการเอาจริงเอาจังกับการยักย้ายส่ายสะโพกเต้นระบำรำฟ้อนปนกันสะเปะสะปะของชาวโรงงาน ก็ยิ่งทำให้หล่อนงงงวยว่าวันนี้มันงานแข่งกีฬาสีหรืองานร้องรำทำเพลงประจำปีกันแน่
วันนี้บรรดากองเชียร์และนักกีฬาต่างพากันมารื่นเริงด้วยชุดม่อฮ่อม นี่เป็นประเพณีอันเก่าแก่ของโรงงานแห่งนี้ พวกเขาจะแข่งกีฬากันด้วยชุดม่อฮ่อม
และปีนี้ก็เป็นเหมือนอย่างเช่นทุกปี คือจะไม่มีการแบ่งฝ่ายเชียร์ เพราะถึงแบ่งไปก็ไม่มีใครสนใจ กองเชียร์มีอยู่กองเดียว และชาวโรงงานก็จะเชียร์นักกีฬาอย่างเท่าเทียมกันทุกคน เสียงเชียร์หรืออีกนัยหนึ่งคือเสียงร้องเพลงจะดังกระหึ่มอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าขณะนั้นจะมีกีฬาแข่งอยู่หรือไม่
"เอ้า ขะใจ๋ ขะใจ๋ ป้อจาย แม่ญิง ป้ออุ้ย แม่อุ้ย มาตังหน้าเวทีฮื้อไวเลยเจ้า มาม่วนอกม่วนใจโตยกั๋น ข้าเจ้าไค้หันป้าฟองเต้นขนาด เอ้า น้องปัณณ์ ตั๋วๆ มาทางเพ่ มาอยู่ใกล้ๆอ้าย"
ดนัยผู้เป็นโฆษกของงานนี้ถือโอกาสยึดไมค์เชิญชวนเหล่าชาวโรงงานอย่างเริงร่าอยู่ข้างสนามบอล วันนี้เขามาด้วยเสื้อม่อฮ่อมเหมือนคนอื่นๆ
แต่ดนัยก็คือดนัย ผู้นำเทรนด์แฟชั่นของโรงงานอย่างเขานั้นเสื้อม่อฮ่อมต้องไม่ธรรมดา เขาแทรกโบว์สีรุ้งขนาดใหญ่เข้าไปขณะจับชายเสื้อม่อฮ่อมทั้งสองข้างมาผูกไว้ด้วยกัน เพียงเท่านี้ม่อฮ่อมคอจีนของเขาก็ดูโดดเด่นเหนือใคร มันเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องแต่งตัวให้เริ่ดหรูเข้าไว้ เนื่องจากตัวเขาต้องเป็นผู้ที่รับภารกิจที่หนักที่สุดในวันนี้ เขาทั้งเป็นผู้ดำเนินรายการ เป็นนักกีฬา เป็นผู้นำเชียร์ เป็นนักร้อง และแน่นอน เป็นแดนซ์เซอร์
"ต่อไปจะเป็นการแข่งขันชักเย่อเจ้า สองทีมแรกที่จะมาแข่งกัน คือทีมโม่กาแฟสดและทีมตากกาแฟกะลาเจ้า"
ในขณะที่เสียงของโฆษกแผดดังอย่างไม่เกรงใจใคร แต่เสียงของน้องเอื้องคำกลับนุ่มนวลน่ารัก
"อ้ายปัณณ์เก่งขนาดเลยเจ้า ข้าเจ้าผ่อตอนอ้ายแย่งเก้าอี้มาจากอ้ายอู๊ดแล้ว ข้าเจ้าสงสารอ้ายอู๊ดเปิ้นขนาด"
คำชมของสาวน้อยที่วันนี้ก็มาในชุดเสื้อม่อฮ่อมกางเกงยีนทำเอาปัณณ์ยิ้มแทบไม่หุบ ผมมวยที่ปักดอกไม้เอาไว้ทำให้สาวน้อยดูอ่อนหวานยิ่งขึ้นๆไปอีก
ปัณณ์พยายามจะเข้าร่วมการแข่งขันทุกชนิด เขาอยากทำให้คนน่ารักคนนี้ประทับใจเขา แล้วก็ดูเหมือนเอื้องคำจะชื่นชมเขาไม่หยุดจริงๆ
"น้องเอื้องคำก็งามมากๆเหมือนกันฮะวันนี้" หนุ่มน้อยชมคนตรงหน้ากลับคืนบ้าง
"เขาอู้ว่า งามนักๆ เจ้า" สาวเหนือพยายามจะสอนคำเมืองให้แก่เขา
"ครับ น้องเอื้องคำงามนักๆเลยเจ้า" ปัณณ์พยายามจะเอาใจเอื้องคำอย่างที่สุด เขาลงทุนไปซื้อหนังสือสอนพูดคำเมืองมาด้วย
"แฟน ภาษาอังกฤษ แปลว่า พัดลม ส่วนแฟน ภาษาผม แปลว่า ตั๋ว เน้อ.." เขากลั้นใจปล่อยมุขออกไป แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือสีหน้างงงวยของเอื้องคำ
อ้ายปันเปิ้นอู้อะหยังของเปิ้น?
….
"ไอ่โต้ง ฮาว่าฮาจะแทบบ่ไหวแล้วนา อิหยังวันนี้มาฮ้อนจะอี๊วะ" ช่างอู๊ดเดินเหนื่อยหอบเข้ามานั่งข้างรุ่นน้องคู่ใจ เขาเพิ่งกลับมาจากการไปเต้นประชันเพลงแมงอีฮูมกับดนัย นายช่างรุ่นใหญ่คว้าแก้วน้ำพลาสติกที่อยู่แถวนั้นยกขึ้นมาดื่ม
"ถุ๊ย! น้ำอะหยังวะ เค็มขนาด!" แล้วเขาก็บ้วนทิ้งแทบจะไม่ทัน ก่อนจะหันไปคาดคั้นเอากับช่างโต้ง
"อ่อ ของไอ่คุณน้องปัณณ์เขา เขาว่ามันคือเครื่องดื่มเกลือแร่จำเป็น"
"แล้วคุณน้องเขาไปไผครับ กระผมบ่หันมาน้องเขาตั้งแต่แข่งเก้าอี้ดนตรีเสร็จละ" นายช่างเหลียวหาหนุ่มน้อยหน้าใสประจำแผนก เดี๋ยวทีมของเขาต้องเตรียมตัวไปแข่งชักเย่ออีก ปัณณ์หายไปไหนนี่ พลันสายตาเขาก็เหลือบไปเห็นราณีกำลังยืนถ่ายรูปอยู่กับบรรดาชาวโรงงาน
"โค๊ะ คิงว่าก่อ น้องเบลล่าวันนี้น่าฮักขนาด ฮาไปถ่ายรูปกะน้องเขาพ่องดีกว่า" แล้วช่างอู๊ดก็รีบวิ่งออกไปทันที เขาลืมที่จะตามหาน้องปัณณ์ไปเสียสนิท…
วันนี้ราณีนั้นก็มาพร้อมกับเสื้อม่อฮ่อมและกระโปรงชาวเขา หญิงสาวปล่อยผมยาวสลวยและมีดอกไม้ทัดหู ทำให้หล่อนดูน่ารักโดดเด่นขึ้นมากว่าสาวๆในโรงงานคนอื่นๆ วันนี้ราณีไม่ได้ลงแข่งขันอะไรเลย หล่อนไม่ชอบเล่นกีฬา แค่หญิงสาวมีชายหนุ่มน้อยใหญ่ในโรงงานที่พากันมาขอถ่ายรูปเซลฟี่กับหล่อน แค่นี้ก็ไม่มีเวลาจะไปแข่งอะไรกับใครที่ไหนแล้ว ซึ่งหญิงสาวก็เต็มใจให้ทุกๆคนถ่ายรูปกับตนเองเป็นอย่างดี
หล่อนชอบความรู้สึกที่ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของความสนใจ และอีกอย่าง คุณณัฐก็คงจะเห็นแล้วว่า หล่อนป๊อปปูล่าร์ในโรงงานนี้เพียงใด หญิงสาวคิดแล้วก็มีความสุข วันนี้คุณณัฐอยู่ข้างๆหล่อนทั้งวัน เขาสังกัดทีมบัญชีของโรงงาน ยามที่แข่งกีฬาแต่ละประเภทเสร็จ ชายหนุ่มก็จะเดินยิ้มเข้ามารับขวดน้ำที่หญิงสาวคอยส่งอยู่ให้เสมอ…
วิชิตยืนมองชาวโรงงานเชียร์กีฬาและถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ชายสูงวัยถอนหายใจยาวๆ ภาพบรรยากาศแบบนี้มันคงจะมีเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสินะ เมื่อนึกย้อนไปถึงบทสนทนากับสิปรางค์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เขาไม่คิดว่าหญิงสาวจะทำได้ แค่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ปกป้องยอมรับความคิดอันนี้ ก็ไม่น่าจะง่ายแล้ว หลานสาวของเพื่อนรักเขาคนนี้พยายามจะช่วยโรงงานของเขาจริงๆหรือ จะยอมเหนื่อยเพื่ออะไรกัน จะว่าเพื่อเหตุผลทางธุรกิจล้วนๆก็ไม่น่าจะใช่ ทำไมหญิงสาวถึงเปลี่ยนใจ
ภาพความสนิทสนมระหว่างวินและสิปรางค์ตรงหน้า ทำเอาวิชิตต้องแอบมองชายหนุ่มนายช่างคู่ใจของเขาด้วยสายตาเป็นห่วง ผู้สูงวัยนึกย้อนไปถึงวันที่เขาได้รู้จักช่างวินเป็นวันแรก ตอนนั้นช่างวินอายุเพียงแค่สิบหก หนุ่มน้อยตัวคนเดียววิ่งหนีแก๊งคู่อริที่กำลังวิ่งไล่ตามมาเป็นฝูงเข้ามาในโรงงาน โชคดีที่คำตั๋นสามารถสกัดกั้นกองทัพที่อยู่ต่างวิทยาลัยของช่างวินออกไปได้ จากวันนั้นมาถึงวันนี้ หนุ่มน้อยเกเรคนนั้นก็ได้กลายมาเป็นนายช่างหนุ่มขวัญใจของชาวโรงงาน วิชิตรู้ว่าช่างวินของเขารักโรงงานแห่งนี้มากเพียงไร
แล้วถ้าช่างวินรู้ว่าคุณสิปรางค์มาทำอะไรที่นี่ เขาจะรู้สึกอย่างไร วิชิตได้แต่ถอนหายใจ…
"มะปรางแน่ใจนะครับ ว่าจะลงแข่งแชร์บอลจริงๆ"
"โอ้โห คุณช่างวิน นี่ถามอย่างนี้แปลว่าอะไรคะ คุณก็น่าจะเดาออกว่าดิฉันน่าจะเป็นคนที่มีความสามารถทางด้านกีฬาอย่างสูง นี่ ฮึบ ฮึบ อย่างนี้" หญิงสาวทำท่าแข็งขันโชว์การชู้ตลูกบอลในอากาศไปมา
ชายหนุ่มแอบทำสายตามองบนแล้วส่ายหน้าในความขี้โม้ของหญิงสาว แต่เขาก็ให้อภัย เพราะวันนี้มะปรางของเขามาในเสื้อม่อฮ่อม ซึ่งดูไม่เข้ากันกับหญิงสาวเอาเสียเลย เป็นครั้งแรกที่วินเห็นคนสวยใส่เสื้อพื้นเมืองเช่นนี้ แต่สำหรับเขาแล้ว ด้วยความที่มันเป็นเสื้อม่อฮ่อมแบบธรรมดา มันจึงทำให้คนใส่ดูน่ารักเป็นพิเศษ
"ทำเป็นเก่ง แล้วเมื่อเช้าใครบ่นปวดหัว"
"อ๋อ หายแล้วค่ะ" สิปรางค์ยิ้มกว้างทำหน้าหน้าแป้นแล้นใส่ชายหนุ่ม
"ไหน ตัวร้อนหรือเปล่า แล้วนี่ยังเวียนหัวอยู่ไหมครับ บอกแล้วว่าไม่ให้ลงแข่งเก้าอี้ดนตรี มันจะเดินกลมๆเป็นวงๆรอบๆ" คนตัวสูงอดไม่ได้ที่จะเอามือมาอังที่หน้าผากของคนหน้าใสข้างๆ ระยะหลังๆนี่สิปรางค์บ่นเวียนหัวอยู่บ่อยๆ เขาคิดว่าหล่อนคงจะทำงานหนักเกินไป หญิงสาวพักผ่อนน้อยและแทบไม่ได้ออกกำลังกาย
"แต่มันก็เป็นวงกลมๆรอบใหญ่ๆ ไม่เวียนหัวหรอก" คนหน้าใสพยายามเถียง
"แต่ถ้ามันเป็นรอบท้ายๆ วงมันก็จะเล็กลง มันก็จะต้องเดินวนๆรอบเล็กๆหลายๆรอบ"
"แต่เพลงมันหยุดเร็ว เดินไม่หลายรอบหรอก"
"แต่บางเพลงเขาก็แกล้งเปิดนานๆ จะได้เผลอ" วินไม่คิดว่าในชีวิตเขาจะต้องมาต่อล้อต่อเถียงอะไรไร้สาระแบบนี้ แต่เขาก็รู้ดีว่าสิปรางค์ชอบและเพลิดเพลินกันการต่อปากต่อคำแบบไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้
"อื้อ ก็รอบสุดท้ายเราเผลอเวียนหัว ก็เลยแพ้ไง" แม้จะยอมรับ แต่ก็ยังหาเหตุผลที่ตัวเองแพ้
"วินไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราไม่เป็นอะไร" หญิงสาวรีบพูดต่อ พลางยิ้มหน้าแป้นแล้นใส่ชายหนุ่มอีกรอบ
สิปรางค์ทำท่าร่าเริงไปอย่างนั้นเอง อันที่จริงหล่อนเวียนหัวตั้งแต่รอบแรกแล้ว แต่หล่อนเห็นทุกคนกำลังอยู่ในบรรยากาศอันรื่นเริง หญิงสาวจึงไม่อยากให้ใครๆต้องมาเป็นห่วง แค่เมื่อเช้าหล่อนเผลอบ่นกับนายช่างหนุ่มว่าหล่อนปวดหัว เขาก็มีท่าทีเป็นห่วงและเป็นกังวลมากมายเกินไปแล้ว…
หญิงสาวมองไปรอบๆ รู้สึกใจหายเมื่อเห็นความตื่นเต้นสนุกสนานของทุกคน หล่อนนึกไปถึงตอนที่คุยกับคุณวิชิตเมื่ออาทิตย์ก่อนเรื่องการเตรียมงานการจัดกีฬาสี ในตอนนั้นหล่อนไม่เห็นด้วย โรงงานจะถูกปิดอยู่แล้ว แต่ทุกคนยังไม่รู้ตัว และยังจะมาเล่นสนุกอะไรกันอยู่
แต่คุณวิชิตก็โน้มน้าวใจหล่อนว่างานกีฬานี้มีค่าใช้จ่ายไม่มาก และปีนี้ก็คงจะเป็นปีสุดท้ายที่ทุกคนจะได้มาสนุกสนานร่วมกันเช่นนี้ ในที่สุดสิปรางค์ก็ยอมตกลง และหล่อนก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปเลย จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อน อยู่ดีๆหล่อนก็นึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาเมื่อได้มีโอกาสคุยกับปกป้อง
"ถ้าพี่ป้องแพ้ พี่ป้องต้องยอมให้เวลาปรางแก้ไขรายงานที่จะนำส่งผู้ถือหุ้น"
หญิงสาวยื่นข้อเสนอให้กับญาติผู้พี่
สิปรางค์รู้ว่าพี่ชายของหล่อนชอบเล่นกีฬามาก และเป็นคนที่เล่นกีฬาเก่งเป็นที่สุด ปกป้องชอบเล่นกีฬาทุกประเภท เขาเป็นนักกีฬาของโรงเรียนและของมหาวิทยาลัยมาโดยตลอด
งานอดิเรกอย่างเดียวของปกป้องนอกเหนือไปจากการทำงานก็เห็นจะเป็นการเล่นกีฬา ซึ่งชีวิตประจำวันอันยุ่งเหยิงของเขาเวลานี้ทำให้เขาแทบไม่มีโอกาสได้เล่นกีฬาบ่อยนัก ที่พอจะทำได้ก็เห็นจะเป็นการเข้าฟิตเนสเป็นบางเวลาหลังเลิกงานก็แค่นั้น
ปกป้องเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูงมาก และไม่ชอบให้ใครมาท้า ยิ่งถ้าเป็นเรื่องของกีฬาแล้ว สิปรางค์คิดว่ายังไงเสียพี่ชายของหล่อนก็ต้องยอมรับคำท้า
ในตอนรับคำท้านั้นชายหนุ่มยืนกอดอกจ้องมองน้องสาวสุดที่รัก เขารู้ดีว่าสิปรางค์ไม่มีวันเลิกล้มความตั้งใจที่จะแก้ไขรายงาน สิ่งนี้เองที่ทำให้เขากลัวใจหล่อน ปกติน้องสาวของเขาเป็นคนไม่เคยเปลี่ยนใจอะไรง่ายๆ เมื่อหญิงสาวมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดแล้ว ก็จะดึงดันทำให้ถึงที่สุด
การทำงานกับสิปรางค์จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก ที่ง่ายก็คือ ถ้าหล่อนเห็นตรงกับเขา ปกป้องก็จะวางใจได้เลย ว่างานจะออกมาสำเร็จเกินเป้าหมายที่เขาตั้งไว้แน่ๆ แต่ที่ยากก็คือ ถ้าเกิดเขาและหญิงสาวมีความเห็นที่ไม่ตรงกัน ชายหนุ่มก็จะต้องพยายามหาเหตุผลร้อยแปดประการเพื่อมาคัดง้างความคิดของหล่อน
"ได้ครับ เรามาแข่งกัน ถ้าพี่ชนะ ปรางต้องทำงานที่เราตกลงกันไว้ให้จบ"
อันที่จริงเขาก็กำลังลังเลสองจิตสองใจอยู่ ว่าจะให้สิปรางค์ลองแก้ไขรายงานดูก่อนดีไหม คำพูดของทาคายามะเรื่องตลาดของกาแฟอาราบิก้ายังคงรบกวนจิตใจเขา และสิ่งที่หญิงสาวเสนอมา ฟังดูก็เป็นไปได้สำหรับอีกหนึ่งทางเลือกทางธุรกิจ เพียงแต่เขาไม่ได้อยากจะเลือกทางเลือกนี้ตั้งแต่ต้น ก็เท่านั้นเอง
แต่ในเมื่อน้องสาวคนนี้มีความมุ่งมั่นมาก ถึงขนาดมาท้าทายเขาแข่งกีฬา ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเล่นกีฬาเก่งขนาดไหน ชายหนุ่มก็อยากจะลองแกล้งคนมั่นใจในตัวเองคนนี้ดูบ้าง ว่าหากสิปรางค์แพ้ หญิงสาวจะทำอย่างไร แต่หากถึงหญิงสาวชนะ ได้เข้าไปเสนอความคิดใหม่ให้กับผู้ถือหุ้น ก็ใช่ว่าผู้ถือหุ้นจะยินยอม ท้ายสุดแล้ว การตัดสินใจที่จะปิดโรงงานหรือไม่ ก็ต้องมาจากคณะกรรมการผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่ดี
"แต่พี่ขออย่างนึง อย่าบอกกับคนงานว่าพี่เป็นใคร แค่บอกว่าพี่เป็นแขกมาจากกรุงเทพก็พอ"…
กว่าการแข่งขันเก้าอี้ดนตรี เป่าแป้ง หลับตาตีกระป๋อง และชักเย่อจะสิ้นสุดลง ก็เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว เสียงประกาศก้องจากดนัยก็ดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่ในวันนี้ก็ไม่สามารถจะนับได้ หากแต่การประกาศครั้งนี้ดูจริงจังน่าเกรงขามกว่าครั้งอื่นๆ
"และแล้วก็ได้เวลาที่ทุกคนรอคอย รายการซึ่งเป็นไฮไลท์ของวันนี้ การแข่งขันแชร์บอลกระชับมิตรระหว่างนายช่างฝ่ายผลิต และนายช่างฝ่ายซ่อมบำรุง ณ บัดนี้ ขอเชิญนักกีฬาลงสนามได้… นะฮ้าาาาา"
เสียงกรี๊ดดังกึกก้องในขณะที่นักกีฬาของทั้งสองทีมต่างพากันวิ่งลงสนาม และไปยืนเรียงแถวประจันหน้ากันกลางสนาม กองเชียร์ที่แต่เดิมดูเหมือนจะไม่ฝักใฝ่่ฝ่ายใด ในตอนนี้กลับแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย แยกย้ายกันไปตามกลุ่มแฟนคลับของใครของมัน
"และตามกฎกติกาที่ไม่เป็นสากลของเรา ทีมที่มีจำนวนผู้เล่นเจ็ดคนนั้น จะต้องประกอบไปด้วยผู้เล่นซึ่งเป็นผู้หญิงสามคน โดยสองในสามต้องเป็นผู้สูงวัยอายุเกินหกสิบปี การแข่งขันจะมีรอบเดียว กินเวลายี่สิบนาที ทีมที่จะชนะจะได้รับถ้วยกาแฟทองขนาดใหญ่ที่สุดในโลกจากคุณวิชิตฮ้าาาาาา"
สิ้นเสียงประกาศ นายช่างใหญ่แห่งโรงซ่อมบำรุงก็หันมามองดูสมาชิกในทีมของตนเอง เขาได้วางตำแหน่งผู้เล่นสำคัญไว้หมดแล้ว แดนหน้าจะประกอบไปด้วยตัวเขาเอง ช่างอู๊ด และช่างโต้ง ส่วนแดนหลังประกอบไปด้วยสิปรางค์ ป้าฟอง และป้าสร้อย ส่วนปัณณ์จะทำหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู
วินสบตากับมะปรางของเขา เขาเห็นหล่อนจ้องมองมาที่เขาเขม็ง และทำท่าพูดกับเขาด้วยปากที่ไม่มีเสียงว่า
วินต้องชนะให้ได้นะ วันนี้เราต้องชนะเท่านั้น
ชายหนุ่มไม่ได้นึกแปลกใจอะไรกับความเอาจริงเอาจังของสิปรางค์ หญิงสาวชอบเอาชนะเป็นปกติวิสัยอยู่แล้ว นายช่างหนุ่มหันไปใส่ใจผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม เขามองทีมฝ่ายผลิตด้วยสายตาคาดคะเน ช่างวุฒิ ช่างอ๊อด และคุณปกป้องเป็นแดนหน้า อือม์ น่าเกรงขาม ส่วนแดนหลัง น้องนวล ป้าแดง และป้าจิน ส่วนนี้ไม่น่ากลัวเท่าไหร่
ในขณะที่วินกำลังวางกลยุทธ์ให้กับทีมของเขานั้น วุฒิชัยยังคงแอบมองเจ้านายใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่รู้มาก่อนว่าปกป้องมาที่นี่ช่วงเวลานี้ ครั้งสุดท้ายที่เขาเจอลูกชายของเจ้าของโรงงานก็หลายปีมาแล้ว ปกป้องไม่เคยมาดูงานที่นี่อย่างเป็นทางการ ดังนั้นชาวโรงงานส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครเคยรู้จักปกป้อง จะมีก็แต่ฝ่ายบริหารบางคนเท่านั้นอย่างเช่น เขา ช่างวิน และคุณวิชิตเท่านั้น
ส่วนคุณปราณผู้ซึ่งเป็นบิดา อาจจะมาเยี่ยมเยียนโรงงานอยู่บ้าง ซึ่งก็นานๆจะมาทีเหมือนกัน แต่มาทีไร คุณปราณก็จะแวะเวียนเข้ามาทักทายชาวโรงงานเกือบจะทุกคนเสมอ คุณสิปรางค์มาคุยกับเขาเมื่อเช้านี้ถึงการขอเปลี่ยนตัวให้ปกป้องได้ลงแข่งขัน เขาเองไม่ได้ติดใจอะไรเรื่องกีฬาเพราะเขาก็ไม่ได้จริงจังอยู่แล้ว เจ้าของโรงงานคนใหม่ปรากฏตัวก่อนเวลาที่จะแข่งขันไม่นาน แต่ที่น่าสงสัยคือ คุณปกป้องมีธุระอะไรสำคัญกับโรงงานนี้หรือเปล่า แค่มาเยี่ยมเยียนเฉยๆเท่านั้นจริงๆหรือ…
"ปี๊ด" เสียงนกหวีดดังขึ้นกลบความคิดของวุฒิชัย ผู้เล่นในแดนหน้าของทั้งสองฝ่ายต่างวิ่งเข้าหาลูกบอล
"อ้ายวินสู้สู้! ช่างวินสู้สู้!"
"อ้ายวุฒิสู้สู้! ช่างวุฒิสู้สู้!"
เสียงเชียร์จากบรรดาสาวๆแฟนคลับของทั้งสองหัวหน้าช่างดังแข่งสลับกันไปมา เกมดำเนินไปอย่างดุเดือด และก็เป็นที่แน่นอนที่ตลอดทั้งเกมลูกบอลแทบจะอยู่ในครอบครองของแดนหน้าจากทั้งสองทีมเท่านั้น ส่วนแดนหลังเหมือนจะแค่เป็นตัวประกอบวิ่งไปวิ่งมาให้เหนื่อยเล่น
เมื่อเหลือเวลาอีกเพียงห้านาทีของการแข่งขัน ขณะนี้ทีมของฝ่ายซ่อมบำรุงกำลังมีแต้มนำอยู่หนึ่งแต้ม แต่ทีมฝ่ายผลิตกำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบ ปกป้องมีลูกบอลอยู่ในมือและกำลังจะทำท่าจะชู้ตเข้าตะกร้า สิปรางค์รีบพยายามเข้าขัดขวางปกป้องอย่างสิ้นหวัง ญาติผู้พี่คนนี้ตัวสูงกว่าหล่อนมากมายนัก มือน้อยๆของหล่อนปัดได้อยู่แค่แถวบริเวณรักแร้ของเขา
พี่ป้องต้องชู้ตลงตะกร้าแน่ๆ ไม่นะ เราจะแพ้ไม่ได้ วินอยู่ไหน ทำยังไงดี หรือเราจะแกล้งขัดขาดี หรือจะผลัก โอ้ย ทำไงดี ทำไงดี
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงเชียร์แบบซื่อๆที่ดังกระหึ่มของชาวโรงงาน หรือเป็นเพราะคำพูดของทาคายามะที่ยังดังก้องอยู่ในหูของเขา หรือเป็นเพราะแววตามุ่งมั่นตั้งใจจริงของน้องสาวสุดที่รักยามเมื่อพูดถึงโรงงานแห่งนี้ ทำให้ปกป้องตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายที่จะจงใจชู้ตลูกบอลให้เป๋ตัดขอบตะกร้าออกไป
"ปี๊ด" เสียงนกหวีดหมดเวลาการแข่งขัน มาพร้อมกับเสียงเฮดีใจลั่นดังกึกก้องจากกองเชียร์ของฝั่งช่างซ่อมบำรุง
"วิน เราชนะแล้ว!"
สิปรางค์ดีใจสุดชีวิต หญิงสาวลืมตัววิ่งเข้าไปกอดนายช่างหนุ่มแน่น ท่ามกลางความตกตะลึงของชาวโรงงาน
คุณสิปรางค์กอดช่างวิน! กลางสนามบอล!
"เราชนะแล้ว เรามีหวังแล้ว"
คนสวยของช่างวินตะโกนละล่ำละลัก หากคนร่างสูงกำลังอึ้งและมึนงงในการกระทำของหญิงสาว ทำไมมะปรางต้องดีใจขนาดนี้ แค่เล่นแชร์บอลชนะเนี่ยนะ? จะจริงจังเว่อร์อะไรขนาดนั้น?
ในขณะที่ทุกคนกำลังนิ่งงันอยู่นั้น สิปรางค์เริ่มรู้สึกนัยน์ตาพร่ามัว และก่อนที่หล่อนจะหมดสติไปนั้น หญิงสาวก็ได้ยินเสียงร้องเรียกอย่างตกใจ ร่างสูงๆนั้นพยายามอย่างยิ่งที่จะโอบอุ้มหล่อนเอาไว้ไม่ให้ทรุดตัวลงไปกับพื้นสนาม
"มะปราง!"
…