"เก๋งตัวนี้มาจากมลฑลอันฮุยเมืองจีนฮะพี่ อายุร้อยกว่าปี"
หนุ่มเจ้าของร้านท่าทางเป็นมิตรปราดเข้ามาทันทีเมื่อเห็นผมลูบๆคลำๆเก้าอี้ไม้สีแดงที่มีที่เท้าแขนสไตล์จีนนั่น
ผมกำลังเดินวนเวียนอยู่ในโซนขายของเก่าของจตุจักร บ่ายวันอาทิตย์อันแสนจะร้อนอบอ้าว ทำไมเมืองไทยมันร้อนอย่างนี้หนอ นี่เพิ่งจะต้นปีเองไม่ใช่รึ วันนี้ผมอยากมาเดินดูพวกเฟอร์นิเจอร์แอนทีคทั้งหลาย เผื่อจะได้ไอเดียอะไรเกี่ยวกับความเป็นไปของเทรนด์ในเมืองไทย
ตอนทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่นผมได้มีโอกาสเข้าร่วมประชุมกับพวกดีไซเนอร์อยู่บ่อยครั้งทำให้สนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานสายติสท์หลายคน หลายครั้งเราก็ไปกินเบียร์กันต่อนอกเวลาทำงาน ผมเคยถามพวกเค้าว่าแรงบันดาลใจของการออกแบบมาจากอะไร หลายคนตอบมาเหมือนกันว่า งานอดิเรกของพวกเค้าคือการเดินเล่นตลาดนัดขายเฟอร์นิเจอร์เก่า
อือม์… หากอยากจะเข้าใจพวกดีไซเนอร์ ผมคงต้องลองทำอย่างพวกเค้าดูบ้าง
"พี่ลองนั่งดูได้นะฮะ" เขาคะยั้นคะยอและใช้มือปัดฝุ่นที่เกาะอยู่ทั่วไปบนเก้าอี้ให้ผม
เอ ลองดูหน่อยท่าจะดี อยากจะรู้ว่าคนสมัยโบราณเขานั่งเก้าอี้ไม้แข็งแบบนี้กันไปได้ยังไง
แต่ขณะที่ผมกำลังงกๆเงิ่นๆ หันหลังจะหย่อนก้นลงไปที่เก้าอี้ไม้ตัวนั้น ก็พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยกระซิบเบาๆมาจากทางด้านข้าง
"คุณเซน! อย่าไปนั่งเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นสิคะ"
"ครับ?" ผมชะงักก้น ยืดตัวขึ้น แล้วหันไปหาคุณป้าใบหน้าสดใสที่คุ้นเคย
นี่เจอกันที่ออฟฟิศยังไม่พออีกหรือครับ?
"ทำไมครับ ฝุ่นเยอะเหรอครับ นี่น้องเค้าอุตส่าห์มือเปื้อนปัดฝุ่นให้ผมแล้วนะ" ผมโน้มตัวไปกระซิบเบาๆกับคุณลลิน แล้วก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้บางชนิดลอยมาแตะจมูก
กลิ่นอย่างนี้... ดอกมะลิหรือเปล่าหว่า
แต่เอ๊ะ รุ่นนี้เค้ายังใช้น้ำหอมกันอยู่อีกรึ
"เรื่องฝุ่นน่ะไม่เท่าไหร่ค่ะ แต่เอ่อ ดิฉันเคยได้ยินมาว่าของเก่านี่เค้ามีเจ้าของนะคะ เค้าจะรอแค่เจ้าของของเค้าเท่านั้น ถ้าเราเข้าไปยุ่มย่าม เค้าอาจไม่พอใจ"
เรื่องผีสางนางไม้ก็มา สมกับความเป็นป้าโดยแท้จริง
ผมมองปราดไปที่เสื้อเชิ้ตสีเหลืองกับสร้อยคอลูกปัดสีสันจัดจ้านของเธอ คือถ้าเดินพลัดหลงกันก็คงเห็นกันในระยะห้าร้อยเมตรได้เลย กระเป๋าสานใบใหญ่นั่นก็ด้วย สีสันไม่ยอมกันจริงๆ ดีนะที่เธอใส่กางเกงยีนสีซีดมาช่วยผ่อนคลายสายตาบ้าง ไม่งั้นผมคงจะปวดตาไปตลอดทั้งบ่ายวันนี้ แล้วก็เช่นเคย เสื้อเชิ้ตนั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยลายดอกไม้ คุณลลินเค้าคงขนมาทั้งสวน
แล้วผมก็เริ่มนึกสนุกกับการตอบโต้ความเชื่องมงาย
"หรือผมอาจจะเป็นเจ้าของเก่ากลับชาติมาเกิดก็ได้นะครับ"
"มีเหตุผลค่ะ แต่ว่าเราจะหาทางพิสูจน์กันยังไงดีว่าคุณเซนเป็นเจ้าของเก่าจริงๆหรือเปล่า แล้วก็ไม่แน่นะคะ ชาติก่อนๆของชาติที่แล้วคุณเซนอาจจะเป็นเจ้าของเตียงไม้พม่าเตียงโน้นก็ได้ค่ะ"
เอ้อ… ท่าจะจริงจังกันขนาดนี้ ผมไม่นั่งก็ได้วะ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า
"นี่ผมไม่คิดว่าจะเจอคุณลลินแถวนี้นะครับเนี่ย พวกเฟอร์นิเจอร์แอนทีคนี่เค้านิยมทำลายดอกไม้กันด้วยหรือครับ เผอิญผมไม่เชี่ยวชาญด้านนี้"
ได้ผล หน้าตาสดใสพร้อมดวงตากลมโตนั่นเริ่มออกอาการฉุนเฉียว
"แล้วลายดอกไม้มันผิดตรงไหนคะ สวยประณีตอ่อนหวานจะตายไป คนโบราณเค้าอาจจะมีรสนิยมดีกว่าคนสมัยนี้ก็ได้ค่ะ"
"โอ๋ อย่าเพิ่งงอนสิครับ"
ผมรู้ว่าประโยคนี้จะยิ่งเพิ่มความเกรี้ยวกราดให้คุณตาโต พวกสาวใหญ่เค้าไม่อยากได้ชื่อว่า 'ขี้งอน'
"ไม่ได้งอนค่ะ! งั้นเชิญคุณเซนตามสบายนะคะ อยากจะนั่งจะนอนตรงไหนตามสบายเลย มีเจ้ากรรมนายเวรตามไปถึงบ้านก็ไม่รู้ด้วย"
น้ำเสียงแบบนี้ งอนแหละ ผมดูออก ต้องยิ่งเพิ่มดีกรีการยั่วยุความเกรี้ยวกราด
"โอ๋ โอ๋ ไม่เอาครับ รุ่นใหญ่แล้วเค้าไม่ขี้งอนกันนะครับ"
ไม่รู้เป็นอะไร หลังๆนี่เวลาผมอยู่กับคุณขี้งอนคนนี้ ผมเริ่มจะลืมๆมาดผู้บริหารผู้เคร่งขรึมเอาการเอางานเสียสิ้น
"คุณเซน!" หน้าตานั้นดูตกใจ
"ไม่งอนนะครับ ไม่งอน" แต่ผมยังยั่วยุต่อไปด้วยความสนุก แซวเธอคนนี้สนุกที่สุดแล้ว
"ไม่ได้เกี่ยวกับงอนแล้วค่ะ คุณเซนโดนล้วงกระเป๋า!" ทว่าหน้าตาของคนข้างหน้าผมกลับดูตื่นตระหนก
"ห้ะ!" ผมรีบล้วงกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้างดู เออ! กระเป๋าเงินใบเล็กของผมอันตรธานหายไปจริงๆด้วย มันเคยอยู่ที่กระเป๋าหลังด้านขวาของกางเกง
แต่เหมือนคุณป้าเค้าจะไม่อยู่รอฟังคำอุทานจากผมแล้ว เค้าออกวิ่งอย่างรวดเร็วตามหลังเจ้าหัวขโมยไปในทันที
ดะเดี๋ยวครับป้า! เดี๋ยววววว…
ความจริงแล้วผมอยากจะร้องบอกไปว่าไม่ต้องตาม เพราะกระเป๋าเงินใบนั้นมันไม่ได้มีอะไรสำคัญ มีแต่แบงค์เงินสดนิดๆหน่อยๆกับเศษสตางค์ ผมแยกพวกบัตรสำคัญต่างๆกับบัตรเครดิตออกมาใส่ซองพับแบบพลาสติกบางๆ แล้วเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างซ้าย
แต่ไม่ทันแล้ว คุณลลินเธอวิ่งตามเจ้าหัวขโมยไปโดยไม่หันมาสนใจผมอีกเลย ผมจึงต้องวิ่งตามไปบ้าง นี่เค้าไม่กลัวบ้างเลยรึ ทำเป็นฮีโร่แบบในหนังไปได้ แล้ววิ่งเร็วอย่างนั้น เดี๋ยวก็ได้เคล็ดขัดยอกกันพอดี…
ในที่สุดผมก็วิ่งตามคุณป้าจนเกือบทัน เห็นแกกำลังเข้าประชิดตัวเจ้าเด็กหนุ่มนั่น ดึงแขนเจ้าโจรผู้เคราะห์ร้ายไว้ แล้วฟาดกระเป๋าสานใบใหญ่ของแกเข้าที่ใบหน้าของเจ้าโจรเต็มแรง
พลั่ก!!!
เสียงเหมือนของแข็งสองสิ่งกระทบกันอย่างรุนแรง แล้วก็ตามมาด้วยเสียงกรีดหวีดร้องของผู้คนรอบข้าง
บร๊ะเจ้า! อย่างโหด!
สาบานนะ ว่านั่นคือแรงมหาศาลของหญิงวัยกลางคน แล้วในกระเป๋าคุณป้ามีอะไร ทำไมทำให้น้องโจรหนุ่มนั่นถึงกับนั่งทรุดลงไปกองกับพื้นกุมหน้าร้องโอดโอยขนาดนั้น
ผมรีบวิ่งเข้าไปดึงแขนคนตาโตให้ถอยห่างออกมาจากน้องโจร เพราะถ้ามันเกิดบ้าลุกขึ้นสู้ขึ้นมา เดี๋ยวคุณป้าจะแย่เอา
"นี่ค่ะคุณเซน กระเป๋าเงินของคุณเซน" คุณลลินหันมายื่นกระเป๋าเงินคืนให้กับผม พร้อมกับทำหน้าตาเอาเรื่องจริงจัง "แล้วเดี๋ยวเราไปหาตำรวจกัน"
เชื่อป้าเค้าเลย นี่ยังจะไปยุ่งกับตำรวจอีก
"ขอบคุณครับ แต่คือ อย่าเลยครับ ไม่ต้องเอาเรื่องเค้าก็ได้ครับ ผมโอเคครับ" ผมรีบบอก
ผมยังไม่อยากข้องแวะกับโรงพักตั้งแต่ตอนนี้ เพิ่งจะกลับมาอยู่เมืองไทยได้ไม่เท่าไหร่ ผมอยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ห่างหายจากโรงพักบ้าง
"ไม่ได้นะคะ ถ้าเราปล่อยไป เดี๋ยวมันได้ใจ เราต้องช่วยกัน เราจะปล่อยให้ขโมยชุกชุมอย่างนี้ไม่ได้"
นั่นผมรู้ครับป้า แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ขอเวลาผมปรับตัวปรับใจกับเมืองไทยก่อนครับป้า
"แค่โดนกระเป๋าคุณฟาดหน้าเข้าไปนั่น ก็คงเข็ดไปอีกนานแล้วล่ะครับ"
ผมมองพ่อหนุ่มโจรผู้เคราะห์ร้ายที่ยังนั่งมึนกุมใบหน้าอยู่ข้างหนึ่ง กำลังลังเลใจว่าจะช่วยพยุงโจรให้ลุกขึ้นดีหรือไม่ หรือปล่อยให้มันนั่งเจ็บไปอย่างนี้ แต่คิดว่ารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า ก่อนที่เรื่องมันจะลุกลามใหญ่โต ผู้คนเริ่มเข้ามารุมล้อมกันแล้ว
แล้วผมก็ดึงแขนรุ่นใหญ่ผู้กล้าหาญคนนั้นออกมาฝูงชน พาเดินออกมาให้ไกลจากที่นั่นอย่างเร็วที่สุด…
"หัวไหล่แขนขาหัวเข่าของคุณเคล็ดขัดยอกบ้างหรือเปล่าครับ" ผมสงสัยว่าร่างกายของผู้สูงวัยยังคงปกติดีอยู่หรือเปล่า
"คุณเซน ชั้นไม่ได้แก่ขนาดนั้น ขอบคุณค่ะ โอ๊ย…"
นั่นไง พูดยังไม่ทันขาดคำเลย ช่วงจังหวะที่คนตาโตเอี้ยวตัวไปส่งชามก๋วยเตี๋ยวคืนให้เด็กเสิร์ฟนั่นเองที่อาการขัดยอกมันฟ้องขึ้นมา
เรามานั่งพักสงบสติอารมณ์กันที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเจ้าดังของจตุจักร แน่นอนร้านนี้คุณลลินเธอเป็นคนแนะนำ ผมเพิ่งกลับมาอยู่เมืองไทย ไม่รู้หรอกว่าตรงไหนมีอะไรอร่อย แต่ท่าทางเธอจะรู้จักทุกซอกทุกมุมของกรุงเทพเป็นอย่างดี
"ในกระเป๋าคุณมีอะไรครับนี่ ขวดเหล้าเหรอครับ ทำไมฟาดได้แรงจัง"
หลังจากที่เราจัดการก๋วยเตี๋ยวเรือกันไปคนละสองสามชามแล้ว ผมก็เริ่มหันมาสนใจเรื่องราวของคุณป้าบ้าง ผมสงสัยว่ามีอะไรอยู่ในกระเป๋าใบใหญ่ของเค้า
"คุณเซน! ใครที่ไหนเค้ามาซื้อเหล้ากันที่จตุจักรกันคะ" ท่าทางนั้นขัดอกขัดใจ ก่อนจะเฉลย
"กระถางต้นกระบองเพชรค่ะ อุ้ย ว้าย ตายแล้ว แตกบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้"
เธอทำหน้าตื่นตระหนก แล้วก็ลุกลี้ลุกลนเปิดซิปกระเป๋าผ้าใบใหญ่นั้นทำท่าสำรวจอะไรกุกกัก
"อาการเจ้าแคคตัสทั้งหลายเป็นไงบ้างครับ" ผมมองดูท่าทีของคนตรงหน้าแล้วก็นึกสงสาร
นี่ตอนเหวี่ยงกระเป๋านี่ทันได้คิดหรือเปล่าว่ากระถางมันอาจจะแตก เอ่อ… หรือไม่ก็ทันได้คิดหรือเปล่าว่าหัวโจรมันอาจจะแตก คนอายุเยอะๆก็อย่างนี้ล่ะ ป้ำๆเป๋อๆ
"แตกไปสองสามกระถางค่ะ" เธอเงยหน้ามาตอบแบบจ๋อยๆ
อุวะ! แรงคุณเธอเยอะขนาดฟาดหน้าโจรจนกระถางกระบองเพชรแตก! คิดแล้วสยอง ทำไมผมเกิดความรู้สึกสงสารน้องโจรจับใจ
"ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมซื้อใหม่ให้ ซื้อเพิ่มให้ด้วยก็ได้"
แต่ยังไงผมก็คงต้องรับผิดชอบต้นแคคตัสของเธอ เธออุตส่าห์มีน้ำใจวิ่งไล่จับโจรให้ผมเชียวนะ
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ขี้เกียจเดินไปซื้อแล้ว ต้องเดินไปอีกฝั่งเลยล่ะค่ะ ร้อนเกินเดินไม่ไหว"
"อ้อ ครับ" ผมพยักหน้าอย่างเข้าใจ อายุมากแล้วอาจปวดไขข้อง่าย เดินมากไม่ได้
"งั้นผมชดใช้เป็นเงินให้ก็ได้ครับ"
ผมกุลีกุจอเปิดกระเป๋าเงิน อ้าว ดันเหลือติดกระเป๋าอยู่ยี่สิบกว่าบาท ผมรู้ว่าผมมันพวกชอบลืมกดเงินสด แล้ววันนี้ก็แค่จะมาเดินดูเฟอร์นิเจอร์เก่าเล่นๆ เลยคิดว่าไม่ต้องพกเงินมาเยอะ ผมนึกว่าตัวเองมีเงินติดกระเป๋าอยู่ในหลักพัน ไม่คิดว่าจะมีอยู่แค่หลักสิบ
เจ้าน้องโจรนั่นซวยจริงๆ มาล้วงกระเป๋าเงินซึ่งมีเงินอยู่ยี่สิบบาท แล้วก็ไม่ได้เงินไป แถมยังโดนฟาดหน้าด้วยกระถางต้นกระบองเพชรจิ๋ว เฮ้อ!
"คือ… ผมมีเงินในกระเป๋าแค่หลักสิบ เอาไว้ผมใช้คืนให้ที่ทำงานนะครับ แล้วมื้อนี้ผมคงต้องขอยืมเงินคุณเลี้ยงเราสองคนด้วยนะครับ"
นึกแล้วว่าต้องเจอสายตาเยาะเย้ยจากคุณป้า นี่คงเห็นผมเป็นเด็กน้อยไร้ระเบียบด้านการเงินล่ะสิ
ไม่จริงนะ ผมเป็นคนมีระเบียบ แต่แค่ไม่ชินกับการพกเงินสด ก็ที่ญี่ปุ่นเค้ากันใช้แต่บัตร หรือไม่ก็จ่ายโดยแอพในมือถือ ร้านค้าหรือร้านอาหารหรือมิวเซียมหลายแห่งเค้าไม่รับเงินสดด้วยซ้ำ
"ความจริงคุณเซนปล่อยผมข้างหน้าให้ปรกลงมาแบบนี้ก็น่ารักไปอีกแบบนะคะ ไม่เห็นต้องทำผมตั้งเด่ตลอดเวลาเลย ที่ญี่ปุ่นเค้าฮิตทรงผมตั้งเด่แบบนั้นหรือคะ"
ถัดจากสายตาเยาะเย้ยเรื่องการไม่พกเงินสดของผม อยู่ๆคุณลลินเธอก็เปลี่ยนมาเป็นสายตาแบบสำรวจวิเคราะห์กับทรงผมของผม อะไรของป้าครับเนี่ย เปลี่ยนเรื่องเร็วมากนะครับ!
"วันนี้วันอาทิตย์ผมขี้เกียจใส่เจล"
"แล้วทำไมวันธรรมดาต้องใส่คะ"
นี่ป้าจะมาสนใจอะไรว่าวันไหนผมจะใส่เจล วันไหนจะไม่ใส่
"ผมปรกหน้าบวกเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนแบบนี้ นี่นึกว่าเด็กมหาลัยนะคะเนี่ย"
โอย ป้าครับ สนใจอะไรเรื่องการแต่งตัวของผมครับ
แต่ก่อนที่คนตรงหน้าจะทันได้วิเคราะห์ไปถึงลักษณะผิวหน้าและส่วนสูงของผม ผมก็ได้ยินเสียงทักจากทางด้านหลัง
"เฮ้ย ไอ้เซนใช่ป่าววะเนี่ย"
ผมหันขวับไปทันที เหมือนจะเป็นเสียงคุ้นๆจากคนที่ผมไม่อยากเจอ ไม่คิดจะเจอ และขอให้ไม่เจอกันอีกเลยชั่วชีวิตนี้
"ไอ้ลูกพี่เซนจริงๆด้วย นี่เมื่อกี้กูเดินผ่านมึงไปแล้วนะ แต่เห็นหน้าตาคุ้นๆเลยเดินย้อนกลับมา เห็นรอยเจาะสามรอยที่ติ่งหูซ้ายของมึงนี่กูรู้เลยว่าเป็นมึง"
ไอ้กบ! เวลาผ่านไปเท่าไหร่ผมก็จำมันได้ มันก็มีรอยเจาะที่หูซ้ายเหมือนผมนั่นแหละ
"นี่มึงกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เห็นพวกในแก๊งเค้าบอกว่ามึงหนีไปอยู่ญี่ปุ่นตั้งแต่เกิดเรื่อง แทบไม่กลับไทยเลย จริงป่าววะ ป๊อดว่ะมึง"
แม่ง! ปากเสียเหมือนเดิม ผ่านไปสิบห้าปีไม่คิดจะพัฒนาปากบ้างเลยเหรอวะ
"ใช่ ก็ไปเรียนต่อ แล้วนี่ก็เพิ่งจะกลับมา" ผมทำหน้าเฉยที่สุด ไม่แสดงอาการอะไรเลยที่เจอหน้าคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันมาสิบห้าปี
"โห นี่มึงรสนิยมไม่เปลี่ยนเลย" มันพูดพลางทำหน้าทำตามีเลศนัยหันหน้าไปทางคุณป้า
ไอ้นี่! วอนซะแล้ว
ผมรีบหันตามไอ้กบไป ก็เห็นคุณป้าเธอทำหน้าตาเหลอหลาแล้วก็ยิ้มกว้าง
"นี่คุณลลิน ผู้ร่วมงานผมเอง" ผมแนะนำเสียงเข้ม พยายามใช้คำพูดสุภาพที่สุด ยังไงผมก็ต้องรักษาภาพพจน์ของการเป็นเจ้านายหน่อย
"ฮั่นแน่! พูดจาสุภาพซะด้วย ว่าแต่เป็นผู้ร่วมงานกัน แล้วมาเดินจตุจักรกันวันอาทิตย์เนี่ยนะ ร่วมงานกันแบบไหนว้า"
นี่โลกนี้มีใครจะปากเสียไปมากกว่ามันอีกหรือเปล่าวะ
ผมจ้องหน้ามันเขม็ง พยายามที่จะพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดอย่างใจเย็นอย่างที่สุด
"คุณกบครับ ผมกำลังรับประทานก๋วยเตี๋ยวกับคุณลลินอยู่ และเราก็ไม่ต้องการให้ใครหน้าไหนมารบกวนครับ"
"ฮั่นแน่! เดี๋ยวนี้มีพูดคุณพูดผม คุณเซนครับ คุณเปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ" แต่เหมือนไอ้กบจะยังไม่รู้ตัว
"คุณไอ้กบครับ ผมต้องการเวลาส่วนตัวครับ" ผมทำน้ำเสียงเข้ม และพูดเสียงดังขึ้น
"พี่กบ ไปกันเถอะ เค้าไม่อยากให้เรากวนเค้า"
เหมือนผู้หญิงที่มากับมันคงจะรู้สึกอาย บวกกับน่าจะเกรงใจสายตาอันแข็งกร้าวของผม ก็เลยรีบดึงแขนมันให้เดินออกไป
"โอเค โอเค ไปก่อนนะคร้าบคุณเซน ว่างๆนัดเจอกันหน่อยก็ดีนะครับ ผมล่ะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆซะเหลือเกิน ขาดหัวหน้าแก๊งอย่างคุณมรึงไป พวกเราเหงาชิบหายว่ะครับ"
มันทำท่าทำทางน่าหมั่นไส้กวนตรีนทิ้งไว้ ก่อนจะยอมเดินจากไปตามแรงฉุดของผู้หญิงที่มาด้วย
"คุณเซนเป็นหัวหน้าแก๊งอะไรหรือคะ"
นั่นไง ว่าแล้วว่าต้องมีคนสนใจเรื่องในอดีตของผม
ผมหันกลับมามองสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของคนตรงหน้าอย่างเบื่อหน่าย หนึ่งในคุณสมบัติของการเป็นมนุษย์ป้าก็คืออาการสนใจใคร่รู้เรื่องราวของคนอื่น
"แก๊งยากูซ่าแถวเยาวราชหรือเปล่าคะ เพื่อนคุณเซนคนเมื่อกี้รอยสักเต็มตัวเลย" หน้าตาล้อเลียนนั้นทำผมเซ็ง
วันนี้ซวยจริงๆที่มาเจอไอ้กบพร้อมคุณป้าที่นี่ แล้วภาพลักษณ์ผู้บริหารเนี้ยบๆแบบผมจะเหลือมั้ย
"เรื่องในอดีตนานมาแล้วครับ อย่าไปสนใจมันเลย"
ผมไม่อยากจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก ผมมีชีวิตใหม่แล้ว
"เดี๋ยวนะ หรือคุณเซนจะเป็นทายาทผู้สืบทอดแก๊งพี่แดงไบเล่ย์ พี่ปุ๊ระเบิดขวดคะ" เธอทำหน้าตื่นเต้น
นี่ไปๆมาๆผมเริ่มงงๆแล้วว่าอันไหนเค้าคิดจริง อันไหนเค้าพูดเล่น
"แดงไหน ปุ๊ไหนครับ ผมเกิดไม่ทัน" จะสู้กับคุณป้า ต้องเน้นย้ำไปที่เรื่องของวัย
"นี่เพิ่งสังเกตนะคะเนี่ย ว่าคุณเซนมีรอยเจาะหูสามรอยที่ติ่งหูซ้าย รอยเจาะหูนี่เป็นสัญลักษณ์ประจำแก๊งหรือคะ แล้วสมัยก่อนคุณเซนใส่ตุ้มหูทั้งสามรูนี่เลยหรือคะ แล้วตอนนี้ทำไมคุณเซนเลิกใส่ตุ้มหูล่ะคะ"
คุณลลินเธอยังไม่ยอมหยุดเรื่องนี้ง่ายๆ เธอจ้องที่หูผมด้วยอาการตื่นเต้นถึงขีดสุด
โอย คุณป้าครับ ขอร้องล่ะ อย่ามาสนใจหูผมครับ
"สวัสดีค่ะคุณเซน อ้าว พี่ลิน หวัดดีค่ะ มาด้วยกันได้ไงคะเนี่ย"
เฮ้ย! เจอพนักงานที่บริษัทอีก ไปกันใหญ่แล้ว วันนี้มันวันอะไรกันวะเนี่ย นี่คนทั้งโลกพร้อมใจกันมารวมตัวที่จตุจักรโดยมิได้นัดหมายหรือไงวะ...
"ผมขอบคุณอีกทีสำหรับทุกอย่างในวันนี้นะครับ ทั้งเรื่องกระเป๋าเงิน เรื่องเลี้ยงก๋วยเตี๋ยว แล้วก็เอ่อ เรื่องเงินค่ารถไฟฟ้า" ผมเอ่ยขอบคุณเธออีกครั้งเมื่อเรานั่งอยู่บนรถไฟฟ้าด้วยกันขณะกลับบ้าน
ตอนขามาผมให้คุณมะพร้าวแวะส่งผมลงที่จตุจักร เลยไม่ทันได้คิดถึงเรื่องค่ารถไฟฟ้า เงินยี่สิบเจ็ดบาทในกระเป๋าที่มีมันไม่พอค่ารถไฟฟ้าจากจตุจักรกลับมาสุขุมวิท นี่ถ้าคุณลลินไม่ได้มาด้วย ผมคงต้องเสียเวลานั่งรถเมล์เป็นชั่วโมง หรือไม่ก็ต้องให้ที่บ้านเสียเวลาเอารถออกมารับแน่ๆ
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ"
"เอ่อ คือ ถ้าพรุ่งนี้ที่บริษัทมีลือกันเรื่องเจอเราสองคนวันนี้ คุณลลินอย่าคิดมากนะครับ" ผมตัดสินใจเอ่ยลอยๆขึ้นมาขณะนัยน์ตาจับจ้องอยู่ที่จอโฆษณาในรถไฟฟ้า ทำเหมือนไม่ได้กำลังพูดเรื่องสำคัญอะไร ผมปลอบโยนใครไม่ค่อยเป็น
ที่นี่เมืองไทย ผมรู้ว่าพรุ่งนี้เรื่องที่คุณเซนประธานบริษัทนั่งกินก๋วยเตี๋ยวกับคุณลลินหัวหน้าแผนกออกแบบที่ตลาดนัดจตุจักรจะต้องร่ำลือไปทั่วทั้งบริษัท ไอ้ลำพังตัวผมน่ะ ผมไม่แคร์หรอก ก็ในเมื่อไม่ได้คิดอะไร จะแคร์ลมปากคนทำไม แต่สำหรับคุณป้า… ข่าวลือแบบนี้มันจะทำให้เธอเดือดร้อนหรือเปล่า ผมไม่แน่ใจ
"คุณเซน!" เธอหันมาจ้องผมทำหน้าสงสัย "มีอะไรต้องให้คิดมากคะ"
"ก็ไม่รู้สิ เห็นคนไทยเค้าชอบซุบซิบนินทากัน" ผมยักไหล่
"โอ้ย ถ้าจะต้องมานั่งคิดมากเรื่องแบบนี้ ชั้นคงได้คิดจนหัวแตกทุกวันล่ะค่ะ"
"ครับ?" นี่คุณลลินเค้าหมายความว่าอะไร
"ไม่มีใครเค้าจะมาสนใจหรอกค่ะ ว่าชั้นจะไปไหนอะไรกับใครยังไง ชั้นน่ะสนิทกับทุกคนในบริษัท เป็นคนโด่งดังที่ใครๆก็อยากคบหาด้วย คุณเซนก็น่าจะรู้"
เอ่อ… งั้นก็ดีครับ
ผมอดที่จะอมยิ้มไม่ได้เมื่อหันไปมองคนข้างๆ ดูเค้าเชื่อมั่นในตัวเองแบบไม่สนไม่แคร์ใครจริงๆ ดวงตากลมโตนั้นยังคงแจ่มใสร่าเริง คิดว่าคนวัยนี้เค้าคงจะปล่อยวางได้ง่ายๆ ...แล้วมั้ง
"อื้ม ครับ เข้าใจ วัยนี้แล้ว ไม่น่าต้องเป็นที่ครหาแล้วนะครับ"
"คุณเซนคะ คนวัยนี้ที่ยังแซ่บๆก็มีเยอะแยะไปนะคะ ถ้าจะมาบูลลี่กันอย่างนี้ล่ะก็ ชั้นฟังเพลงของชั้นดีกว่าค่ะ"
แล้วเธอก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่
อ้าว นั่นไง เริ่มงอนอีกแล้วครับคุณป้า! …