ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน ในที่สุดวันสุดท้ายของการทำงานของป้าลินก็มาถึง ซึ่งเผอิญเป็นวันศุกร์พอดีเสียด้วย
พ่อจัดงานเลี้ยงส่งให้กับคุณป้าอย่างสมบูรณ์แบบ เลี้ยงกันตอนเย็นหลังเลิกงานที่ชั้นล่างที่เป็นห้องโชว์รูมนั่นแหละ พ่อมอบหมายให้ป้าคิตตี้เป็นคนจัดงาน ให้งบไม่อั้น ป้าคิตตี้เลยสั่งอาหารญี่ปุ่นจากร้านชื่อดังที่สุดของย่านทองหล่อ และงานนี้พ่ออนุญาตให้มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ (คิดว่าคงอยากเอาใจป้าลินมั้ง) ป้าคิตตี้เลยสั่งบาร์เครื่องดื่มมาจากผับของลุงเวฟเพื่อนของพ่อ
พอตกบ่ายแก่ๆก็มีลุงป้าน้าอาพนักงานจากทางโรงงานทยอยกันมาช่วยจัดสถานที่ ผมก็เข้าไปช่วยกะเขาด้วย เรายกพวกบรรดาโซฟาตั้งโชว์ทั้งหลายออกไปเก็บไว้บนชั้นสอง แล้วทำเวทีด้วยแผ่นอลูมิเนียมสำเร็จรูปซึ่งไปเช่ามา และจัดโต๊ะกินข้าวแบบยาวๆมีที่นั่งสองข้างให้ทุกคนได้หันหน้าไปทางเวทีได้ น้าเยลลี่เขารับหน้าที่ตกแต่งสถานที่ซึ่งประดับประดาไปด้วยลูกโป่งหลากสีและป้ายอำลาขนาดใหญ่
เท่าที่คุยกับป้าคิตตี้ดูเหมือนว่าทุกคนในบริษัทจะตอบตกลงมาร่วมงาน ไม่มีใครยอมพลาด ป้าคิตตี้แอบกระซิบว่า ใครจะพลาดล่ะกินฟรีดื่มฟรีอาหารดีขนาดนี้ แถมยังจะปิดงานด้วยการแดนซ์กันอีก
งานเริ่มอย่างเป็นทางการตอนหกโมงเย็น มีพ่อกล่าวเปิดพิธีเล็กน้อย แล้วก็เริ่มกินอาหารเย็นกันเลย อาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ ตักแล้วก็ไปนั่งกินกลุ่มใครกลุ่มมัน พ่อเรียกผมให้มานั่งกินร่วมโต๊ะเดียวกัน โต๊ะพ่อแอนด์เดอะแก๊งคนชรา ซึ่งประกอบไปด้วยคุณตาไมตรีอดีตผู้บริหารมือขวาของปู่ คุณตายุทธ์กับคุณตาป้อมยามบริษัท คุณตาสมานคนขับรถ และคุณยายผ่องแม่บ้านประจำออฟฟิศ
ส่วนป้าลินก็นั่งกับแก๊งออกแบบของเขา ผมแอบเห็นพ่อปรายตามองไปที่ป้าบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก
อ้อ วันนี้ปู่กับคุณมะพร้าวก็มาด้วยนะฮะ มากันตอนพ่อพูดเปิดงานพอดี แล้วก็มานั่งกินบุฟเฟ่ต์ร่วมโต๊ะกับผมและพ่อและบรรดาแก๊งคนชรานี่แหละ ปู่ดูมีความสุขที่ได้กลับมาเจอพนักงานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนเข้ามาสวัสดีทักทายปู่ไม่ขาดสาย เขาคงมีความคิดถึงกันบ้างแหละเนอะ
บางครั้ง…การจากไปของใครบางคน ก็อาจทำให้เกิดการพบเจอกันของใครอีกหลายคน
หลังอิ่มหนำกับอาหารเย็นกันเรียบร้อย ก็มาถึงช่วงกล่าวคำอาลากันบนเวที ผมไม่รู้ว่าที่บริษัทอื่นๆเขาเป็นแบบนี้กันหรือเปล่า เพราะไม่เคยทำงานที่ไหนนอกจากบริษัทนี้ คือที่นี่เขาอำลาอาลัยกันยาวนานมาก มีคนขึ้นไปเป็นตัวแทนกล่าวอำลากว่าสามสิบคน ป้าคิตตี้ซึ่งเป็นคนจัดคิวงานบอกว่าพยายามจะตัดคิวแล้ว แต่ไม่มีใครยอม ทุกคนอยากจะร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการกล่าวคำอำลาป้าลิน
ตลอดเวลาร่วมชั่วโมงกว่าที่เขากล่าวอำลากัน แรกๆผมก็นั่งฟังอย่างเบื่อหน่าย เพราะส่วนใหญ่เขาจะชอบรื้อฟื้นอดีตความหลังกันครั้งตั้งแต่สมัยเจอป้าลินใหม่ๆ ก็คุณป้าเขาอยู่มานานกว่าทุกคนอะนะฮะ อยู่มาสิบกว่าปีมั้ง อยู่เข้าไปได้ไง
"วันที่พี่เจอน้องลินเป็นครั้งแรก วันนั้นพี่เข้ามาทำงานเป็นวันแรก น้องเดินเข้ามาทักพี่ก่อนเลย น้องลินเป็นคนแรกที่พี่รู้จัก ที่พี่ได้พูดคุยด้วย พี่ไม่เคยได้รับเค้กวันเกิดจากใครมาก่อนในชีวิต ที่นี่เป็นที่แรก แล้วน้องลินก็เป็นคนเตรียมเค้กนั้น เตรียมให้ทุกๆคน…" ป้าวันเพ็ญเขาขอเริ่มเป็นคนแรก แล้วก็พูดไปสะอื้นไป ไรของเค้าเนี่ย เปิดมาก็ร้องเลย พูดนานด้วยอ่า
"ตอนหนูเข้ามาทำงานวันแรก พี่ลินชงกาแฟให้หนูด้วยค่ะ พี่แนะนำหนูทุกอย่าง ทั้งๆที่เราอยู่คนละแผนกกัน" นี่เป็นน้าจิ๊บแผนกบัญชี เขามีน้ำตาคลอๆ คาดว่าคงซึ้งตามป้าวันเพ็ญไป
"ถึงป้าจะอยู่มาก่อนคุณลิน แต่คุณลินเข้ามาได้อาทิตย์เดียวก็รู้จักคนในบริษัทเยอะกว่าป้าอีกค่ะ คุณลินรู้จักคนทั้งบริษัทเราเลย แล้วนี่ถ้าคุณลินไม่อยู่ ใครจะเป็นคนจัดแจกันดอกไม้ในห้องครัวกับในห้องทำงานใหญ่คะ" คุณยายผ่องแม่บ้านเขาช่วยยืนยันความป๊อปปูล่าร์ของป้าลิน แล้วนี่ป้าลินเป็นจัดคนดอกไม้พวกนั้นหรอกเรอะ ผมเพิ่งรู้ เห็นดอกไม้สวยๆมันผลัดกันมาตั้งอยู่ทุกวันอย่างนั้นก็เลยไม่ได้สนใจเท่าไหร่
"หนูไม่รู้ว่าบริษัทนี้ที่ขาดพี่ลินไปจะเป็นยังไง บริษัทเราคงขาดสีสัน หนูนึกไม่ออกว่าต่อไปหนูจะเม้าท์สารพัดเรื่องกับใครได้อีก" พี่น้ำหวานประชาสัมพันธ์คนสวยส่งสายตาเศร้าสร้อย คนนี้ก็น้ำตาคลอตลอดเวลาเหมือนกัน
คราวนี้ก็ถึงตาพี่มินตรา คู่แข่งคนสำคัญของป้าลินเขา
"พี่ลินเป็นคนสอนงานให้เรา แม้สไตล์ของพี่ลินอาจไม่ตรงยุคแล้ว แเต่เราก็ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายจากประสบการณ์ที่ผ่านมาของพี่ลิน บางสิ่งอาจเป็นสิ่งโบราณ แต่เราก็คิดว่ามันก็ดูมีคุณค่าดี"
เชี่ย พี่มินตราเขาโคตรตรง สมกับเป็นคนรุ่นใหม่
ยิ่งคนขึ้นมาพูดร่ำลาบนเวทีเยอะขึ้น ผมว่ามันเริ่มน่าสนใจขึ้น ตรงที่ผมเองก็เพิ่งรู้ว่ามีคนรักป้าลินมากมายขนาดนี้
"น้องลินอยู่ต่ออีกอาทิตย์นึงไม่ได้เหรอ วันศุกร์หน้าจะวันเกิดพี่แล้ว ถ้าน้องลินไม่อยู่ใครจะจัดการเรื่องเค้กอะ" ป้าคนนี้ผมจำชื่อเขาไม่ได้ แต่น่าจะอายุพอๆกับป้าวันเพ็ญ เขาคงอยากจะได้เค้กวันเกิดเหมือนที่ป้าวันเพ็ญได้
"คุณลินซื้อปาท่องโก๋มาฝากผมตอนเช้าๆเสมอครับ" โอ้ ป้าลินเขาเอื้อเฟื้อไปถึงคุณตายุทธ์ยามกะกลางวันของเรา
"คุณลินออกไปซื้อบะหมี่มาฝากผมทุกครั้งที่คุณลินทำงานอยู่ถึงค่ำๆ" และป้าเขาก็ไม่ละเลยคุณตาป้อมยามกะกลางคืนของเรา
งั้นที่ป้าลินเขาเอาใจใส่ผม มันก็คงไม่ใช่แค่เพราะผมเด็กสุดในบริษัทแล้วก็เป็นลูกพ่อ แต่เป็นเพราะป้าเขาเอาใจใส่ทุกคนรอบข้างอยู่แล้วต่างหาก ป้าเขาแม่งช่างเวลาเหลือเฟือจริงๆนะครัช
"ของขวัญชิ้นแรกตอนลูกสาวผมเกิด ก็คือของขวัญจากทางบริษัทเราแล้วก็มีการ์ดอวยพรที่คุณลินทำเอง ผมยังเก็บการ์ดนี้ไว้อยู่ อยากให้ลูกสาวเขาได้อ่านตอนเขาโต" ลุงคนนี้ผมจำได้ว่าเขาเป็นช่างไม้อยู่ที่โรงงาน
เชี่ย นอกจากบริษัทเราจะมีเค้กวันเกิดให้กับพนักงานแล้ว ยังมีของขวัญให้กับทารกแรกเกิดอีก!
"ตอนแม่หนูป่วยแล้วหนูต้องทำงานดึก หนูก็ได้พี่ลินไปช่วยเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลแทน" คนนี้น่าจะชื่อพี่ปูเป้ อยู่แผนกอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าตอนนี้เขาน้ำตาไหลพราก
โอ้ว นี่ความมีน้ำใจของป้าเขาไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในออฟฟิศ แต่ยังลามปามไปถึงเรื่องส่วนตัวด้วย
สิ่งที่ป้าลินเขาทำมันดูเหมือนเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน แต่พอมันมาถูกเปิดเผยในครั้งเดียว มันก็ดูเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม นึกไม่ถึงว่าบรรดาลุงป้าน้าอาในบริษัทเราที่บางคนหน้าตาดูเฉยๆจะจดจำเรื่องเล็กน้อยต่างๆเหล่านี้กันได้แม่นยำ
ผมว่านะ บางทีการที่เราทำอะไรให้ใคร แล้วเขาไม่ได้แสดงความประทับใจออกมา มันก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาไม่รับรู้ป่าววะ เขาจะแอบเก็บความซาบซึ้งนั้นไว้ในใจคนเดียวก็ได้
"พี่ลินเป็นคนเก่งค่ะ เก่งในทุกๆเรื่อง เรื่องที่พลอยไม่นึกว่าพี่ลินจะเก่ง พี่ลินก็เก่ง" อันนี้คือคำอำลาจากน้าพลอย แต่ผมว่าฟังแล้วมันแม่งๆยังไงไม่รู้แฮะ นี่อวยกันจริงๆเหรอฮะ ผมเห็นน้าพลอยยิ้มแปลกๆด้วย โอเค ปล่อยไปก่อน
ส่วนคนที่ต้องขึ้นไปพูดปิดท้ายก็แน่นอน คือ… พ่อของผมเอง คุณเซนประธานบริษัท
อ๊ะ อ่อ แต่ก่อนพ่อจะขึ้นไป ก็ต้องเป็นปู่ก่อนสินะ
ที่ผ่านๆมาเวลาคนอื่นๆพูดก็จะมีเสียงแทรกดังจ้อกแจ้กจอแจเซ็งแซ่ แต่ตอนปู่ขึ้นไปพูดนี่ทุกคนเงียบกริบ ก็นานๆทีปู่เขาจะพูดยาวๆทีอะนะฮะ
"คุณลินเธอเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของบริษัทเรา ทรัพยากรบุคคลคือหัวใจสำคัญขององค์กร" ปู่เริ่มต้น
แต่เดี๋ยวนะฮะ คำพูดนี่มันคุ้นๆ เหมือนเป็นคำพูดของผมที่เคยพูดกับปู่หรือเปล่าวะ ผมขมวดคิ้วมองไปที่ปู่อย่างหาเรื่อง
"ผมไม่รู้จะสรรหาถ้อยคำไหนมาขอบคุณในสิ่งที่คุณลินทำให้กับบริษัทของเราในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมกล้าพูดได้ว่า ถ้าไม่มีคุณลิน บริษัทของเราจะไม่มีวันเติบโตมาถึงจุดนี้ได้"
ปู่เขาเท่จริงๆอ่า คำพูดมีจังหวะและหนักแน่น ผมหันไปมองรอบๆ เห็นนั่งนิ่งตั้งใจฟังกันทุกคน หลายคนมีน้ำตาคลอเบ้า และก็แน่นอนฮะ ป้าลินน้ำตาไหลพราก
"ผมยินดีและขอสนับสนุนกับอนาคตในทุกๆทางที่คุณลินเลือก และอยากจะให้คุณลินรู้ไว้ว่า คุณลินกลับมาที่นี่ได้ทุกเวลาที่คุณต้องการ จะแค่กลับมาเยี่ยม หรือกลับมาทำงานด้วยกันอีก พวกเราทุกคนยินดีต้อนรับคุณลินเสมอครับ"
โอววววว ปู่ปิดสปีชได้อย่างโคตรซึ้ง เสียงปรบมือดังก้องห้องจัดงาน ป้าลินลุกขึ้นไปยกมือไหว้ขอบคุณปู่ถึงบนเวที และประคองพาปู่กลับลงมานั่งที่โต๊ะ สองคนนี่เขาทำงานด้วยกันมานาน น่าจะผูกพันกันอยู่มาก
โอเค คราวนี้ถึงคิวของคุณเซนเขาจริงๆล่ะฮะ
ตลอดเวลาที่พ่อพูด ตาตี่ๆของพ่อจ้องมองไปที่ป้าลินเพียงคนเดียว
"ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย ทุกคนได้พูดไปหมดแล้ว แถมคุณราเชนทร์ยังมาแย่งซีนอีก" พ่อเขาขึ้นสปีชมาด้วยมุกยิ้มๆ โอเคฮะ มีเสียงหัวเราะจากคนข้างล่างเวทีมาประกอบเล็กน้อยพอไม่ให้กร่อย
"ผมแค่อยากจะยืนยันว่า คุณลินคือแรงบันดาลใจและความสดใสสำหรับพวกเรา คุณมีความหมายกับพวกเรามากกว่าที่คุณคิด ขอบคุณจริงๆสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างครับ" พ่อพูดสั้นมากๆ แต่ก็ช้าๆและชัดเจนไม่แพ้ปู่ เอาจริงพ่อลูกคู่นี้ปกติเขาอาจพูดไม่เยอะ แต่พอต้องพูดทีก็ต้องยอมรับกันนะครัช ว่าเท่นะครัช
"และทางบริษัทของเราก็มีของเล็กๆน้อยๆอยากจะมอบให้คุณลินเป็นที่ระลึกด้วยครับ"
ของขวัญชิ้นนี้พ่อผมเขาเป็นคนฝากฝังให้ป้าคิตตี้ไปจัดหามา มันคือกล่องสีไม้ที่ระบายเป็นสีน้ำได้ เป็นกล่องไม้สองชั้นอย่างหรูมีแท่งสีอยู่ทั้งหมดร้อยยี่สิบแท่งยี่ห้อ Faber-Castell ราคาหมื่นกว่าบาท ใช่แล้วฮะ แบบเดียวกับที่อยู่ในห้องออกแบบนั่นแหละฮะ ไอ่กล่องนี้มันเป็นอะไรที่ป้าลินเขารักมากเป็นพิเศษ เขาเข้ามาใช้มันวาดรูปทุกวัน บางวันก็แอบหยิบเอาไปวาดที่บ้านบ้างสองสามแท่ง แต่ป้าเขาก็เอามาคืนทุกครั้ง แต่หลังจากนี้ไปคงไม่ต้องมาแอบหยิบแล้ว เพราะนี่พ่อเขาซื้อใหม่ให้ป้าลินได้ครอบครองคนเดียวทั้งกล่อง ให้เอาไปวาดเล่นที่บ้านให้หนำใจเลย
ผมยังจำสีหน้าท่าทางของคุณป้าได้ดี เวลาที่เขาบรรจงจับเจ้าบรรดาแท่งสีไม้พวกนี้ตวัดลายเส้นไปมา มาดของคุณป้าเท่มากๆ แม้ว่าเขาจะแก่แล้วแต่มือของเขาก็ยังดูพลิ้วไหว สีหน้าของป้าดูอิ่มเอิบ และสายตาของป้าก็ดูนุ่มละมุน คุณป้าเค้าคงหลงรักในเสน่ห์ของลายเส้นและสีสันเหมือนผม
คนทั่วไปเขาอาจจะมองดูไอ่กล่องนี้เหมือนเป็นของเล่นฟุ่มเฟือย แต่ผมรู้ดีว่าสำหรับป้าลินแล้วมันมีค่าขนาดไหน มันคือส่วนหนึ่งของตัวตนของป้าเขาอะนะฮะ ซึ่งเอาจริงผมก็อยากได้เหมือนกันไอ่กล่องนี้อะ เคยขอพ่อกะปู่ให้ซื้อให้อยู่เรื่อยๆ แต่สองคนนั่นเขาไม่ยอมใจอ่อนซื้อให้ เขาบอกว่ามันแพงไป ให้ผมเก็บเงินซื้อเอง ซึ่งผมก็กำลังเก็บเงินอยู่ แต่เอ ถ้าผมทำงานบริษัทนี้ไปหลายๆปี แล้ววันนึงผมลาออก พ่อก็อาจจะให้ของขวัญลาออกกับผมเป็นไอ่สีกล่องนี้เหมือนที่ให้ป้าลินเขาก็เป็นได้
นอกจากกล่องสีไม้เป็นของขวัญร่ำลาแล้ว พวกเรายังได้จัดเตรียมการ์ดร่ำลาให้ป้าลินอีกด้วย เป็นรูปการ์ตูนขนาดใหญ่ขนาดแผ่นกระดาษเอสอง แน่นอนสิฮะ ผมต้องวาดเอง ตั้งใจให้เป็นบันทึกบรรยากาศการทำงานในออฟฟิศของเรา ในการ์ดมีป้าลินยืนตาโตๆอยู่ตรงกลาง มีปู่นั่งยิ้มอยู่ด้านซ้าย มีพ่อยืนตาตี่อยู่ด้านขวา แล้วก็แวดล้อมไปด้วยลุงป้าน้าอาบรรดาพนักงานของเราที่กำลังทำโน่นทำนี่กันวุ่นวาย คำว่าพนักงานของเรานี่คือพนักงานทุกคนนะฮะ ย้ำว่าทุกคนเลยจริงๆ รวมไปถึงที่โรงงานด้วย ป้าคิตตี้เขาให้รายชื่อผมมา
คือที่ผมเข้ามาทำงานทุกวันในช่วงนี้ไม่เคยขาด ก็เพราะต้องมาแอบจดจำคาแรคเตอร์ของแต่ละคนแล้วเอากลับไปวาดการ์ตูนเลียนแบบที่บ้านด้วยตัวเอง ผมใช้เวลาวาดทุกๆคืนอยู่สองอาทิตย์ แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน โคตรจะเหนื่อย เป็นช่วงชีวิตที่ทรหดมาก แล้วก็ไม่ใช่แค่ลายเส้นนะฮะ ผมลงสีน้ำด้วย สีสันและลวดลายของเสื้อผ้าพวกนั้นก็เหมือนกับที่แต่ละคนใส่มาทำงานกันจริงๆ ระดับผมแล้วต้องจัดเต็มเท่านั้นฮะ
อาทิตย์ที่แล้วพอวาดเสร็จ ผมก็รีบเอามาให้ป้าคิตตี้เขาแอบตระเวนไปให้ทุกๆคนในบริษัทเซ็นชื่อร่ำลาที่ด้านหลังของภาพ ไม่เว้นแม้แต่ที่โรงงาน ลุงป้าน้าอาเขาตื่นเต้นกันมาก เอ่ยชมกันไม่ขาดปากว่าผมวาดพวกเขาได้เหมือนเกินตัวจริง ก็แหงอะฮะ ฝีมือระดับเทพอย่างผม ไม่ปล่อยผลงานกากๆออกไปอย่างแน่นอน
ฮะ แล้วก็คงเดากันถูกสินะฮะ ว่าสีหน้าของป้าลินตอนเห็นกล่องสีไม้และเห็นภาพการ์ตูนจะเป็นยังไง
ไม่ต้องบรรยายฮะ ก็น้ำตาแตกอีกรอบอะสิฮะ ได้ของถูกใจกลับบ้านไป ป้าแกพร่ำบอกขอบคุณทุกๆคนไม่หยุด พอป้าคิตตี้ยื่นไมค์ให้ แกก็บอกว่าไม่รู้จะพูดอะไร ปกติป้าแกพูดเก่ง แต่วันนี้ซึ้งจัดคงพูดไม่ออก แต่ในที่สุดป้าคิดตตี้ก็บังคับให้ป้าลินเขาพูดจนได้ คุณป้าจึงจำต้องเอ่ยออกมาทั้งเสียงสะอื้น
"ขอบคุณทุกคนมากจริงๆค่ะ การได้ทำงานกับทุกๆที่นี่คนทำให้ชีวิตของลินมีความสุข บอกได้เลยว่านี่คือบ้านหลังที่สองของลิน เป็นบ้านที่อบอุ่น เป็นที่พักพิงทั้งทางใจและทางการเงิน" โอเค เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน ก็ต้องมีเสียงฮาตามมา
"ที่นี่เป็นที่ที่ทำให้ความฝันของลินเป็นจริง ขอบคุณคุณโทโมโกะที่สร้างแรงบันดาลใจในการทำงานให้กับลิน ขอบคุณคุณราเชนทร์ที่ได้เปิดโอกาสให้ลินได้สร้างตัวตน ได้ทำอย่างที่ใจอยากจะทำ มันมีค่าและมีความหมายสำหรับอาชีพนักออกแบบอย่างเรามาก และท้ายสุด ขอขอบคุณคุณเซนที่นำบริษัทของเราให้ก้าวต่อไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง"
ตอนนี้ป้าลินเขาหันไปสบตากับพ่อที่ยังยืนอยู่บนเวทีด้วย ป้าจะขอบคุณพ่อทำไมเนี่ย ก็เพราะพ่อแหละ ป้าถึงได้ลาออกไงป้า
คนทั้งสองยืนยิ้มสบตากันครู่หนึ่ง ซึ่งก็แน่นอนว่าคนทั้งบริษัทกำลังจ้องมองการสบตานี้ว่าจะสื่อความหมายอะไรหรือไม่ ผมเองก็พยายามค้นหาเหมือนกัน ซึ่งก็สรุปได้ว่า…
ไม่มีอะไรพิเศษ! ตาโตๆนั่นมันก็เหมือนสายตาที่ป้าลินมองปู่ หรือมองคุณตายุทธ์ และตาตี่ๆนั่นมันก็เหมือนกับสายตาที่พ่อมองคุณยายผ่อง หรือมองป้าวันเพ็ญ เฮ้อ…
หลังพ่อและป้าลินลงจากเวทีไปแล้ว ป้าคิตตี้ก็ได้ขอให้ทุกคนช่วยกันย้ายโต๊ะยาวไปที่ด้านข้าง และบริเวณหน้าเวทีก็ถูกจัดเป็นโต๊ะกลมสำหรับยืนดริงก์ ตอนนี้แก๊งคนชราเขาหลบไปนั่งอยู่ไกลๆกันแล้ว ส่วนพ่อก็ยืนคุยกับคนโน้นคนนี้อยู่ข้างๆเวที
การจัดสถานที่ใหม่ใช้ในเวลาไม่นานก็เรียบร้อย แล้วป้าคิตตี้โฆษกของงานก็ก้าวขึ้นไปบนเวทีอีกครั้ง ป้าคิตตี้เค้ารับหน้าที่ทุกอย่างในงานนี้ เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวเพื่อ'ซิส'ของเค้า
"และณ จุดจุดนี้ ยังมีคนสำคัญอีกคนของคุณพี่ลินที่งานคืนนี้จะขาดเขาไม่ได้แน่นอน ขอเชิญน้องเรนค่า" ป้าคิตตี้หันมามองผมพร้อมกับผายมือมายังหน้าเวทีที่ผมยืนอยู่
ผมยิ้มตอบป้าคิตตี้แล้วก็หันไปชูสามนิ้วและยักคิ้วให้กับป้าลินที่ยืนอยู่ข้างๆ ก่อนจะก้าวขึ้นไปบนเวทีอย่างมั่นใจ พร้อมๆกับแขกรับเชิญอีกคนหนึ่งที่เก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์สำหรับป้าลิน แขกคนนี้เขามาหลบซ่อนตัวอยู่นาน แล้วก็ถึงเวลาที่เขาเดินมาจากไหนไม่รู้ขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับกีตาร์โปร่งตัวนึง …ลุงสุกรี
การปรากฏตัวของผมและลุงสุกรีพร้อมๆกันบนเวทีเรียกเสียงกรี๊ดไม่หยุด จนป้าคิตตี้ต้องจุ๊ปากทำไม้ทำมือให้ทุกคนเงียบก่อน ลุงสุกรีถอยไปนั่งที่เก้าอี้หัวกลมตรงกลางเวทีและยกกีตาร์ขึ้นมาเตรียมพร้อม ส่วนผมก้าวมายืนเด่นหน้าเวที แล้วยกมือทั้งสองข้างขึ้นประคองไมค์ที่อยู่บนขาตั้ง ก่อนจะหันไปมองพ่อที่ข้างๆเวทีกับมองปู่ที่นั่งอยู่ไกลๆกับแก๊งคนชรา เห็นสองคนนั่นหน้าตาเลิ่กลั่กมาก พ่อลูกคู่นี้เขาไม่รู้แผนการของผมหรอก
แล้วลุงสุกรีก็ขึ้นอินโทรด้วยเสียงกีตาร์อันพลิ้วไหว ตอนนี้ผู้คนในห้องโถงต่างเงียบกริบ
"ฉันไม่เคยรู้ คนที่สำคัญ นั้นมีค่าแค่ไหน…"
แล้วน้ำเสียงแหบนุ่มอันทรงพลังของผมก็ถูกเปล่งออกมาทำลายความเงียบนั้น
"น้องเรนนนนนนน!!!!" แค่ขึ้นต้นเพลงก็ทำเอาลุงป้าน้าอาเขาก็กรี๊ดกันบริษัทแทบแตก
"นอกจากหน้าหล่อแล้วเสียงยังหล่ออีก!!!!"
"โอปป้าน้องเรน!!!!!"
ผมพยักหน้าน้อยๆรับเสียงกรี๊ดนั่น แล้วก็ร้องเพลงต่อไปพลางจ้องมองไปที่ป้าลินที่ยืนนิ่งอยู่หน้าเวที
"ฉันไม่เคยรู้ วันที่สวยงาม นั้นมีค่าเท่าไร…"
ฮะ แน่นอนฮะ มหกรรมน้ำตาไหลพรากจากดวงตาคู่โตนั่นเลยฮะ
"ไม่เคยรู้เวลาที่เรามีกัน นั้น… ดีเท่าไร… ไม่เคยรู้ว่าความคิดถึง มันทรมาน… แค่ไหน…" แล้ววรรคต่อๆมาของเพลงก็ตามด้วยเสียงร้องของคนทั้งบริษัท ผมฟังไม่ผิดแน่ มันคือเสียงร้องเพลงที่ปนไปกับเสียงสะอื้น
อา… คนในบริษัทนี้เขาช่างเปราะบางกันเสียจริง…
ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเพลงนี้มันเป็นเพลงยอดฮิตขนาดนี้ ผมได้ฟังครั้งแรกจากมือถือของลิสา เวอร์ชันนั้นเป็นเวอร์ชันที่นักร้องเกาหลีวง GOT7 เขาร้องกันบนเวทีคอนเสิร์ต ตอนผมฟังผมก็ยังทึ่งว่าพวกคนเกาหลีหน้าตาหล่อๆพวกนั้นเขาช่างมีความพยายามกันมาก เขาผลัดกันร้องเป็นภาษาไทยกันทั้งเพลง แถมร้องได้ดีเสียด้วย เห็นลิสาบอกว่าคนชื่อจินยองร้องได้ชัดสุดรองจากแบมแบมซึ่งเป็นคนไทย อือม์ สารภาพว่าผมมองไม่ออกจริงๆว่าใครเป็นใคร ก็ดารานักร้องเกาหลีเขาหน้าเหมือนๆกันหมดอะ
คือตอนที่ป้าคิตตี้บอกว่าจะให้ผมขึ้นพูดถึงป้าลินเป็นคนท้ายสุดของสุดท้าย ทีแรกผมก็บ่ายเบี่ยง ผมเกลียดการแสดงความซาบซึ้ง พยายามหลีกเลี่ยงป้าคิตตี้อยู่หลายวัน คือจะให้ผมมาพูดอำลาอาลัยอะไรพวกนี้ต่อหน้าสาธารณชนมันไม่ใช่ผมเลยจริงๆอะ แต่ป้าคิตตี้เขาเกลี้ยกล่อมว่า คนที่ป้าลินเขาแคร์ที่สุดในบริษัทตอนนี้น่าจะเป็นผมนะ ป้าเขาคงอยากฟังคำอำลาอย่างเป็นทางการจากผมมากที่สุด ถ้าผมไม่พูดอะไรเลย ป้าลินคงจะเสียใจมาก
ผมไม่อยากจะเชื่อ ถ้าป้าเขาแคร์ผม เขาก็ต้องไม่ลาออกดิ
แต่โอเค ก็ได้ ก็ได้ ถึงจะเกิดมาไม่เคยต้องทำอะไรแบบนี้ ผมก็ถือว่าทำให้ป้าลินเขาเป็นครั้งสุดท้ายละกัน
จากนั้นผมก็นั่งคิดนอนคิดว่าจะพูดอะไรดี กูเกิ้ลหรือยูทูปดูก็เจอแต่ตัวอย่างการพูดแบบเชยๆโบราณๆ แล้วก็อีกอย่าง มาให้ผมพูดเป็นคนสุดท้าย มันจะเหลืออะไรให้พูดอีกวะ คนอื่นเขาก็ชิงพูดกันไปหมดแล้วดิ แถมยังต้องพูดต่อจากปู่และพ่ออีก อย่างซวย
ตอนนั้นผมคิดอยู่นานหลายวันก็ยังคิดไม่ออก จนได้ฟังเพลงนี้ที่ลิสาเขาเปิดจากมือถือนี่แหละ ผมว่าความหมายมันดีอยู่นะ มันน่าจะทำให้ป้าลินเขาประทับใจ ผมฝึกร้องคนเดียวอยู่หลายวัน ร้องไปวาดรูปการ์ตูนไป อาบน้ำก็ร้อง นั่งขี้ก็ร้อง ขี่จักรยานมาทำงานก็ร้อง แล้วก็นึกขึ้นได้ว่า เคยได้ยินลุงสุกรีเขาร้องเพลง เขาร้องเพราะมาก แล้วเขาก็เคยเล่าให้ผมฟังว่าเขาเล่นกีตาร์เป็น ผมเลยติดต่อลุงเขาไปให้ช่วยเทรนเรื่องการร้องเพลงให้ ซึ่งผมเก็บเรื่องนี้เป็นความลับมากๆ กับลิสาก็ไม่เล่า เพราะกลัวลิสาปากโป้ง มีแค่ผมกับลุงสุกรีเท่านั้นที่รู้กัน ลุงเขาบอกว่าผมเสียงเท่ดี แหบๆนุ่มๆแบบนี้สาวๆต้องกรี๊ดสลบแน่ๆ
"ไม่เคย… ไม่เคย… ไม่เคย…"
ผมทิ้งท้ายท่อนแรกด้วยเสียงแหบนุ่มแล้วมองไปรอบๆห้อง ตอนนี้น่าจะมีแค่ผมกับพ่อล่ะมั้งที่ยังไม่มีหยาดน้ำตาบนใบหน้า ก็ผมทำใจมาหลายวันแล้ว ตั้งใจว่าจะไม่มีวันร้องไห้อีก
ส่วนพ่อ… เขายืนหลังตรงกอดอกอยู่ตรงข้างๆเวที นัยน์ตาเขาจับอยู่ที่ป้าลินที่ยืนอยู่ตรงกลางหน้าเวทีตลอดเวลา ผมเห็นเขาสองคนสบตากันเนิ่นนาน ตาตี่ๆนั่นดูแดงๆช้ำๆ ส่วนตาโตๆนั่นน้ำตาไหลพราก แววตาของทั้งคู่ที่มองกันและกันนั้น… มันเป็นแววตาที่ผมเกินจะบรรยาย มันผสมรวมทุกอารมณ์อยู่ในนั้น
ก่อนที่ป้าลินจะหันกลับมาทางผม
"เราจะคิดถึง คนที่สำคัญ เมื่อต้องจากกันไป…" ตอนนี้ป้าลินเขาก้าวขึ้นมาบนเวทีแล้ว เขาคว้าไมค์อีกตัวมาร้องเพลงด้วยกันพร้อมกับโอบบ่าของผม
"เราจะคิดถึงวันที่สวยงาม เมื่อเวลาผ่านไป…"
ผมเพิ่งรู้นะว่านอกจากจะวาดรูประบายสีเก่งแล้วป้าเขายังร้องเพลงเพราะมาก เคยคิดว่าท่าทางเวลาเขาจับดินสอสีมันเท่แล้ว แต่ตอนนี้ตอนป้าเขาจับไมค์มันยิ่งเท่กว่า
"จะคิดถึงเวลาที่เรามีกัน เมื่อ… เธอต้องไป" และแล้วไลน์ประสานของเราทั้งสองก็ดังขึ้นมา ทั้งประสานเสียงและประสานสายตา ทำเอาคนทั้งบริษัทกรี๊ดสนั่นฮอล์อีกครั้ง
มันคืออาการกรี๊ดทั้งน้ำตา คุณเคยเห็นไหมฮะ อาการที่ทั้งยิ้มทั้งร้องไห้ทั้งสุขทั้งเศร้าในเวลาเดียวกัน ตอนนี้ผมเห็นคนทั้งห้องโถงชั้นล่างนี่เขากำลังมีอาการอย่างนี้กันอยู่ ทุกคนมีร่องรอยของคราบน้ำตาบนใบหน้า พวกอ่อนไหวก็สะอึกสะอื้นอย่างป้าคิตตี้ น้าเยลลี่ พี่น้ำหวาน ป้าวันเพ็ญ พวกแมนๆหน่อยจากโรงงานก็แค่น้ำตาซึมๆ ผมขอสถาปนาวันนี้ให้เป็นวันน้ำตาไหลแห่งชาติเลยครัชชชช
ส่วนปู่ ผมหันไปเห็นแกกำลังโยกตัวไปมาตามจังหวะเพลงพร้อมกับแก๊งคนชรา ปู่แอนด์เดอะแก๊งไม่น่าจะร้องเพลงนี้เป็น
และแล้วใครบางคนก็เริ่มเปิดไฟฉายที่โทรศัพท์แล้วชูขึ้นมาโบก และคนอื่นๆก็เริ่มทำตาม แล้วก็มีคนไปปิดไฟดวงใหญ่ จากนั้นห้องทั้งห้องก็สว่างระยิบระยับจากแสงไฟดวงน้อยๆหลายสิบดวง
"และตอนนี้รู้ไหม ว่าฉันคิดถึงเธอมาก แค่ไหน….
ไม่เคย ไม่เคย จะลืม…"
และหลังจากท่อนสุดท้ายของเพลงจบลง เป็นครั้งแรกในชีวิตของผมที่เข้าใจคำว่า 'คิดถึง' อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม
ผมเคยคิดถึงพ่อตอนพ่ออยู่ที่ญี่ปุ่น เคยคิดถึงปู่กับคุณมะพร้าวตอนผมอยู่ในโรงเรียนประจำ
แต่ตอนนี้ผมคิดถึงป้าลิน คิดถึงทั้งๆที่ป้าเค้ายังยืนอยู่ตรงหน้า…