เมื่อคืนผมไม่ได้คุยกับพ่อ เพราะกว่าพ่อจะกลับผมก็หลับไปแล้ว ส่วนปู่กลับบ้านมาไม่ดึกนัก แกมาเคาะประตูห้องนอนของผมตอนผมกำลังเล่นเกมออนไลน์อยู่ แล้วแกก็เดินเข้ามาลูบหัวตามเคย แต่ตอนนั้นผมไม่ได้มีอารมณ์จะคุยกะปู่เรื่องป้าลินแล้ว เพราะผมได้ระเบิดการร้องไห้เบอร์ใหญ่ไปแล้วกับคุณมะพร้าว แถมกำลังเล่นเกมติดพันอยู่ ผมจึงได้แต่ทักทายปู่สั้นๆ ทำท่าบุ้ยบ้ายว่าการต่อสู้ในเกมกำลังพีค ปู่จึงยิ้มๆแล้วเดินออกไป
ผมหมกมุ่นอยู่กับเกมหลายชั่วโมงเพื่อให้ลืมความเศร้าเรื่องป้าลิน ซึ่งก็ได้ผล เพราะหลังจากเล่นเกมจนปวดตาและปวดหัว ผมก็ง่วง แล้วก็เข้านอน
เช้านี้ผมตื่นสายมาก ตื่นเอาเกือบเที่ยง พ่อออกไปโรงงานแต่เช้า และคุณมะพร้าวเขาก็พาปู่ไปโรงพยาบาล เหลือแต่คุณแม่บ้านเอาโจ๊กมาให้ผมกิน วันนี้ผมไม่รู้สึกเศร้าเท่าเมื่อวานแล้ว และก็ยังงงตัวเองอยู่ว่าทำไมเมื่อวานผมถึงได้ร่ำไห้เว่อร์วังอะไรจะปานนั้น โคตรเสียฟอร์มต่อหน้าคุณมะพร้าวเลย แต่ช่างมันฮะ ขี้เกียจคิดมากแล้วฮะ คงเป็นอาการช็อกหลังจากได้ยินข่าวร้ายแหละ
แต่ไงวันนี้ผมก็ยังไม่อยากเข้าออฟฟิศ
อ่า… เอ่อ… ยอมรับก็ได้ฮะ ตรงๆก็คือยังทำใจเรื่องป้าลินไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังไม่อยากเจอหน้าป้าแก
ผมเลยนัดไอ้ไอซ์ไอ้คิวไปเล่นสเกตบอร์ดกันทั้งบ่าย แล้วก็ไปกินขนมต่อกันที่บ้านไอ้คิว พอได้เจอกับแม่เล็กก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ก็แม่เล็กแกใจดีเสมอต้นเสมอปลายอะนะฮะ
ผมกลับมาถึงบ้านช่วงเวลาก่อนอาหารเย็นเล็กน้อย ขณะจอดจักรยานเรียบร้อยและกำลังถอดรองเท้าอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ผมก็ได้ยินเสียงปู่ดังออกมาจากข้างใน
"เราก็คงต้องเคารพการตัดสินใจของเค้า"
"เค้าบอกว่าเค้าทำงานที่นี่มานานแล้ว อยากลองเปลี่ยนงานใหม่บ้างน่ะครับ" แล้วก็ตามมาด้วยเสียงพ่อ
สองคนนี่เขากำลังคุยกันเรื่องของป้าลินแน่ๆ ผมรีบถอดรองเท้าอย่างรวดเร็วแล้วพุ่งเข้าไปยังห้องรับแขกที่สองพ่อลูกเขานั่งกันอยู่ ตรงเข้าไปหาคุณเซนแล้วก็เอ่ยปากเข้าประเด็นทันที
"พ่อไปทำอะไรให้ป้าลินเขาเบื่ออะ" ผมรอโอกาสที่จะถามคำถามนี้มานานแล้ว
โอเคฮะ ยอมรับอีกทีก็ได้ว่าแม้จะเล่นเกมทั้งคืนก็แล้ว เล่นสเกตบอร์ดทั้งบ่ายก็แล้ว แต่ผมก็ยังเลิกหมกมุ่นเรื่องของป้าลินไม่ได้เสียที
สองพ่อลูกนั่นเขาหันมามองผมพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ปู่ดูหน้าตาเฉยๆ และพ่อก็ดูหน้าตาเฉยๆ นี่พ่อลูกคู่นี้ไม่ตกใจหรือเศร้าเสียใจกันบ้างเลยเรอะที่ป้าลินลาออกจากบริษัท ไรว้าเนี่ยยยย!
"ป๊าว พ่อไม่ได้ทำอะไร เขาอยากจะลาออกเอง" คุณเซนเขายักไหล่ ท่าทางไม่ได้สนใจอะไรเรื่องของป้าลินมากนัก
อิหยังวะ สรุปเขายังเป็นแฟนกันป่าวเนี่ย แล้วทำไมพ่อดูไร้ความรู้สึกเรื่องนี้อะ นี่แฟนทั้งคนลาออกจากงานนะเว้ยเฮ้ย
หรือว่าเขาโกรธเขางอนกันอยู่?
แต่เอ… หรือไปๆมาๆ เขาเคยเป็นแฟนกันป่าววะเนี่ย
"อ้าว ว่าไงวัยรุ่น นี่ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เมื่อเช้าตื่นสายนะเราน่ะ" ปู่เอ่ยทักทายผมด้วยน้ำเสียงหยอกๆ ผมจึงหันไปยกมือไหว้สวัสดีปู่แบบเขินๆ เอ่อ ว่าแต่คุณมะพร้าวเขาได้เล่าให้ปู่ฟังป่าววะว่าเมื่อคืนผมร้องไห้เรื่องป้าลิน แม่ง คิดไปก็อายย้อนหลังอีกรอบจริงๆว่ะ แต่ดูปู่ยังไม่รู้เรื่องแฮะ คุณมะพร้าวเขาคงไม่เล่าหรอก เขามีหน้าที่ต้องคีพคูลให้ผมด้วย
กลับมาเรื่องของป้าลินต่อก่อนดีกว่า
เอาไงดี ผมควรจะขอคุยกับพ่อสองต่อสองเรื่องป้าลินดีหรือเปล่า หรือคุยเปรี้ยงไปต่อหน้าปู่นี่เลย หรือจะทำเป็นไม่สนใจดี ทำเป็นลืมๆไปซะ ไม่ต้องรื้อฟื้นแล้วจะได้ไม่ต้องเสียใจอีก ป้าเขาอยากจะไปไหนก็เรื่องของเขา
แล้วก็ดูท่าทีของพ่อกะปู่ดิ สองคนนี่เขาเห็นเรื่องการลาออกของป้าลินเป็นเรื่องธรรมดามาก แล้วทำไมผมต้องเดือดร้อนด้วยวะ
แต่…มันก็ยังสงสัยอะนะ
"นี่พ่อไม่คิดจะห้ามป้าลินไม่ให้ลาออกบ้างเหรอฮะ ป้าเขาทำงานเก่งจะตาย พ่อไม่เสียดายคนเก่งๆเหรอฮะ"
"คนไม่มีใจ ห้ามยังไงก็คงจะไปอยู่ดี" พ่อยักไหล่อีกรอบ หน้าตาดูน่าหมั่นไส้มาก
"วันนี้คุณแม่บ้านทำอะไรกินครับเนี่ย ผมหิวแล้ว" แล้วคุณเซนเขาก็เปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉย ไม่ถามผมซักคำว่าผมรู้สึกยังไงที่ป้าลินลาออก นี่ผมเป็นลูกน้องในแผนกของป้าลินเค้านะเว้ยเฮ้ย เจ้านายเล็กลาออก เจ้านายใหญ่ไม่คิดจะสนใจความรู้สึกของลูกน้องในแผนกของเจ้านายเล็กบ้างเลยเรอะครับ นี่พ่อเป็นผู้บริหารได้ยังไงเนี่ย แล้วปู่ก็ปล่อยให้คนอย่างพ่อบริหารงานบริษัทของครอบครัวเราเนี่ยนะ
ผมหันไปมองปู่ด้วยสายตาวิงวอน แล้วก็พยายามเฮือกสุดท้าย
"ปู่ไม่เสียดายพนักงานฝีมือดีๆแบบป้าลินเหรอฮะ ผมเคยได้ยินมาว่าทรัพยากรบุคคลคือหัวใจสำคัญขององค์กรนะฮะ" ผมอ้างโควตคำพูดที่เคยๆเห็นผ่านตาจากในเฟซบุ๊ค คงต้องใช้หลักวิชาการในการโน้มน้าวจิตใจคุณราเชนทร์นิดนึง
ส่วนคุณเซนนั้น ช่างเขาเถอะ
"องค์กรใหญ่ๆอย่างกูเกิ้ลเขายังบอกเลยว่าปัจจัยสำคัญของที่ทำงานที่ดีนั้นก็คือ'คน' ดังนั้นการให้ความสำคัญกับพนักงานคือการเพิ่มมูลค่าขององค์กรที่เยี่ยมยอดที่สุดนะฮะ" ผมพูดไปเรื่อยเปื่อยตามที่เคยๆเผอิญได้ยินมา
ตอนนี้ปู่กับพ่อเขาหันมามองผมอย่างทึ่ง อะ คิดไม่ถึงอะดิ เอาจริงเรื่องงานบริหารผมก็ใช่ย่อยนะฮะ
"หากพนักงานที่มีคุณค่าลาออก เราในฐานะผู้บริหารคงต้องพิจารณาตัวเองว่าเราได้บกพร่องตรงไหนหรือไม่" ผมทำท่าทางซีเรียสพร้อมกับปรายตามองไปทางพ่อ ก็เห็นเขาขมวดคิ้วมองผมแบบสับสนเล็กน้อย ก่อนพ่อจะพูดยิ้มๆ
"นี่คุณเรนครับ คุณจริงจังกับเรื่องของคุณป้าเค้าขนาดนี้เชียวหรือครับ"
"ก็นิดหน่อยอะฮะ เผอิญเห็นว่าคุณป้าเขาทำงานดีก็เลยเสียดาย ไม่เหมือนคนบางคน ดูจะไม่รู้สึกอะไรเลย" ปกติผมไม่ใช่คนช่างประชดประชัน แต่วันนี้ท่าทางของพ่อน่าหมั่นไส้เหลือเกิน
"เรน การเปลี่ยนงานมันเป็นเรื่องธรรมดานะลูก ป้าลินเขาก็ทำงานกับเรามานานแล้ว เขายังมีอนาคตอีกไกล เราห้ามเขาไม่ได้หรอก ไว้เดี๋ยวเรนโตขึ้นจะเข้าใจเอง" ปู่เขาตอบผมยิ้มๆเช่นกัน แถมใช้น้ำเสียงแบบผู้มีประสบการณ์อันโชกโชนในชีวิต
นี่ปู่ก็เห็นด้วยกับพ่อเรอะ
ได้ฮะ งั้นก็ช่างแม่งมันเหอะฮะ ผมเลิกสนใจเรื่องของป้าลินแล้วก็ได้
"คุณมะพร้าวฮะ วันนี้มีอะไรกินฮะ" ผมยอมแพ้โดยการผลักไสเรื่องป้าตาโตนั่นออกไปจากหัว แล้วก็เดินเข้าครัวไปหาคุณมะพร้าว แอบหันมามองพ่อหน่อยนึง ก็เห็นเขาหยิบมือถือขึ้นมาดูคิ้วขมวดแล้วก็เอนหลังพิงโซฟาก้มหน้าก้มตาจ้องแต่เจ้าจอสี่เหลี่ยมนั่น ส่วนปู่ก็เดินไปเปิดทีวีดูรายการเล่าข่าวช่วงเย็น
โอเคฮะ คงต้องจบเรื่องป้าลินแต่เพียงเท่านี้จริงๆ
คงถึงเวลาต้องมูฟออนแล้วว่ะ…
ผมไม่เข้าไปที่ออฟฟิศอยู่หนึ่งอาทิตย์เต็ม ผมบอกพ่อกับปู่ว่ากำลังเขียนการ์ตูนอย่างติดพัน อยากเขียนให้จบก่อน สองคนนั่นเขาก็ไม่ได้ว่าอะไร
ช่วงนี้ผมก็งดเจอลิสาด้วย อยากมีสมาธิเขียนการ์ตูนอย่างจริงจัง เพราะรู้ว่าถ้าเจอลิสาผมก็คงอดไม่ได้ที่จะต้องคิดถึงเรื่องป้าลินลาออก แล้วก็ต้องคุยเรื่องนี้กับลิสา ซึ่งผมไม่อยากคุยเรื่องนี้แล้ว อยากทำใจให้ได้ ชีวิตมันมีพบก็ต้องมีจากกันแบบนี้แหละ ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว คงอย่างที่ปู่บอก ไม่ช้าก็เร็วผมก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้ อีกหน่อยผมก็ต้องรับช่วงกิจการต่อจากพ่อ ผมคงต้องฝึกเอาไว้ คิดจะทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง
ป้าลินเขามีเขียนไลน์มาหาผมนิดหน่อย ถามว่าจะเข้าออฟฟิศบ้างไหม ซึ่งผมก็บอกไปว่าผมต้องเขียนการ์ตูน เขาก็บอกว่าสู้สู้นะ จะรออ่าน …เออ รอไปเหอะ
อาทิตย์ถัดมาผมว่าผมทำใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว คราวนี้ก็เลยตั้งใจจะเข้าไปที่ออฟฟิศทุกวัน
ตอนนี้ข่าวเรื่องป้าลินลาออกก็แพร่ไปทั้งบริษัทแล้ว ป้าเขาบอกล่วงหน้าหนึ่งเดือนตามกฎบริษัท และหลังจากทุกคนในบริษัทได้รับรู้ผมก็ไม่เห็นป้าลินได้มีโอกาสทำงานอีกเลย
คุณป้าเข้ามาออฟฟิศก็จริง แต่วันทั้งวันจะมีแต่คนคอยแวะเวียนเข้ามาพูดคุยร่ำลากับเขา บางทีก็นั่งคุยกันเป็นชั่วโมง ไม่เว้นแม้แต่คนที่โรงงาน คนพวกนั้นพยายามหาโอกาสด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องผลัดกันเข้ามาที่ออฟฟิศเพื่อจะมาหาป้าลิน และในทุกๆวันตอนเที่ยงป้าลินเขาก็ต้องจัดสรรเวลาเวียนไปกินข้าวกับพนักงานกลุ่มต่างๆในบริษัท เพราะป้าเขาสนิทสนมกับทุกคน ใครๆก็อยากจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายนี้กับป้าให้มากที่สุดก่อนที่ป้าจะไม่อยู่แล้ว
ช่วงนี้เหล่าพนักงานเขาอู้งานกันได้เต็มที่ เพราะเผอิญเป็นช่วงที่พ่อเข้าโรงงานเกือบจะทุกวัน คุณเซนเขามีงานที่ต้องจัดการที่นั่น บริษัทเราได้สั่งซื้อเครื่องจักรเลื่อยไม้และเครื่องตัดเย็บเข้ามาใหม่เพราะมีออเดอร์เพิ่มขึ้นเยอะ ก็ออเดอร์โซฟาสีพาสเทลน่าเบื่อของแก๊งพี่มินตราเขานั่นแหละ ผมได้ข่าวว่าโปรดักต์ไลน์นี้ของบริษัทเราขายดีมาก เพราะเจาะตลาดคอนโดของคนรุ่นใหม่ แถมยังไปตีตลาดที่ญี่ปุ่นอีกต่างหาก คนสมัยนี้เขาชอบลายพื้นเรียบๆสีเรียบๆกัน
ช่วงอาทิตย์หลังๆมานี้เป็นช่วงที่ป้าลินดูผ่อนคลายมากขึ้น ต่างไปจากช่วงที่เขาลาออกใหม่ๆ ตอนนั้นคุณป้าเขาดูเครียดๆเศร้าๆสับสนๆยังไงไม่รู้ แต่ตอนนี้นี่เขากลับไปดูร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว
ตอนนี้ป้าลินมีเวลาสอนงานให้พวกพี่ๆหลายคน ไม่เฉพาะแผนกออกแบบของเรา แต่ป้ายังสามารถสอนงานบางอย่างให้กับแผนกอื่นๆด้วย คือคงเพราะป้าเขาทำงานที่นี่มานานเขาเลยรู้วิธีการทำงานทุกขั้นตอนว่ามันสัมพันธ์โยงใยกันยังไง ผมว่าป้าลินเป็นสอนเก่งนะ เขาอธิบายได้เข้าใจง่าย ยกตัวอย่างที่เห็นภาพได้ชัดเจน แล้วที่สำคัญคือคุณป้าสอนสนุก แล้วก็ตลกดีด้วย เขาดูชอบงานสอนนะ ผมว่าเพราะป้าชอบคุยกับคน เขาคุยเก่ง เขาเข้าใจคนอื่นๆ อือม์ อือม์ ดูทรงแล้วคุณป้าน่าจะเป็นพวกครูบาอาจารย์ได้ดี
และช่วงนี้ป้าลินก็เอาใจใส่ผมยิ่งขึ้นไปอีก จากเดิมที่เขาใจดีอยู่แล้ว เขาก็ยิ่งใจดีขึ้นๆไปอีก ก็แน่ล่ะ ป้าคงรู้สึกผิดที่จะทิ้งผมไป ส่วนผมเองก็ทำตัวติดกับเขาเป็นพิเศษด้วยแหละ เขาไปกินข้าวกลางวันกับกลุ่มไหนผมก็จะขอตามไปด้วย อ้างว่าผมเองก็อยากรู้จักกับลุงป้าน้าอาแผนกอื่นๆให้มากขึ้น ซึ่งความจริงแล้วเรื่องที่พวกเขาคุยกันมันน่าเบื่อมาก มีแต่เรื่องนินทากันเองหรือไม่ก็นินทาดารา แต่ผมก็อดทน เพราะผมอยากจะแค่ใช้เวลากับป้าลินทุกนาทีให้มากที่สุด ก็เดี๋ยวผมจะไม่ได้เจอเขาแล้วนี่ ก็ต้องกอบโกยเวลากันหน่อยอะนะฮะ
ส่วนพ่อกับป้าลิน…
ผมเห็นเขาคุยกันน้อยครั้งมาก ส่วนใหญ่พ่อก็ไปอยู่โรงงานเกือบจะทุกวันอยู่แล้ว หรือไม่ก็ออกไปหาลูกค้า หรือถ้าอยู่ออฟฟิศก็คือประชุมแทบจะทั้งวัน ถ้าวันไหนพ่ออยู่แถวนี้ตอนเย็นผมก็รอขี่จักรยานกลับบ้านกับพ่อ
แต่ถ้าพ่อไม่อยู่ ผมก็จะรอกลับพร้อมป้าลิน ผมจะจูงจักรยานเดินไปกับเขาจนถึงรถไฟฟ้า รอจนคุณป้าขึ้นบันไดสถานีไปผมถึงจะขี่จักรยานกลับบ้าน ระหว่างเดินไปด้วยกันผมก็เล่าเรื่องของผมให้เขาฟังมากขึ้น ขอความเห็นจากเขาเรื่องต่างๆไม่เว้นแม้กระทั่งเรื่องการเมือง
เราเข้าใจกันดีทุกเรื่อง
การมีผู้ใหญ่ที่เป็นผู้หญิงที่เข้าใจเราแล้วสามารถเป็นที่ปรึกษาชีวิตของเราได้นั้นมันช่างดีงาม เขาจะรับฟังเราอย่างอ่อนโยน เขาละเอียดอ่อนเห็นอกเห็นใจ ช่วยพูดให้เราสบายใจด้วยความอ่อนหวาน และปลอบโยนเราได้ดี สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ครอบครัวผมคงขาดไป และแม้ผมจะได้ไปหาแม่เล็กแม่ของไอ้คิวบ้างเป็นครั้งคราว แต่แม่เล็กก็ไม่เหมือนป้าลิน แม่เล็กเขาไม่ค่อยรู้เรื่องข้างนอกบ้าน ส่วนน้าพลอย แม้เขาจะดูแลผมตั้งแต่เด็ก แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจมุกตลกกากๆของผม และน้าเขาก็ชอบสั่งสอนผมทุกเรื่องเลยอะ อยู่กับเขาทีไรผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเด็กเลวทุกที น้าพลอยเขาดูเป็นคนดียังไงไม่รู้
เฮ้อ บางครั้งเราก็บอกไม่ได้ว่าทำไมเราอยู่กับคนบางคนแล้วรู้สึกดีมากๆเมื่อเทียบกับอีกคน
วันนี้ตอนพักเที่ยงผมได้มีโอกาสคุยกับป้าคิตตี้และน้าเยลลี่อย่างเป็นส่วนตัวขณะนั่งกินก๋วยเตี๋ยวเป็ดในซอยข้างออฟฟิศ ป้าลินเขาต้องออกข้างนอกไปเซอร์วิสลูกค้าเก่าแก่ และคงถือโอกาสไปร่ำลากันด้วย
"พี่ว่าน้องเรนไม่เข้าใจหรอก ว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาธรรมดาอย่างเรา หัวหน้ามีความสำคัญมากแค่ไหน สำหรับพี่แล้ว พี่ลินเป็นมากกว่าหัวหน้า พี่ลินเป็นทั้งพี่ทั้งเพื่อน" ป้าคิตตี้เขาเริ่มต้นระบายความในใจออกมา หลังจากก๋วยเตี๋ยวชามแรกหมดไปและกำลังนั่งรอชามที่สอง
"การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันสำคัญกับพวกพี่ๆมาก คือพี่ก็เข้าใจว่ามันไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไป แต่เรื่องนี้นับได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่สำหรับชีวิตของพี่ จากนี้ไปพี่คงหมดกำลังใจในการทำงาน" แล้วน้าเยลลี่เขาก็ระบายตามด้วยใบหน้านิ่งเฉย
ผมนั่งฟังอย่างไม่ค่อยเข้าใจที่พวกเขาพูดนัก แต่ก็พยายามเก็บอาการโดยการนั่งนิ่งเฉย ปล่อยให้พวกเขาได้ระบายกันไป
คือผมก็เศร้าที่ป้าลินเขาต้องจากไปนะ แต่มันไม่เห็นจะเกี่ยวกับการทำงาน
"การทำงานมันมีความหมายกับชีวิตมากกว่านั้น มันไม่ใช่แค่มานั่งทำให้เสร็จๆแล้วกลับบ้าน รางวัลในการทำงานของพี่ ไม่ใช่เงินทองหรือถ้วยรางวัล แต่คือการได้ทำงานในตัวมันเองต่างหาก" " ป้าคิตตี้เขาดูเน้นปรัชญา ซึ่งฟังแล้วยากจะเข้าใจไปกันใหญ่แล้ว
"บางทีเราก็ไม่ได้ทำงานเพื่อแค่เงิน บางทีเราแค่อยากมาทำงานทุกๆวันเพราะเรามีสังคมที่นี่ พี่มีความสุขที่ได้มาที่นี่ได้มาเจอพี่ลิน ได้มาคุยกับพวกเรา" โอเค น้าเยลลี่เขาพูดได้เคลียร์มากขึ้น แต่เอ่อ นี่น้าเยลลี่เขามีความสุขจริงอะ แล้วทำไมหน้าตาเขานิ่งๆตลอดเวลาวะ
ซึ่งอันนี้ผมก็เห็นด้วย ความจริงที่ผมชอบเข้ามาทำงานที่่ออฟฟิศ นอกจากผมอยากจะเข้ามาโชว์ความอัจฉริยะของตัวเองแล้ว การได้มาเจอพวกลุงป้าน้าอามันเป็นการเปิดโลกใบใหม่ให้กับผม โดยเฉพาะแผนกของป้าลิน พวกเขาตลกดี
เชี่ย ตอนนี้ภาพความสุขของตอนที่ทีมของเราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตามันกำลังตามมาหลอกหลอน ผมชอบตอนที่พี่เอกลุงสุกรีป้าคิตตี้น้าเยลลี่และป้าลินเขาหยอกล้อกันมากๆ บรรยากาศมันรื่นเริงสดใส มันทำให้ผมทำงานอย่างเพลิดเพลินและสนุกสนาน
คิดแล้วก็โกรธป้าลินอีกรอบที่ทำลายความสุขทั้งหมดนี่ของผม โคตรโกรธ
เดี๋ยวนะ นี่ผมเป็นไบโพล่าร์เหรอวะ เดี๋ยวโกรธ เดี๋ยวมีความสุข เดี๋ยวทำใจได้ เดี๋ยวน้อยใจ เดี๋ยวเศร้าอีกแล้ว
ช่วงเวลาสามอาทิตย์สุดท้ายนี่ที่ผมยังได้เจอป้าลินมันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกมีความสุขมาก …แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้ามากเช่นกัน
ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน
หรือว่าการมีอารมณ์อันซับซ้อนเช่นนี้ มันคือสัญญาณว่าผมได้โตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว…