ภาพพื้นที่อันสวยงามในหุบเขาเบื้องหน้าไม่ได้ทำให้ฉันตื่นเต้นมากนัก เพราะเคยเห็นมาแล้วจากการเสิร์ชหาด้วยตัวเองในกูเกิ้ลแมพตามที่ได้รับพิกัดมาก่อนหน้านี้
ช่วงเช้าวันนี้คุณวาเลนติโนเธอพาเราไปดูสถานที่ที่ถูกวางแผนให้ก่อสร้างรีสอร์ตแห่งใหม่มาแล้วสามสี่แห่ง บางแห่งก็อยู่ในหุบเขาที่แวดล้อมไปด้วยความเขียวชอุ่มของแมกไม้ บางแห่งก็อยู่บนพื้นที่ราบที่มีทุ่งนาและต้นตาลเป็นฉากหลัง ลูกค้าของเราบริษัทนี้นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ
"คุณวาเลนติโนได้พื้นที่สวยๆทุกที่เลยนะคะ น่าอิจฉาจัง"
ฉันเอ่ยชื่นชมไปตามความรู้สึก เรากำลังเดินช้าๆออกมาที่ปากเข้าพื้นที่เพื่อจะไปขึ้นรถกัน คนขับรถของคุณวาเลนติโนรีบเดินล่วงหน้าไปยังที่จอดรถแล้ว เพื่อไปเอารถมารับพวกเรา
"ครับ นับเป็นโชคดีของบริษัทเรา อีกอย่างทีมงานผมเขาทำงานกันหนักด้วยครับ เอ่อ ขอตัวแป๊บนะครับ" คุณวาเลนติโนตอบฉันก่อนจะขอตัวรับสายเรียกเข้าที่ดังขึ้นที่โทรศัพท์มือถือ
"ทีมงานคุณวาเลนตี้เขาคงทำงานหนักในการโน้มน้าว หรือไม่ก็ข่มขู่ชาวบ้านให้ขายที่" คนข้างๆฉันเขาแอบโน้มตัวมากระซิบเบาๆที่ข้างหู ขณะคุณวาเลนติโนเดินห่างออกไปจากเราเพื่อคุยโทรศัพท์
"นี่มองโลกในแง่ร้ายนะเราน่ะ" ฉันหันไปขมวดคิ้วใส่คุณเซน
"อย่าบอกนะ ว่าลินคิดว่าคุณวาเลนตี้เขาจะได้ที่ดินพวกนี้มาแบบง่ายๆแบบใสซื่ออะ"
"ก็รู้" ฉันลากเสียง "แต่ขอทำเป็นไม่รู้ได้ป่าวคะ"
"ผมว่ามาคราวนี้ ผมสังเกตได้ว่าเค้าเขี้ยวกว่าที่เราคิดเยอะเลยนะ ตอนอยู่ที่หัวหินตอนนั้นเหมือนเรายังไม่ค่อยได้คุยเรื่องงานกันจริงจังเท่าไหร่"
ตอนนี้โหมดนักธุรกิจของคุณเซนเริ่มกลับมาบ้างแล้ว หลังจากอยู่ในโหมดเด็กดื้อนิดๆเซ็กซี่หน่อยๆมาตลอดช่วงเช้า
"พื้นที่ที่เราไปดูมาเมื่อกี้ยังมีสภาพเป็นป่าสมบูรณ์อยู่เลย คิดๆไปผมก็เสียดายพื้นที่ป่านะ" พ่วงด้วยโหมดรักธรรมชาติเข้าไปอีก
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ บริษัทนี้เค้าออกแบบดีเลยนะคะ ดูรีสอร์ตที่เราอยู่สิคะ กลมกลืนกับธรรมชาติจะตายไป" ฉันยังพยายามจะเข้าข้างลูกค้า
"ผมรู้สึกแปลกๆกับคุณวาเลนตี้เค้ายังไงไม่รู้แฮะ"
"นี่เซนคิดมากเรื่องของงาน หรือคิดมากเรื่องที่คุณลูกค้าเค้าดูเจ้าชู้คะ" ฉันแอบดักคอคนปากแดง
"ทั้งสองเรื่อง" คนปากแดงเขาก็ยอมรับแต่โดยดีแฮะ
"ผมไม่ชอบที่คุณสปาเกตตี้เขาชอบมาถึงเนื้อถึงตัวลิน" คนพูดทำหน้าเฉย แต่ตาจ้องฉันเขม็ง
นั่นไง กรี๊ด มีแอบห่วงเราด้วย คริคริ
"โธ่ เซนค่ะ ที่เค้าทำมันปกติมากๆสำหรับคนอิตาเลี่ยนเลยค่ะ แค่โอบหลัง โอบไหล่ ไม่ได้เรียกว่าแต๊ะอั๋งอะไรเลยค่ะ it's just a culture, you know?" ฉันมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาอะนะ
"ผมรู้ แต่ผมไม่ชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบไง"
เอาแล้ว น้ำเสียงเด็กเอาแต่ใจมาแล้ว น้ำเสียงที่ใครก็ขัดใจไม่ได้
"รถมาแล้วครับ เชิญครับ"
เป็นโชคดีที่เสียงเรียกของคุณวาเลนติโนก็ดังขึ้นขัดจังหวะความเริ่มจะงอนนั้นพอดี
"เดี๋ยวผมจะพาพวกคุณไปหาร้านอร่อยๆกันสำหรับมื้อเที่ยง แล้วหลังจากนั้นเราไปชมเมืองอูบุดกันหน่อยดีไหมครับ" วันนี้ดูคุณลูกค้าของเราอารมณ์ดีเหลือเกิน
และเอ่อ เป็นข้อเสนอที่ฉันคาดไม่ถึง ฉันนึกว่าคุณหุ้นส่วนใหญ่คนนี้เขาจะพาพวกเรามาแค่ชมไซต์งาน แล้วให้คนของทางรีสอร์ตนำพวกเราทัวร์เมืองกันต่อ
"นี่คุณวาเลนติโนจะพาพวกเราไปเองเลยหรือคะ ไม่นึกเลยนะคะเนี่ย แหม เกรงใจจัง แต่ขอบคุณมากเลยค่ะ"
เมื่อมีโอกาสใกล้ชิดกับเจ้าของโครงการเป็นพิเศษขนาดนี้ ฉันก็ต้องพยายามทำคะแนนเข้าไว้
"ขอบคุณคุณวาเลนติโนครับ แต่หลังอาหารกลางวันผมไม่อยากรบกวน พวกเราเที่ยวกันเองได้ครับ คุณลินเธอก็เคยมาที่นี่แล้ว เธอพาผมเที่ยวได้ครับ" คุณเซนเธอรีบออกตัวแบบเกรงอกเกรงใจ
จะเกรงใจทำไมกันเนี่ย มีคนพาเที่ยวดีๆไม่ชอบ
"ไม่เป็นไรเลยครับ ผมยินดีมาก เอาไว้ผมพาพวกคุณไปที่ที่คุณลลินไม่เคยไปก็ได้นะครับ ผมว่าผมพอจะรู้ใจคุณลลินอยู่นะครับ"
คุณวาเลนติโนรีบแสดงความสนิทสนม แววตาเธอดูแพรวพรายชอบกล แต่หนุ่มอิตาเลี่ยนก็อย่างนี้ล่ะนะ โปรยเสน่ห์ไปทั่วทุกครั้งที่มีโอกาส ฉันไม่ตกหลุมเสน่ห์นี้ง่ายๆหรอก ก็แค่คนทำงานด้วยกัน
"ไม่เป็นไรดีกว่าครับ คุณวาเลนติโนจะได้กลับไปทำงานไงครับ ท่าทางคุณจะงานยุ่ง" และคุณเซนเธอก็ไม่ยอมที่จะรับเสน่ห์นั้นไว้เหมือนกัน
"ไม่เป็นไรครับ วันนี้ผมเคลียร์งานทุกอย่างแล้ว บ่ายนี้ผมว่างทั้งบ่ายล่ะครับ" แต่เสน่ห์ของคุณวาเลนติโนเธอก็ยังทะลุทะลวงออกมาในรูปของความเอื้อเฟื้อ
"ไม่เป็นไรครับ ผมไม่อยากรบกวนจริงๆ แค่นี้คุณวาเลนติโน่ก็ต้อนรับเราดีมากแล้ว" คุณเซนเขาตาต่อตา ฟันต่อฟัน ไม่ยอมลดราวาศอก
"ไม่เป็นไรจริงๆครับ ผมควรจะต้องทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี" คุณวาเลนติโนก็ไม่ยอมลดละ
โอ๊ย พอแล้วค่า จะ ไม่เป็นไร กันอีกนานมั้ย แล้วนี่คุณเซนอยู่ดีๆก็กลายเป็นคนมารยาทดีขี้เกรงใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ฉันคิดว่าการที่มีผู้บริหารระดับสูงขนาดนี้มาอาสาพาเที่ยวอย่างนี้ เราก็ต้องรีบฉวยโอกาสไว้ป่าววะ
"โอเคค่ะ ขึ้นรถกันดีกว่า ดิฉันหิวแล้วค่ะ เราค่อยไปคุยเรื่องเที่ยวกันต่อที่ร้านอาหารนะคะ ตื่นเต้นจังค่ะ ดูท่าทางคุณวาเลนติโนจะรู้จักสถานที่ที่น่าสนใจเยอะแยะแน่เลยค่ะ" ฉันตัดบทด้วยความรำคาญผสมกับการอวยหนุ่มอิตาเลี่ยนไปเรื่อยเปื่อย
แต่ฉันก็หิวจริงๆนี่นา นี่มันก็เกือบบ่ายโมงแล้วด้วย ณ จุดจุดนี้ สมาธิของฉันกำลังพุ่งตรงไปยังอาหารอันโอชะของบาหลี อยากรู้จังเลยว่ามื้อนี้คุณวาเลนติโนจะพาพวกเราไปที่ร้านไหน มันจะต้องเป็นร้านอาหารชื่อดังของเกาะนี้แน่ๆ ระดับนี้แล้วต้องพรีเมี่ยมเท่านั้น
เหลือบตาไปมองคนตัวสูงปากแดงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็เห็นเขากำลังหันมาทางฉันอยู่พอดี แม้สีหน้านั่นจะดูเหมือนเฉยๆ แต่ตาเรียวนั่นดูก็รู้ว่ากำลังถูกขัดใจ มีพลังของความงอนกำลังถูกส่งออกมา รอยยิ้มแก้มบุ๋มนั่นหายไปแล้ว
เชอะ อยากงอนก็งอนไปค่ะ เรากำลังมาทำงานกันนะคะพ่อคุณทูนหัว ไม่ให้เอาใจลูกค้าแล้วจะให้เอาใจใครคะ…
และก็เป็นดังที่ฉันคาด ร้านอาหารที่คุณวาเลนติโนพาเราไปเป็นร้านหรูหราพิเศษจริงๆ เราสามารถมองเห็นวิวพาโนรามาของภูเขาไฟ Agung ขณะนั่งรับประทานอาหารอยู่บนระเบียงโล่งที่เปิดกว้างออกสู่ธรรมชาติ แถมเป็ดอบน้ำผึ้งที่เรียกว่า Bebek Betutu นั่นก็เลิศรสเป็นที่สุด เป็นอาหารชื่อดังของบาหลีเชียวนะ
"saya ingin punya bebek" ฉันพยายามจะสั่งเป็ดเป็นภาษาอินโดนีเซีย
"luar biasa kamu bisa bahasa indonesia" คุณวาเลนติโนเขาชื่นชมความสามารถทางภาษากลับมาเป็นภาษาอินโดนีเซีย
"แหม จริงๆดิฉันพูดไม่เป็นหรอกค่ะ แค่ฝึกมานิดๆหน่อยๆ ประโยคสองประโยค" ฉันออกตัวแบบเขินๆ
"บาหลีเป็นเกาะท่องเที่ยว ทุกคนก็พูดภาษาอังกฤษได้หมดล่ะครับ ไม่เห็นต้องพยายามพูดภาษาอินโดนีเซียเลย" คนปากแดงซึ่งนั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นลอยๆ
"แต่ผมว่าคนที่มีความพยายามนี่นับว่ามีเสน่ห์นะครับ เมื่อกี้คุณลลินเห็นไหมครับว่าพนักงานเสิร์ฟเค้ายิ้มใหญ่เลย" คนผมสีดอกเลาหยอดกลับมา
ฉันหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้คนปากแดง เห็นไหมล่ะ ตอนนั่งมาด้วยกันบนเครื่องบินฉันบอกให้คุณเซนเรียนรู้เอาไว้บ้าง คนความจำดีอย่างคุณเซนจำประโยคยาวๆได้อยู่แล้ว แต่คุณเธอก็ไม่ยอมสนใจ เอาแต่นอน แล้วไงล่ะ ตอนนี้ฉันก็ทำคะแนนกับคุณลูกค้าอยู่ฝ่ายเดียว ฮ่า ฮ่า
เมื่อเป็ดอบน้ำผึ้งพร้อมอาหารอื่นๆมากมายถูกนำมาเสิร์ฟ ฉันก็ลืมสิ่งรอบข้างเสียสิ้น มุ่งโฟกัสแต่ที่บรรดาอาหารละลานตา ช่างอิ่มอกอิ่มใจจริงๆ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่าความจริงแล้วฉันควรจะเอนจอยอีทติ้งมากกว่านี้ ถ้าทั้งคุณวาเลนติโนและคุณเซนจะไม่แข่งกันเทคแคร์ฉันตลอดเวลา มันน่าอึดอัด
โนว โนว เราต้องเริงร่าเบิกบานสำราญใจสิจ๊ะ มันน่าปลื้มใจจะตายไป โอกาสที่จะมีผู้ชายเจ้าเสน่ห์ต่างวัยต่างภูมิภาคถึงสองคนมารุมให้ความสนใจอย่างนี้เกิดขึ้นกับฉันง่ายๆเสียเมื่อไหร่ และโดยเฉพาะ เอ่อ เมื่อฉันอายุปูนนี้แล้ว
แต่เฮ้อ… ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า ผู้ชายสองคนนี้ คนหนึ่งเป็นเจ้านาย ส่วนอีกคนเป็นลูกค้า เป็นผู้ชายที่ฉันไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวในทางส่วนตัวด้วยกันทั้งคู่ เพราะความยุ่งยากในอาชีพการงานมันจะถามหาเอา
นี่เรื่องเมื่อคืนนี้กับคุณเซน ฉันเองก็ยังไม่ได้เคลียร์ใจกับตัวฉันเองเลยนะ แล้วฉันจะมาเริ่มมีซัมธิงกับคุณวาเลนติโนอีกรึ…
"ที่นี่เป็นสวนสำราญริมน้ำของเหล่าราชาแห่งอาณาจักรการางาเซ็มในอดีตครับ"
เสียงไกด์กิตติมศักดิ์เอ่ยขึ้นข้างๆฉัน เมื่อคิดถึงวาเลนติโน วาเลนติโนก็จะมา
หลังมื้อเที่ยงอันอิ่มเอมเปรมใจ หนุ่มใหญ่เจ้าเสน่ห์เขาก็พาเรามาต่อที่ Taman Tirta Gangga พระราชวังริมน้ำเตียร์ตา กังกา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนักจากร้านอาหารที่ภูเขาไฟอากุงที่เราเพิ่งจากมา
"พระราชวังนี้สร้างขึ้นในปี 1948 แต่ในปี 1963 ภูเขาไฟอากุงเกิดระเบิด ทำให้ที่นี่ได้รับความเสียหายเป็นบริเวณกว้างจนเหลือเพียงสวนและสระน้ำที่เราเห็นตอนนี้เท่านั้นครับ" ข้อมูลของหนุ่มอิตาเลี่ยนคนนี้เขาแน่นมาก
"เป็นการจัดสวนที่สวยงามจริงๆค่ะ เหมือนจะเป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นบาหลีและศิลปะแบบจีน ใช่ไหมคะ"
ฉันมองไปรอบๆสวนสวยงามแห่งนั้น บรรยากาศอันร่มรื่นถูกประดับประดาไปทั่วด้วยน้ำพุ สระน้ำ หินแกะสลักและรูปปั้นต่างๆ
"ถูกต้องครับ คุณลลินช่างสังเกตสมกับที่เรียนมาทางศิลปะนะครับ" คุณวาเลนติโนเขามีการพยายามอวยฉันอยู่ตลอดเวลา
"sei un genio!" อวยกันเป็นภาษาอังกฤษไม่พอ ภาษาอิตาเลี่ยนก็มา
"non sono quel genio" ทำให้ฉันต้องรื้อฟื้นภาษาอิตาเลี่ยนของตัวเองตอบเขาไปอีก
"ผมฟังไม่รู้เรื่อง" แล้วคนตาเรียวข้างๆฉันก็พูดขึ้นมาลอยๆ หน้าตามึนๆ
"อุ๊ย ดูปลาคาร์ฟตัวยักษ์พวกนั้นสิคะ"
ฉันเลยต้องเปลี่ยนประเด็นไปเป็นการทำท่าตื่นเต้น ชี้มือชี้ไม้ไปที่บรรดาเจ้าตัวหลากหลายสีที่กำลังแหวกว่ายในสระน้ำขนาดใหญ่นั่น สวนนี้เขาขึ้นชื่อว่าเป็นบ่อปลาคาร์ฟขนาดใหญ่ด้วย
"นี่เรานั่งรถมาตั้งไกล เพื่อจะมาดูปลาคาร์ฟกันเนี่ยนะ ว่างๆลินไปนั่งดูที่บ้านผมก็ได้มั้ง ผมอนุญาตให้ลินนั่งดูทั้งวันเลย" คุณเซนเธอแอบกระซิบข้างหูของฉัน ในจังหวะที่คุณวาเลนติโนเธอเดินไปนั่งลงยองๆริมสระเพื่อชื่นชมเหล่าปลาคาร์ฟตัวยักษ์อย่างใกล้ชิด
"แหม แล้วที่บ้านเซนมีรูปปั้นบรรดาทวยเทพอยู่ในบ่อปลาคาร์ฟเหมือนที่นี่หรือป่าวล่ะ" ฉันกระซิบตอบด้วยคำถาม
"เดี๋ยวไปซื้อมาประดับให้ยี่สิบตัวเลย จะเอารูปปั้นโดเรมอนด้วยก็ได้ ส่วนน้ำตกน้ำพุนี่ เดี๋ยวผมให้พ่อจัดการปรับปรุงใหม่ให้หรูๆกว่าที่นี่ก็ได้" โอว สายเปย์ตัวพ่อเลยนะคนนี้
"อย่ามาขิง แต่ก็เอาเถอะ ถือเป็นคำสัญญาเลยได้ไหมคะ ห้ามผิดสัญญานะคะ ขอหินแกะสลักโดราเอมี่ด้วยค่ะ" ฉันทำหน้าคาดคั้นจริงจัง อยากใจสปอร์ตนักก็จัดไป
คนปากแดงหัวเราะน้อยๆ ก่อนจะทำหน้าตาจริงจังตอบกลับมา
"ถ้าลินอยากได้จริงๆ เดี๋ยวผมโทรบอกพ่อให้จัดการให้ตอนนี้เลย"
"อุ้ย สงสารคุณลุงราเชนทร์..." ฉันแอบตีเผียะเข้าที่ต้นแขนนั้น "แหม คุณวาเลนตี้เขาอุตส่าห์พาพวกเรามาเที่ยว ถือว่าได้นั่งรถเก๋ๆแอร์เย็นๆ มีคนขับมาให้ สบายดีออกนะคะ"
วันนี้คุณวาเลนติโนเธอช่างเอาอกเอาใจเหลือเกิน ระหว่างมื้ออาหารเขาสนใจซักไซ้ฉันยกใหญ่ ว่าฉันเคยไปเที่ยวที่ไหนในบาหลีมาแล้วบ้าง และในที่สุดเขาก็พาเรามาที่พระราชวังแห่งนี้ ที่ที่ซึ่งฉันยังไม่เคยมา อ่อ ภูเขาไฟอากุงที่เราไปนั่งกินข้าวกันนั้น ฉันก็ยังไม่เคยไปมาก่อน
"คุณลลินครับ มายืนกลางน้ำตรงนี้สิครับ เดี๋ยวผมถ่ายรูปให้ครับ" แล้วเสียงคุ้นๆก็ตะโกนแว่วมา ฉันเห็นคุณวาเลนติโนเขาเดินไปยืนรอฉันยังแผ่นหินกลางน้ำแล้ว
"อ้อ ค่ะ ดีค่ะดี" ฉันตะโกนเบาๆกลับไป
"ผมถ่ายรูปให้ลินก็ได้นะ มือถือผมรุ่นใหม่ล่าสุดเลย รับรองชัดแจ๋ว คุณวาเลนตี้แกจะถ่ายรูปเป็นเร้อ" แต่ดูเหมือนคนข้างๆเขาไม่อยากจะให้ฉันไปถ่ายรูปกับหนุ่มใหญ่จากแดนพิซซ่าคนนั้น
"อูย เซนคะ ดูกล้องของคุณวาเลนตี้เค้าซะก่อนค่ะ ไลก้านะคะไลก้า ณ จุดจุดนี้ ใครก็อยากเป็นนางแบบให้เขาไหมคะ อ่า รอโอกาสอย่างนี้มานานแล้ว ไปล่ะนะคะ"
แล้วฉันก็เดินจ้ำไปตามแผ่นหินกลางน้ำพวกนั้นเพื่อตามคุณรอยวาเลนติโนไป
แอบเหลือบตาหันมามองนิดนึง ก็เห็นคนปากแดงทำหน้ามุ่ยที่ถูกทิ้งขว้าง แต่วินาทีนี้ฉันไม่สนแล้ว อยากมีรูปตัวเองสวยๆที่ถูกถ่ายด้วยกล้องไลก้ากะเค้าบ้างสักรูป…
"ใต้เงาไม้ยามเช้า กลางวันไหลไปกับลำธาร รู้ตัวก็เย็นแล้ว"
จู่ๆผู้ชายปากแดงก็เอ่ยขึ้นขณะที่เราทั้งคู่นั่งชันเข่ากันอยู่บนลานโขดหินกว้างตอนบ่ายคล้อย จ้องมองน้ำตก Tibumana อันโด่งดังพร้อมทั้งสูบยาเส้นกันควันพลิ้ว
เชี่ย บทกวีไฮกุก็มา
ฉันหันหน้าไปมองคนข้างๆ ผมนุ่มที่ไม่ได้รับการใส่เจลนั้นปรกหน้าปรกตา กางเกงยีนผ้าเนื้อดีถูกพับร่นขี้นมาถึงครึ่งน่อง เสื้อเชิ้ตสีดำถูกถลกแขนเสื้อขึ้นไปถึงครึ่งแขน กระดุมสองสามเม็ดบนถูกปลดอย่างหลวมๆ ท่าทางของคนปากแดงผ่อนคลายเอามากๆ
เราตกลงเช่ามอเตอร์ไซค์จากในเมืองตามความต้องการของคุณเซน และเมื่อเดินหาซื้อของที่จำเป็นต่อชีวิตอาทิเช่น เบียร์ ถั่วลิสงและยาเส้นได้แล้ว เราก็พากันมาที่น้ำตกนี้ตามความต้องการของเขาอีก
เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าพ่อคนปากแดงเขาขี่มอเตอร์ไซค์เก่งด้วย พ่อคุณสามารถขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยงลดคดเคี้ยวผ่านทางแคบๆเข้ามาในป่าอันลึกลับนี้ได้อย่างสบายๆ เอ หรือคนญี่ปุ่นเขาจะใช้มอเตอร์ไซค์กันเป็นหลักในชีวิตประจำวัน
คือหลังจากคุณวาเลนติโนเธอยอมปล่อยเราทิ้งไว้ที่ในเมืองตามคำเจรจาต่อรองของคุณเซน ไม่ดื้อดึงจะพาเรากลับไปส่งที่รีสอร์ต คุณเซนและฉันต่างก็สลัดความเกร็งทิ้งกันได้ทันทีโดยไม่ได้นัดหมาย คือในตอนแรกฉันจะอยากใกล้ชิดกับคุณหุ้นส่วนใหญ่เจ้าของโครงการนี้ก็จริง แต่ไปๆมาๆฉันกลับรู้สึกอึดอัดขึ้นเรื่อยๆอย่างบอกไม่ถูก คุณวาเลนติโนเธอดูแลฉันเป็นพิเศษมากเกินไปหน่อยตั้งแต่ที่ร้านอาหารมาจนถึงที่สวนสวยของพระราชวัง
และอาการมึนตึงนิดๆมาตลอดทางของคุณเซนนี่ก็อีกที่ฉันทนเมินเฉยไม่ได้
ซึ่งพอคุณลูกค้าของเราคล้อยหลังไปแล้ว และฉันยอมซ้อนมอเตอร์ไซค์มาน้ำตกด้วย ความมึนของพ่อคนปากแดงก็หายไปทันที รอยยิ้มแก้มบุ๋มนั้นก็กลับมาโดยฉับพลัน
เฮ้อ... เจ้าเด็กเอาแต่ใจ!
ฉันอัดยาเส้นเข้าปอดลิ้มรสความขมฝาดด้วยอารมณ์ที่บอกไม่ถูก แม้จะรู้ว่ายาเส้นมีอันตรายต่อปอดอย่างใหญ่หลวง และฉันก็แทบไม่ได้แตะต้องทั้งบุหรี่และยาเส้นมานานมากแล้ว แต่ฉันก็ยอมกลับมาสูบคราวนี้เพราะคุณเซนเธอรบเร้า
'สูบคนเดียวไม่ได้อารมณ์ ต้องมาพ่นควันใส่กันถึงจะฟิน' คนข้างๆฉันเธอว่ามายังงั้น
นี่เราสองคนได้มาพบกัน มารู้จักกัน เพื่อที่จะพากันมาทำอะไรที่มันไร้สาระแบบนี้ใช่ไหม
"ใบไม้อ่อน เสียงของน้ำตก ดังแว่วมาจากที่ใกล้และไกล" ฉันตอบโต้บทกวีไฮกุที่เคยได้ยินมากลับไปบ้าง
ลูกครึ่งหน้าขาวปากแดงสัญชาติไฮกุถึงกับหันมามองฉันด้วยสายตาฉงน
"สบายสบายค่ะ สามวรรค รวมสิบเจ็ดคำ แบ่งเป็นห้าเจ็ดห้า" ฉันยักคิ้ว แหม ฉันมันศิลปินนี่คะ ไม่เฉพาะวาดรูปเล่นเปียโนนะคะ เรื่องความเจ้าบทเจ้ากลอนฉันก็ไม่เป็นรองใคร
"เดินผ่านร้านขายข้าว ได้กลิ่นผัดกะเพราหมูกรอบ หิวแสบท้องครวญคราง" แล้วฉันก็รีบต่อด้วยบทกวีไฮกุที่ฉันบรรจงประดิษฐ์ขึ้นมาเอง
"บะหมี่แห้งหมูกรอบ อยากกินมากถึงมากที่สุด หมูกรอบหมดโคตรเซ็ง" หนุ่มเซนเขาไม่ยอมแพ้ สร้างสรรค์มาแบบห้าเจ็ดห้าเหมือนกัน
"ทวงคืนผัดกะเพรา ขออย่าใส่ถั่วฝักยาวเลย หอมใหญ่ก็ไม่เอา" ฉันโฟกัสไปที่เรื่องของอาหารการกิน และยังคงรักษาผังห้าเจ็ดห้าของกลอนไว้อย่างเหนียวแน่น
"โอย ผมยอมแพ้ ลินหิวแหละ ผมดูออก" คนปากแดงหัวเราะน้อยๆ
"เซนก็คิดถึงหมูกรอบแหละ ดูออกเหมือนกัน อาหารบาหลีนี่เค้าเน้นไก่กันเนอะ นอกจากหมูหันแล้ว เห็นเมนูอาหารก็มีแต่ไก่" สายหมูกระทะแบบฉันเริ่มคิดถึงเมืองไทย
แต่ช่างมันก่อน ตอนนี้เรายังอยู่ที่บาหลีกัน อันที่จริงนี่ถือเป็นความโรแมนติคอย่างที่สุดของฉันเลยนะ ที่เรานั่งต่อกลอนไฮกุกันท่ามกลางอากาศที่เย็นสบายในบริเวณน้ำตกที่สวยติดอันดับหนึ่งในห้าของบาหลี น้ำตก Tibumana ที่เงียบสงบและสวยจริงสวยจัง มันเป็นน้ำตกที่มีน้ำสายเดียวโดดๆตกลงมายังแอ่งด้านหลัง บาหลีมีน้ำตกอยู่มากมาย ฉันบอกให้เขามาที่นี่เพราะมันอยู่ใกล้เมืองอูบุดที่สุดแล้ว ขี่มอเตอร์ไซค์กันมาได้ ไม่ไกล
"ขอบคุณลินมากนะครับที่มาเที่ยวด้วยกัน ตอนนี้ผมมีความสุขจริงๆ"
คำขอบคุณนั้นฉันเฉยๆ แต่ไม่รู้ทำไม เมื่อได้ยินที่เขาพูดตรงๆว่า 'ผมมีความสุข' ฉันกลับรู้สึกเขิน
นี่ฉันทำให้เขา 'มีความสุข' ได้จริงๆหรือ
"อุ้ย อุ้ย เรายังไม่ได้ไปเที่ยวไหนกันเลยนะคะ แค่มานั่งเล่นกันที่น้ำตกนี่ เซนมีความสุขขนาดนั้นเชียว?"
"แค่มีคนมานั่งสูบยาเส้นด้วยกัน ผมก็ปลื้มปริ่มแล้วครับ" คำตอบของเขาช่างดูเป็นชีวิตที่เรียบง่ายจัง
"อื้อ สมัยนี้เค้าไม่มีใครสูบยาเส้นกันแล้วค่ะ ผลวิจัยออกมาแล้วว่ามันอันตรายกว่าบุหรี่สิบเท่า" ฉันบอกข้อมูลทางสุขภาพให้เขาไปขณะอัดยาเส้นเข้าปอดอีกครั้ง
"แต่อันที่จริง… ผมมีความสุขตั้งแต่เมื่อคืนแล้วครับ สุขมากด้วย"
โอ๊ะ คำพูดนี้… โอย แววตากรุ้มกริ่มนั้น…
"ผมมีชีวิตอยู่ด้วยความรู้สึกรับผิดชอบ รับผิดชอบครอบครัว รับผิดชอบอนาคตของบริษัท รับผิดชอบพนักงาน แทบไม่เคยมีช่วงเวลาได้เที่ยวเล่นสนุกสนาน เมื่อมีโอกาสก็อยากทำอะไรตามใจตัวเองบ้าง"
"..."
ฉันอึ้งไป ไม่นึกว่าในประโยคถัดมาจู่ๆเขาจะเปลี่ยนจากโหมดเซ็กซี่ไปเป็นโหมดดราม่า แต่ฟังจากน้ำเสียงที่จริงจังนั่น ก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่นไปเรื่อยเปื่อย นี่คงเป็นความในใจที่เขาเก็บเอาไว้กับตัวเสมอมาสินะ ฉันไม่รู้ว่าเขาเคยระบายความอัดอั้นนี้ให้ใครได้ฟังบ้างหรือเปล่า
"และที่สำคัญที่สุด ผมมีลูกชายที่ต้องรับผิดชอบ ตั้งแต่วันแรกที่ผมรู้ว่าเจ้าเรนกำลังจะมาเกิด ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ลินรู้ไหม ถึงผมจะไม่ได้อยู่ตอนลูกเกิด ไม่ได้เลี้ยงดูเค้า แต่ผมก็คิดถึงเค้าตลอดเวลานะ คิดถึงในทุกขณะ คิดถึงแต่อนาคตของเค้า" น้ำเสียงนั้นนุ่มนวลอ่อนโยนขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อพูดถึงลูกชายคนเดียว
เขาโยนปลายก้นมวนยาเส้นนั้นทิ้งไป เปลี่ยนท่านั่งเป็นเหยียดขาพร้อมกับเท้าแขนพร้อมกับเอนตัวไปด้านหลัง
"ผมกำลังพยายาม เรนอาจไม่ได้มีพ่อที่ดีที่สุด แต่ผมจะไม่ยอมเป็นพ่อที่แย่ที่สุด"
ความในใจยังคงถูกระบายออกมา ตาเรียวนั้นมองเหม่อออกไปยังสายน้ำเบื้องหน้า
ฉันอาจจะไม่เข้าใจความรู้สึกลึกๆในใจของเขาทั้งหมด แต่ฉันรู้ว่าคุณเซนกำลังตั้งใจทำเพื่อลูกชายอย่างนั้นจริงๆ ดูจากช่วงเวลาที่ผ่านมาก็สัมผัสได้
เวลาเจ้าเรนไปที่ทำงานของเรา คุณพ่อคนนี้จะคอยสนับสนุนทุกอย่างที่คุณลูกอยากทำ ตั้งใจฟังทุกคำที่คุณลูกพูด แล้วอีกเรื่องที่ฉันรู้มาจากยัยลิสาก็คือ ที่คุณเซนเขาไปบ้านฉันในวันนั้นน่ะ ก็เป็นเพราะเจ้าเรน คุณเซนเธอคงอยากเอาใจลูกชาย คือหลานสาวฉันเขาไปบ่นเรื่องอยากซ่อมแซมโน่นนี่ในบ้านให้เจ้าเรนฟัง แล้วคุณลูกเขาก็เลยไปขอให้พ่อของเขามาช่วยซ่อมให้บ้านฉัน เห็นเจ้าเด็กหัวฟ้านั่นชอบทำหน้าเหมือนไม่ใส่ใจมนุษย์โลกคนอื่นๆ แต่ลิสาบอกว่าลึกๆแล้วเรนเป็นเด็กมีน้ำใจมาก และแม้สองพ่อลูกนี่เขาจะต่อปากต่อคำกันตลอดเวลา แต่สายตาเจ้าเรนเวลาที่แอบมองพ่อนั้น คนทั้งโลกก็มองออกแหละ ว่าเจ้าเด็กนี่ภูมิใจในตัวพ่อของเขาขนาดไหน
แต่ฉันก็ยังสงสัย…
"แล้วทำไมเซนไม่กลับมาเมืองไทยเร็วกว่านี้ล่ะคะ จะได้มาอยู่กับน้องเรนให้เร็วกว่านี้"
"..."
อาการนิ่งเงียบไปของเขานั้น ทำให้ฉันรู้สึกอยากกัดลิ้นตัวเอง มีความรู้สึกเหมือนกำลังก้าวก่ายชีวิตส่วนตัวของเขา แต่ฉันก็ไม่ผิดนะ คุณเซนเป็นฝ่ายเปิดเผยความรู้สึกของตัวเองก่อนนี่นา
แต่โอเค ฉันควรต้องเคารพความรู้สึกของเขา ถ้าคุณเซนไม่อยากพูดต่อ ฉันก็ไม่ควรเซ้าซี้
"ถ้าเซนยังไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไรนะ เรายอมรับว่าเราอยากรู้ แต่เรารอได้ หรือถ้าเซนไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย เราก็จะระมัดระวังมากกว่านี้"
ฉันเอื้อมมือไปแตะบ่าเขาเบาๆอย่างอ่อนโยน เข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มคนข้างๆดี มันเป็นสิทธิ์ของเขาที่จะพูดหรือไม่พูดอะไร
เราต่างเงียบกันไปสักครู่ แล้วจู่ๆฉันก็นึกไปถึงปรัชญาที่เคยอ่านมา
"มีปรัชญาญี่ปุ่นปรัชญานึงที่เราชอบมาก ชื่อปรัชญาวาซาบิ เขาบอกว่า ความไม่สมบูรณ์แบบคือความงาม"
"วาซาบินั่นเค้าเอาไว้กินกับซูชิครับ ส่วนปรัชญาที่ลินหมายถึง คือปรัชญาวาบิ ซาบิ" คุณเซนเขาแก้ชื่อปรัชญาให้ถูกต้อง
"เราจะมองต้นซากุระเพียงเวลาที่ดอกของมันบานสะพรั่ง เราจะมองดวงจันทร์เพียงเวลาที่มันไม่มีเมฆบังงั้นหรือ" แล้วเขาก็เอ่ยตัวอย่างคำคมจากปรัชญานี้ขึ้นมา
"นักรบที่เก่งกาจย่อมมีบาดแผลฉันใด ถ้วยชาที่ดื่มชาได้อร่อยอาจเป็นถ้วยชาที่แตกบิ่นฉันนั้น" ตามด้วยคำคมจากฉันบ้าง
"อันนี้คิดเองป่าวเนี่ย ผมไม่เห็นเคยได้ยินเลย" ลูกครึ่งสัญชาติวาบิซาบิเอ่ยทักท้วงมายิ้มๆ
"แม่น เราคิดเอง อะ แถมให้อีกหนึ่ง" ฉันยังไม่คิดจะหยุดง่ายๆ เรื่องการต่อกลอนนี่ฉันถนัดนัก
"หากรอยไหม้บนหมูปิ้งคือความอร่อยแล้วไซร้ มาม่าเกาหลีที่ว่าเผ็ด ยังไม่เด็ดเท่าเราเลย"
ไงล่ะ นี่คิดสดๆเลยนะเนี่ย
"..."
ตาเรียวที่มองมาคู่นั้นดูมีความปลง คนปากแดงถอนหายใจยาวพร้อมส่ายหน้า
เงียบกันไปหนึ่งอึดใจ แต่แล้วรอยยิ้มแก้มบุ๋มก็กลับปรากฏขึ้นบนใบหน้านั้นอีกที ก่อนจะพูดประโยคที่ฉันยกให้เป็นประโยคที่น่าประทับใจที่สุดเท่าที่ฉันเคยได้ยินคุณเซนพูดมา
"ทุกครั้งที่ผมรู้สึกเครียดหรือรู้สึกเหนื่อยล้าจากการงาน ผมจะหันไปมองหาว่าลินกำลังทำอะไรอยู่ และทุกครั้งที่ผมเห็นลิน ผมก็อดยิ้มไม่ได้ แล้วโลกของผมก็สดชื่นขึ้นมาอีกครั้ง"
สายตาที่ซื่อๆนั่นทำเอาฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่าเขาพูดจริง ปกติแล้วคุณเซนไม่ใช่คนปากหวาน ตอนอยู่ที่ทำงานฉันสังเกตว่ามีพนักงานอยู่สามคนที่ท่านประธานบริษัทคนนี้พูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเป็นพิเศษกว่าคนอื่นๆ นั่นคือป้าผ่องป้าแม่บ้านประจำออฟฟิศ ลุงยุทธ์ซึ่งเป็นยาม และพี่สมานคนขับรถ
แต่เดี๋ยวก่อน อา นี่เขาแอบมองฉันในที่ทำงานด้วยหรือนี่ อ่อ มิน่า บางครั้งนั่งๆอยู่ที่โต๊ะทำงานฉันก็เห็นเขาหันหน้ามามองฉัน ไม่ได้พูดอะไร ยิ้มนิดหน่อย แล้วก็หันกลับไป ฉันยังงงๆอยู่ว่าเขาหันมาทำไม
ว่าแต่ฉันมีความสำคัญกับเขาขนาดนั้นเชียวหรือ…
ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกว่าชีวิตในอดีตของเขาเป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่ฉันอยากจะรู้มากกว่าก็คือ คุณเซนมีความสุขมากไหมยามที่มีฉันอยู่ใกล้ๆ ฉันช่วยแบ่งเบาความรู้สึกที่แสนจะหนักอึ้งของเขาได้บ้างหรือเปล่า
ฉันไม่ติดใจเรื่องที่เรามีเซ็กซ์กันเมื่อคืน มันคือความต้องการจากทางร่างกายของเราทั้งคู่ มันอาจเป็นแค่ความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน หรือยืนยาวกว่านี้ หรืออะไรก็แล้วแต่ มันยังไม่ถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปวิตกกังวล
แต่สิ่งที่ฉันกำลังไม่แน่ใจก็คือ ความรู้สึกเห็นใจและห่วงใยคนปากแดงคนนี้อย่างมากมายที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันคือความรู้สึกปกติที่พึงมีต่อลูกชายของเพื่อนพ่อ หรือคือความรู้สึกของผู้เป็นลูกน้องที่มีต่อเจ้านาย หรือเป็นความรู้สึกของเพื่อนที่มีต่อเพื่อน
หรือเป็นเพราะฉันกำลังตกหลุมรักผู้ชายคนนี้กันแน่...