webnovel

อยากให้โลกนี้มีแค่เราสองคน

เช้าวันเสาร์...

ฉันบิดขี้เกียจตื่นมาตอนเช้าด้วยความรู้สึกอิ่มเอมบวกกับความเมื่อยล้านิดๆ แหม ก็เจอศึกหนักติดๆกันถึงสองคืนนี่นะ คริคริ

เอ๊ะ แล้วแม่ทัพศึกหายตัวไปไหน

มองไปยังที่นอนข้างๆก็พบแต่ความว่างเปล่า หมอนหนุนนอนนั้นยังคงไว้ซึ่งรูปทรงของหมอน นี่สังเกตมาเป็นคืนที่สองแล้วนะ คนอะไรไม่นอนหนุนหมอน คิดๆไปก็แอบเขินตัวเองนิดๆบวกภูมิใจหน่อยๆนะเนี่ย แหม ได้มีโอกาสมาล่วงรู้นิสัยการนอนของคุณเซนเจ้านายหนุ่มน้อยแบบไม่ได้ตั้งใจ ฮิฮิ

อือม์ คุณเค้าขี้ร้อน ชอบนอนคว่ำเปลือยกาย และไม่ชอบนอนหนุนหมอน

หรือนี่จะเป็นวิถีการนอนของคนญี่ปุ่นที่คนทั้งโลกรู้ แต่ฉันไม่รู้!

ฉันลุกขึ้นนั่งบนเตียงช้าๆอย่างคนขี้เซา ชะเง้อมองไปยังประตูห้องน้ำที่เปิดกว้างอยู่ แล้วก็มองไปทางประตูห้องพัก เค้าอยู่ไหนกันนะ ในห้องน้ำก็ไม่มี เอ หรืออาจจะออกไปโทรศัพท์

แต่แล้วสายตาฉันก็ไปสะดุดกับกระดาษแผ่นเล็กๆที่แปะอยู่บนโต๊ะตั้งโคมไฟข้างเตียง

'เดี๋ยวผมกลับมา'

เห็นลวดลายของกระดาษแผ่นเล็กแล้วก็ต้องอมยิ้ม เจ้าเป็ดน้อยปากเหลืองตามมาถึงที่นี่!

ฉันกวาดสายตามองสำรวจไปรอบๆห้องพักของคุณเซน ห้องนี้ถูกตกแต่งเหมือนกับห้องพักของฉัน เพียงแต่รูปทรงของกระท่อมต่างไปเล็กน้อย กระท่อมของคุณเซนอยู่ในโซนบนเนินเขา ไกลออกมาจากส่วนล้อบบี้และห้องอาหารของรีสอร์ต แต่ถึงกระนั้นจากกระท่อมหลังนี้ก็สามารถมองเห็นความสวยงามของหุบเขาด้านล่างไม่แพ้กระท่อมของฉัน

และแม้ภายนอกจะดูเหมือนกระท่อมไม้มุงจากธรรมดา แต่ภายในนี่หรูหราไม่เบานะจ๊ะ การออกแบบตกแต่งจะเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ของท้องถิ่นที่ถูกดีไซน์มาแล้วเป็นอย่างดี เฟอร์นิเจอร์และข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นล้วนทำจากไม้และหวายทั้งโทนสีอ่อนและสีเข้มผสมผสานกันอย่างลงตัว ส่วนชุดเครื่องนอนและผ้าม่านใช้เป็นผ้าฝ้ายสีนวล ห้องพักที่นี่คือตัวอย่างของการออกแบบที่เรียบง่ายและสง่างามจริงๆ

กระเป๋าเดินทางสีดำใบขนาดกลางของคุณเซนถูกวางอยู่อย่างเรียบร้อยบนโต๊ะไม้ไผ่ตัวเตี้ย ที่ราวแขวนเสื้อทำจากไม้ดีไซน์เก๋ใกล้ๆกันมีเสื้อผ้าสามสี่ชุดถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ

เอ๊ะ มีชุดที่หน้าตาเหมือนชุดนอนแขวนรวมอยู่ด้วย ชุดนอนที่เอามาคงยังไม่เคยได้ใส่นอนเลยล่ะสิ ก็ชอบนอนเปลือยซะขนาดนี้ แล้วจะเอาชุดนอนมาด้วยทำไมเนี่ย สงสัยคุณมะพร้าวจะเป็นคนจัดเตรียมมาให้ อือม์ ชักอยากรู้ว่าคนอย่างคุณเซนจะใส่ชุดนอนแบบไหนนอนนะ ว่าแล้วฉันก็รวบผ้าห่มบางมาพันกายไว้ก่อนจะลุกจากเตียงตรงไปที่ราวแขวนเสื้อนั้น

เมื่อเข้ามาดูใกล้ๆ จึงเห็นว่ามันเป็นเสื้อคอปกเชิ้ตแขนสั้นลายเส้นบางๆสีเขียวอ่อน ผ้าฝ้ายเนื้อดีเช่นเคย กางเกงเป็นขายาวผ้าเนื้อเดียวกัน โอ๊ะ มีอีกชุด คราวนี้เป็นเสื้อคอกลมผ้าฝ้ายแขนสั้นสีพื้นฟ้าอ่อน มีกางเกงขาสั้นสีเดียวกันด้วย น่ารักอะ

ฉันอดไม่ได้ที่จะลูบไล้มือไปตามเนื้อผ้าบางสีฟ้าอ่อนนั่น ผ้านิ้มนิ่ม เอามาแนบแก้มยังนิ่มเลย อื้อ แอบดมหน่อยดีกว่า เอ ไม่เห็นมีกลิ่นตัวคุณเซนเลยแฮะ อ้าวลืมไป ทั้งสองคืนที่ผ่านมาคุณเขายังไม่เคยได้ใส่ชุดนอนนอนนี่นา ฮา

"ทำไรอะ"

เสียงนุ่มๆที่ดังอยู่ข้างหลังทำเอาฉันหันขวับ

"อุ้ย..." แล้วฉันก็ต้องยิ้มอ่อน เจ้าของชุดนอนเค้ายืนอมยิ้มกอดอกพิงประตูอยู่นั่น ทำไมมาเงียบจัง

เขินจริงวุ้ย เค้าจะคิดว่าเราเป็นพวกโรคจิตหรือเปล่าวะ แบบพวกโจรขโมยดมชุดนอนไรงี้

"มาดมที่ตัวจริงเลยดีกว่าครับ มามะ"

คนปากแดงยิ้มแก้มบุ๋มก่อนจะเดินเข้ามากอดฉันไว้หลวมๆพร้อมทั้งจูบที่ขมับของฉันอย่างนิ่มนวล อื้อ กลิ่นหอมสะอาดเชียว นี่แอบอาบน้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ ฉันหลับไม่รู้เรื่องเลย เอิ่ม เพลียจากศึกหนักขนาดนี้เชียวรึเรา

"ลินตื่นนานหรือยังครับ เห็นหลับสนิทเลย แอบกรนนิดๆด้วยนะเราน่ะ"

"เซนไปไหนมา"

ฉันแก้เขินด้วยการยิงคำถามกลับ คงต้องยิงคำถามใส่รัวๆ

"แล้วนี่เซนพกโพสต์อิทน้องเป็ดมาถึงบาหลีนี่ด้วยหรือคะ" ฉันรีบชี้มือไปยังเจ้ากระดาษแผ่นน้อยที่แปะอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนั่น

"ก็ลินให้ผม ผมเลยพกติดกระเป๋าไว้ตลอด ผมใช้บ่อยด้วยนะ ใช้ทั้งสามลายที่ลินให้เลย แต่ใช้ลายเป็ดบ่อยสุด" เขายิ้มน่ารัก

"เดี๋ยวนะ ลายหุ่นยนต์กับลายสก็อตขาวดำนั่นเราฝากไปให้น้องเรนกับคุณราเชนทร์นะ"

"ผมก็แบ่งให้พวกนั้นไปครึ่งนึง แล้วเก็บไว้ใช้เองครึ่งนึง"

ต๊าย เรียกพ่อกับลูกชายตัวเองว่า 'พวกนั้น'

"คุณเซนทำไมงกอย่างนี้คะ ชั้นมีตั้งเยอะแยะ ขอชั้นใหม่ก็ได้" ฉันเผลอตัวโวยวายออกไป

"บอกแล้วไงให้เรียกเซนเฉยๆ แล้วก็เรียกตัวเองว่าลินด้วย"

น้ำเสียงทอดอ่อนและสายตาหวานๆนั้นทำให้ฉันอดรู้สึกวาบหวามขึ้นมาอีกไม่ได้…

นึกไปถึงเมื่อเย็นวานที่เราอยู่ที่น้ำตกกัน หลังจากต่อกลอนไฮกุกันจนหนำใจแล้ว สิ่งที่ฉันแอบกลัวก็เกิดขึ้นจนได้ คุณเซนเขาชวนฉันลงเล่นน้ำตก!

และก็แน่นอนที่ฉันไม่สามารถจะขัดใจเขาได้ กระแสน้ำตกที่ว่าแรงก็ยังไม่เท่าความร้อนแรงของเราทั้งสองคน ซึ่งเมื่อตัวเปียกน้ำ กายของเราทั้งคู่จึงดึงดูดเข้าหากันโดยทันที และเมื่อได้ใกล้ชิดแนบสนิทกันขนาดนั้น เราก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความเสน่หากอดและจูบกันอย่างดูดดื่มในธารน้ำที่ชุ่มชื่นใจนั่น ยามเย็นย่ำทำให้บริเวณแถวนั้นร้างราจากผู้คน ฉันและคุณเซนจึงสามารถปล่อยกายปล่อยใจไปตามความปรารถนาของเราทั้งคู่ได้อย่างระเริงใจ

จนใกล้พลบค่ำเราจึงขี่มอเตอร์ไซค์กลับมาที่รีสอร์ตกันทั้งเนื้อตัวเปียกโชก

และแล้ว ช่วงเวลาที่ฉันรอคอยจึงได้เริ่มต้นขึ้นภายใต้สายน้ำอันเย็นฉ่ำจากฝักบัวในห้องอาบน้ำของคุณเซน!

ฉันเทครีมอาบน้ำกลิ่นตะไคร้ผสมมะกรูดที่ชื่นชอบลงบนฝ่ามือ แล้วบรรจงลูบไล้ไปทั่วลำตัวแข็งแกร่งของคนปากแดง เมื่อวานตอนเช้าที่ได้กลิ่นนี้จากตัวของคุณเซนฉันชอบมันมากๆ ฉันอยากจะให้กลิ่นนี้ติดตัวคุณเซนไปทั้งคืน เพราะฉะนั้นฉันจึงต้องให้เวลาในการลูบครีมอาบน้ำนี้ให้ทั่วๆอย่างช้าๆ และซ้ำๆย้ำๆไปทุกซอกทุกมุมของชายเจ้าเสน่ห์คนนี้

'อา... ลิน...'

ตลอดทั้งคืนเขาเป็นฝ่ายครางชื่อของฉันไม่หยุด เพราะฉันเริ่มต้นมหากาพย์อันเร่าร้อนของเราด้วยการเอาอกเอาใจปรนเปรอ 'คุณเซนที่แท้ทรู' ด้วยริมฝีปากอันอ่อนนุ่มของฉันเอง ส่วนสองมือนุ่มของฉันก็ไม่เคยที่จะหยุดนิ่ง ฉันพามันลูบไล้ไปทั่วทุกส่วนสัดของร่างกายอันแข็งแกร่งนั้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ฉันเป็นฝ่ายขึ้นนำเกมอยู่ข้างบน หรือตอนที่เขาเป็นฝ่ายโถมทับร่างของฉันรอบแล้วรอบเล่า

ฉันชอบความเพรียวแน่นแบบกำยำของคุณเซนจริงๆ นี่ยังสงสัยอยู่ว่าคุณเซนเอาเวลาที่ไหนไปเข้าฟิตเนส กล้ามขาวขาวพวกนี้ติดตัวมาแต่กำเนิดหรือไร หรือเพราะตอนวัยรุ่นที่ไปอยู่ญี่ปุ่นต้องใช้แรงกายทำงานในฟาร์มอย่างหนักหน่วง หรือว่าเป็นเพราะเค้า…

"ลินดูอะไรนี่ครับ รู้ว่าใครบางคนชอบดอกไม้ ผมเลยไปเก็บมาให้"

เสียงนุ่มนั้นดึงความคิดวาบหวามในภวังค์ของฉันให้กลับมาอยู่กับตัวจริงเสียงจริงตรงหน้า คนปากแดงกำลังเปิดถุงผ้าบางๆที่ถืออยู่ในมือให้ฉันดู

อา ดอกปีบกลีบบางเบาสีขาวกระจัดกระจายกันอยู่เต็มภายในถุงนั้น

"ว้าววววว!"

ฉันอุทานด้วยความตื่นเต้น เอื้อมมือไปหยิบเจ้าดอกสีขาวดอกหนึ่งขึ้นมาดม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้าด้วยแววตาเป็นประกาย

"เซนไปเก็บมาจากไหนคะเนี่ย"

"บนเนินเขาหลังกระท่อมนี้เองครับ มีต้นดอกปีบอยู่เต็มเลย วันที่มาถึงผมเดินไปสำรวจมา และรู้ว่าตอนเช้าๆดอกมันจะร่วงเต็มพื้น ผมตั้งใจอยู่แล้วว่าจะหาโอกาสออกไปเก็บมาให้ลิน" คนปากแดงบอกเล่าด้วยเสียงละมุน

อา โคตรโรแมนติค…

"นี่เซนรู้ด้วยหรือคะว่าดอกปีบมันจะร่วงตอนเช้าๆ"

ฉันสงสัยว่าคนอย่างคุณเซนสนใจเรื่องของดอกไม้ด้วยหรือ

"แต่ก่อนบ้านเรามีต้นปีบอยู่ตรงรั้วหน้าบ้าน แม่ผมเค้าชอบตื่นแต่เช้าไปเก็บดอกปีบเอามาลอยน้ำในอ่าง"

น้ำเสียงนั้นช่างละมุนขึ้นไปอีกยามเมื่อเอ่ยคุณโทโมโกะ แววตานั้นบ่งบอกได้ถึงความคิดถึงอย่างสุดหัวใจ

เดี๋ยวนะ นี่ความแก่ของฉันทำให้เขาคิดถึงแม่ของเขาหรือเปล่า โอว ไม่นะ

"อยู่นิ่งๆแป๊บนะครับ"

ว่าแล้วคนปากแดงก็ล้วงหยิบเจ้าดอกกลีบบางเบาสีขาวจากในถุงขึ้นมาดอกหนึ่ง แล้วเอามาทัดที่หูข้างซ้ายของฉันอย่างเบามือ

โอย ความละมุนนี้…

"น่ารักดี" เขาเอียงคอยิ้มนิดๆ ก่อนจะเคลื่อนแขนทั้งสองข้างมาโอบเอวฉันไว้อย่างหลวมๆ

คำชมเล็กๆจากคนตัวสูงนั่นทำเอาฉันยิ้มปลื้มปริ่ม ไม่นึกเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นด้านอบอุ่นน่ารักขนาดนี้ของคุณเซน นึกว่าเขาจะเป็นพวกขี้เกียจขี้เซาขอบนอนตื่นสายเสียอีก

"ขอบคุณนะคะ ชอบมากเลยค่ะ เดี๋ยวจะเอาทั้งถุงไปตกแต่งที่พักที่ใหม่คืนนี้ค่ะ"

ฉันเขย่งตัวขึ้นจุ๊บโหนกแก้มขาวๆนั้นดังจ๊วบ ทำดีก็ต้องได้รางวัลสินะ

"ความจริงเมื่อกี้ผมอยากปลุกลินไปดูด้วยกัน แต่เห็นลินนอนหลับปุ๋ยกรนเสียงดังเลยไม่อยากกวน" คนถูกจุ๊บดังจ๊วบยิ้มแก้มปริ

นี่ฉันกรนดังด้วยรึ ตายล่ะ น่าอายจริง

"อยากไปเห็นทุ่งดอกปีบด้วยตาตัวเองจังเลย อยากเห็นมาก ออกไปดูด้วยกันอีกทีนะคะ ไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ" ฉันทำเสียงกระตือรือร้นสุดๆเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเรื่องการนอนกรนของตัวเอง และอีกอย่างโอกาสที่จะเห็นสวนต้นปีบอย่างนี้มีไม่มาก

ฉันรีบจูงมือคุณเซนจะออกเดินในทันที

"เอ่อ ลินใส่เสื้อผ้าก่อนดีไหมครับ ยังไม่อาบน้ำไม่ว่า แต่ลินจะออกจากห้องไปทั้งผ้าห่มอย่างนี้ไม่ได้นะครับ" คนใจดีเอ่ยทักยิ้มๆ

"เอ้อ จริงค่ะ แต่เอ๊ะ เดี๋ยวก่อน" ฉันชะงัก นึกอะไรขึ้นได้

"นี่กี่โมงแล้วคะเนี่ย ไฟลท์กลับกรุงเทพของเซนตอนเที่ยงไม่ใช่หรือคะ" ฉันจำได้ว่าตอนคุยกันทีแรกเขาวางแผนไว้ว่าจะกลับวันนี้ ส่วนตัวฉันเองลาพักร้อนต่ออีกทั้งอาทิตย์

"ผมเปลี่ยนใจแล้ว ยังไม่อยากกลับวันนี้ กลัวใครบางคนจะร้องไห้ขี้มูกโป่งคิดถึงผม"

วงแขนนั้นโอบกระชับเข้ามา เขาเอาปลายจมูกของเขามาเขี่ยปลายจมูกของฉันเล่น

ฉันอมยิ้ม จริง!

ถ้าคุณเซนต้องกลับไปวันนี้ ฉันคงทำใจลำบาก จะนอนคนเดียวได้ยังไงกัน ฉันเป็นคนขี้กลัวผี

คราวนี้คนปากแดงกอดฉันแน่น แล้วจูบที่ขมับของฉันอย่างแรง ก่อนจะกระซิบเบาๆที่ข้างหู

"ขอผมไปเที่ยวด้วยคนนะ ลินไปไหน ผมไปด้วยทุกที่"

แต่ไหนแต่ไรฉันก็ไม่เคยปฏิเสธเขาได้อยู่แล้ว และยิ่งมาทำน้ำเสียงออดอ้อนแบบนี้ โอย ใจฉันก็ละลายแล้วละลายอีก

และถึงจะรู้ว่าอย่างไรคุณเซนก็คงอยู่ต่อได้อีกแค่สองสามวัน แต่แค่ได้มีโอกาสยืดเวลาที่จะได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองอีกนิดหน่อย

แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว….

"Sacred Monkey Forest Sanctuary เป็นป่าที่ชาวบาหลีเชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเป็นที่อยู่อาศัยของพญาลิงตามความเชื่อของชาวฮินดูที่ว่าลิงเป็นทหารที่ปกป้องเทพเจ้า ที่นี่เป็นป่าดิบชื้น มีลิงอาศัยอยู่มากกว่า 700 ตัว ต้นไม้มีความหลากหลายถึง 186 สปีชีส์ บนพื้นที่ประมาณ 78 ไร่"

ฉันอ่านข้อมูลที่อยู่อาศัยของแก๊งลิงโหดให้คุณเซนฟังจากการกูเกิ้ลในมือถือ เมื่อเราขับรถกันมาถึงที่หน้าทางเข้า

กว่าเราจะได้เช็กเอาท์ออกจากรีสอร์ตกันก็เกือบเที่ยง เพราะฉันร่ำร้องจะไปดูสวนเจ้าดอกสีขาวนั่นให้ได้ และคุณปากแดงเขาก็ตามใจฉันทุกอย่าง เราปล่อยตัว ปล่อยใจ ปล่อยเวลากันตามที่สบายใจ ละเลียดดูต้นดอกปีบ ละเลียดกินอาหารเช้า หลังจากนั้นขณะที่ฉันใช้เวลาในการละเลียดอาบน้ำแต่งตัว คุณเซนเขาก็เป็นผู้เอารถมอเตอร์ไซค์ไปคืนที่ร้านเช่าในเมือง แล้วเปลี่ยนเป็นเช่ารถจี๊ปกลับมารับฉันที่รีสอร์ต

แล้วเราก็เริ่มต้นทริปอันแสนสุขสันต์ของเราด้วยป่าพญาลิง ตามความต้องการของฉัน

"อูย ดูน่ากลัวอะ"

ฉันเริ่มเกาะแขนคนข้างๆเมื่อเดินกันเข้ามาในบริเวณป่าที่ชุ่มชื้นแห่งนั้น แล้วเหลียวมองไปรอบๆเจอแก๊งเจ้าจ๋อตัวน้อยใหญ่หน้าตาเอาเรื่องวิ่งไปมากันให้วุ่นวาย ปีนป่ายกันให้ขวักไขว่

"หมายถึงลินดูน่ากลัวสำหรับพวกลิง?" คนปากแดงเขาพูดพลางเงยหน้ามองไปบนอากาศ

"นี่แน่ะ"

ฉันแอบดีดนิ้วเข้าที่ติ่งหูของคนที่ฉันเกาะเขาอยู่ ขอคุณเซนโหมดละมุนแบบเมื่อเช้ากลับมาได้ไหม ไม่เอาโหมดกวนประสาทแบบนี้

"โอ๊ยยยยยย!!!"

คนข้างๆทำร้องลั่นเกินเบอร์ ทำให้บรรดาเจ้าจ๋อหน้าโหดแถวนั้นหันขวับมาทางเราทันที โอย ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

"นี่แน่ะ เค้าไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำฝ่ายเดียวหรอก" มือเขาดีดติ่งหูฉันกลับมาบ้างเบาๆอย่างหยอกๆ แต่ตาเรียวนั่นยังทำเป็นมองไปบนอากาศ

"แล้วเซนจ้องอะไรอยู่คะเนี่ย มีอะไรบนต้นไม้เหรอ" ฉันชักสงสัย ตั้งแต่เดินเข้ามานี่คุณเซนเอาแต่เงยหน้าจ้องมองไปข้างบน

"ก็กฎข้อแรกของที่นี่ ห้ามจ้องตาลิง การจ้องตาลิงที่นี่เสมือนเป็นการหาเรื่อง ลิงจะขู่ตอบ อย่าเผลอมีเรื่องกับลิงเพราะมันจะกัดไม่ปล่อยแน่ๆ ผมต้องรักษากฎ ต้องไม่จ้องตาลิน" คนปากแดงเขาทำพูดยิ้มๆโดยยังไม่ยอมมองหน้าฉัน

"ข้อสองอย่าเผลอไปกวนใจนางพญาลิง เพราะนางพญาลิงจะจั๊กจี้คุณไม่หยุด" ฉันเสริมทันควัน

ได้ จะเอางี้ใช่ไหม ฉันยึดเอวเขาเอาไว้แน่นด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างเอื้อมมือไปจี๋เอวเขารัวๆ

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยอมแล้ว"

คนปากแดงหัวเราะเสียงดัง ดิ้นขลุกขลักไปมาในอ้อมแขนของฉัน

ฉันเคยได้ยินมาว่า หากต้องการทำให้ใครสักคนตกหลุมรัก จงทำให้เขาหัวเราะ แต่สำหรับฉัน มันกลับกลายเป็นว่าทุกครั้งที่คุณเซนหัวเราะ ฉันต่างหากที่เป็นฝ่ายตกหลุมรักเขา เฮ้อ…

หลังจากเราเล่นกะจั๊กจี้กันพอหอมปากหอมคอให้บรรดาพวกเจ้าจ๋ออิจฉากันแล้ว เราก็เกาะเกี่ยวแขนกันเดินต่อไปอย่างสุขใจตามเส้นทางสะพานไม้ในป่าทึบแห่งนั้น วันนี้มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างหนาตาเลย คงเพราะเป็นวันเสาร์

แต่เอ๊ะ เดี๋ยวนะ นี่มือฉัน นี่มือคุณเซน แล้วนี่มือใครอีกมือมาแตะต้นแขนของฉัน

"Hi Mam, look look, beautiful for you"

สำเนียงภาษาอังกฤษแปร่งๆที่ดังขึ้นข้างๆตัว ทำให้ฉันต้องหยุดเดินแล้วเหลียวไปดู ก็พบชายท้องถิ่นตัวเล็กผิวคล้ำยืนอยู่พร้อมกับแผงกระดานไม้แบบห้อยคอ ฉันกวาดตามองอย่างรวดเร็ว ก็เห็นว่าสินค้าที่เขาพยายามจะนำเสนอขายนั้นเป็นสร้อยข้อมือซึ่งทำจากลูกปัดหลากสีหลายแบบวางเรียงรายกันอยู่

อื้อม น่าสนใจแฮะ ดูคุณภาพใช้ได้ แล้วก็เดินเร่ขายแบบนี้น่าจะราคาไม่แพง เดี๋ยวเหมาหมดเลยดีกว่า ฮิฮิ

"ขอลินดูสร้อยข้อมือแป๊บนึงนะคะเซน" ฉันหันไปบอกคนข้างๆ ผละมือจากที่กอดแขนเขาเอาไว้มาหยิบจับบรรดาพวกสร้อยหลากสีบนแผงไม้นั้นแทน

"ลินดูตามสบายเลยครับ เดี๋ยวผมไปถ่ายรูปพวกเพื่อนๆลินมาไว้ให้เป็นที่ระลึก" เขายักคิ้วหลิ่วตาก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาแก๊งพญาลิงแม่ลูกอ่อนที่นั่งกินนมกันอยู่บนพื้น

ฉันมองค้อนเขาแว่บหนึ่งแบบไม่ใส่ใจนัก

แหม ทำเป็นปากดี เดี๋ยวก็โดนจั๊กจี้อีกหรอก ว่าแล้วก็ดูสร้อยต่อดีกว่า

"Here Mam, this one for you"

คนขายสร้อยพยายามนำเสนอสร้อยเส้นนั้นเส้นนี้ให้กับฉัน ซึ่งฉันก็เพลิดเพลินกับการเลือกสรรพอควร จนได้สร้อยที่ถูกใจมาสองสามเส้น

แต่พอได้ยินราคาที่เขาบอกมา ฉันก็เซย์โนวโดยทันที

บ้าบอละ มาโก่งราคากันขนาดนี้กับเจ้าแม่เครื่องประดับอย่างฉัน ไม่รู้อะไรซะแล้ว ฉันรู้จักวัสดุทำเครื่องประดับเกือบทุกชนิดบนโลกใบนี้ ฉันเดินมาดูมาหมดแล้วทั้งของถูกยันของแพง ตั้งแต่สำเพ็งไปจนถึง Tiffany

"Thank you very much, but they are too expensive"

ฉันกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะวางบรรดาสร้อยที่อุตส่าห์เลือกมาแล้วลงที่เดิม

"No! not expensive, very good, you know? special price, you know?"

คนขายตะโกน และทำหน้าทำตาทำสายตาดูถูกดูแคลนเหมือนว่าฉันช่างไม่รู้เรื่องอะไรเสียเลยที่มาบอกว่าสร้อยของเขาแพง

"Sorry but I don't have money, Bye Bye!"

ฉันพยายามสะกดอารมณ์ตอบกลับไปอย่างสุภาพที่สุด แล้วเดินออกมาโดยไม่ลังเล ตอนนี้เวลาของฉันมีค่าเกินกว่าจะมาเล่นเกมต่อรองราคาเหมือนสมัยเป็นสาวๆ

"Wait Mam, ok! ok!, how much you want to pay, stop! stop!"

ชายคนขายสร้อยยังคงเดินตามมา พยายามจะตื้อขายสร้อยให้ฉันให้ได้ แต่ฉันไม่สนแล้ว ไปหาคุณเซนดีกว่า โน่นยังก้มๆเงยๆถ่ายรูปนางพญาลิงแม่ลูกอ่อนอยู่ตรงโน้น แล้วคุณเธอเข้าไปใกล้ขนาดนั้นไม่กลัวถูกลิงกัดรึ เขายิ่งเตือนๆกันอยู่ว่าลิงที่นี่ดุมาก

ไม่ได้การละ ต้องรีบเข้าไปเตือนคุณเซน

"เอ๊ะ!"

แต่แล้วฉันก็ต้องชะงักและอุทานด้วยความตกใจ เมื่อรู้สึกถึงแรงที่คว้าต้นแขนของฉันเอาไว้ หันขวับไปก็เห็นคนขายสร้อยกำลังกำต้นแขนของฉันแน่นด้วยมือที่หยาบกร้าน

"What?"

ฉันตะโกนเสียงดัง เลือดขึ้นหน้า นี่กล้าดียังไงมาแตะต้องตัวฉัน!

"Leave me!"

แต่เขาก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังคงกำต้นแขนฉันแน่น

"You buy one, get one free" ยังคงพยายามจะขายอยู่นั่น

ได้! ไม่ปล่อยใช่ไหม เดี๋ยวได้เจอดีแน่

ขณะที่ฉันกำลังเตรียมพร้อมที่จะมีเรื่องกับคนขายสร้อย พลันก็มีมือเรียวขาวทว่าแข็งแรงตรงปรี่เข้ามาจับข้อมือของชายท้องถิ่นคนนั้นแล้วบิดอย่างแรง จนมือหยาบนั้นหลุดไปจากต้นแขนของฉัน ก่อนที่เจ้าของมือขาวจะก้าวเข้าไปจับไหล่ชายขายสร้อยไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง แล้วบิดแขนของเขาไพล่ไปข้างหลังอย่างรวดเร็วด้วยมืออีกข้างหนึ่ง

"โอ้ย!!!"

เสียงร้องลั่นอย่างเจ็บปวดนั่นเป็นเหตุให้ทั้งคนทั้งลิงพากันแตกตื่น จ้องมองมาทางเราเป็นตาเดียวกัน

ส่วนคุณเซนก็กำลังจ้องไปที่ชายเคราะห์ร้ายคนนั้น แววตาเรียวส่งประกายดุดันออกมาอย่างน่ากลัว

"Go away! Don't touch her!" น้ำเสียงนั่นเย็นเยียบและแข็งกร้าว

แล้วมือเรียวขาวที่กำลังจับอยู่ที่หัวไหล่ของชายขายสร้อยก็เลื่อนไปบีบอย่างแรงที่หลังคอของเขา

"โอ้ย!!!"

เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังขึ้นอีกที แล้วร่างเล็กผอมเกร็งนั่นก็ถูกผลักไปข้างหน้าอย่างเร็วจนล้มคะมำ และเมื่อลุกขึ้นทรงตัวได้ ชายขายสร้อยก็ลนลานวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

...โคตรน่ากลัว

ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ เสียววาบที่ต้นคอเลยฉัน

เห็นหน้าขาวๆตัวสูงๆบางๆอย่างนี้ แต่ตอนหน้านิ่งยืนนิ่งอย่างนี้นี่น่ากลัวมาก คือที่ไปอยู่ญี่ปุ่นมาสิบห้าปีนี่ ไปเข้าแก๊งยากูซ่ามาใช่ไหม ว่าแล้วเชียว ฉันก็เพิ่งจะนึกออก คุณเซนเขามีรอยสักที่บริเวณหัวไหล่ด้วย เป็นรูปกลุ่มดอกซากุระดอกเล็กๆโทนสีอ่อนๆสีขาวสลับกับสีชมพู

แต่อือม์ แปลกจริง แก๊งยากูซ่านี่เขานิยมสักรูปดอกไม้กันรึ นึกว่าต้องเป็นรูปมังกรไรพวกนั้น

"ลินเป็นอะไรไหมครับ ตกใจมากหรือเปล่า"

เสียงอ่อนโยนของคนมีรอยสักดึงความคิดฉันให้กลับมาอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า ตอนนี้บรรดาแก๊งลิงเลิกสนใจเราแล้ว และบรรดานักท่องเที่ยวก็เริ่มตีวงออกห่างเราไปด้วยท่าทางหวั่นๆ

ตาเรียวคู่นั้นกลับมาละมุนเหมือนเดิมแล้วยามที่เขาหันกลับมองมาที่ฉัน มือเรียวนั่นเอื้อมมาสัมผัสที่ต้นแขนฉันอย่างอ่อนโยน

แต่ฉันกลับสะดุ้ง หดแขนถอยโดยอัตโนมัติ

"เจ็บหรือครับ"

"ไม่เจ็บค่ะ แต่กลัว" ฉันตัดสินใจบอกความรู้สึกที่แท้จริงออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นๆ

"กลัวไอ้คนเมื่อกี้?" เขาเลิกคิ้ว

"กลัวคุณเซนนั่นแหละ"

ฉันกลับมาเรียกเขา 'คุณเซน' เหมือนอย่างเดิมดีกว่า ปลอดภัยไว้ก่อน

คราวนี้เจ้าของรอยสักดอกซากุระหัวเราะเบาๆ

"ผมน่ากลัวตรงไหน?" เขาทำหน้าตาเหลอหลา

คือคุณเซนคะ… เมื่อกี้ที่ตาเรียวหวานของคุณจู่ๆก็เปลี่ยนไปเป็นตาเรียวโหดได้ขนาดนั้น ใครจะไม่กลัวบ้างวะคะ

แต่เดี๋ยวนะ แล้วตอนนั้นที่จตุจักร ตอนที่เค้าโดนขโมยกระเป๋าตังค์ ไม่เห็นคุณเซนจะทำอะไรอย่างนี้เลย โอย หรือเมื่อกี้จะคือคุณเซนตัวปลอม แบบวิญญาณยากูซ่าเข้าสิงโดยไม่รู้ตัวงี้

ฉันอดไม่ได้ที่จะจ้องหน้าเขาอย่างหวาดๆ

"…" นิ่งกันไปทั้งคู่

เขาเลิกคิ้วอีกรอบ มองฉันยิ้มๆอยู่ชั่วครู่ แล้วอยู่ดีๆก็หยุดยิ้ม แล้วก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเรียบแบบยอมจำนน

"โอเค ผมคือหัวหน้าแก๊งยากูซ่าปลอมตัวมา"

"นั่นไง ชั้นว่าแล้วววว" ฉันเผลอตัวอุทานออกไปเสียงดัง เดาไม่ผิดเลย

"ที่มาบาหลีในครั้งนี้ก็เพราะมาตามฆ่าล้างแค้นคนที่ทรยศหักหลังแก๊งเรา" น้ำเสียงเริ่มเหี้ยมขึ้น สอดคล้องกับนัยน์ตาเหี้ยมๆนั่น

ฉันถึงกับผงะถอยกรูดกับคำสารภาพของเขา

จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์คับขันนี้ยังไงดีนะ แกล้งตายดีไหม หรือคุกเข่าลงร้องขอชีวิต แล้วคุณเซนเขาจะตัดนิ้วก้อยซ้ายของฉันไหมนะ โทษฐานที่ล่วงรู้แผนลับสุดยอดของแก๊งเขา

และเป็นเพราะความระแวดระวังขั้นสูงสุด ฉันจึงเผลอเหลือบตามองนิ้วก้อยซ้ายของคนตรงหน้าโดยไม่ได้ตั้งใจ อ้อ เขายังมีนิ้วอยู่ครบ นี่คงซื่อสัตย์กับองค์กรมาก

"ผมยังมีนิ้วอยู่ครบทั้งสองมือ" สมาชิกแก๊งยากูซ่าคนนี้กางนิ้วทั้งสิบมาที่ข้างหน้าฉัน

"รู้นะ คิดอะไรอยู่" เขาจ้องหน้าฉันด้วยความดุดัน

ทำไงดี ทำไงดี ปากคอสั่นไปหมดแล้ว

"ชั้น เอ่อ ชั้นรับรองจะไม่บอกใครเด็ดขาด คุณเซนก็รู้ว่าชั้นเป็นคนเงียบๆเรียบร้อย ไม่ค่อยชอบพูดคุยกับใคร ชั้นเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ชอบอยู่กับบ้าน" ฉันละล่ำละลักชี้แจงตัวตนที่แท้จริงของฉันออกไป

คนหน้าเหี้ยมจ้องหน้าฉันด้วยตาลุกวาว ก่อนจะขำพรืดออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า บ้าบอ"

สองมือเรียวขาวนั่นเอื้อมมาขยี้หัวฉันอย่างมันเขี้ยว ก่อนจะรั้งท้ายทอยฉันเข้ามาจูบที่หน้าผากอย่างอ่อนโยนแผ่วเบา

"อื้อ ช่างมโนนะเราน่ะ" เขายิ้มหวานทั้งตาทั้งปาก

"…"

จะเชื่อดีไหมนะ

"นี่คิดว่าผมเป็นยากูซ่าจริงๆอะ จะบ้าเหรอ ยากูซ่าที่ไหนจะเล่นจั๊กจี้" ว่าแล้วเขาก็เอามือมาจี้เอวฉัน

โอเค โอเคค่ะ เชื่อแล้วค่ะ

"โอ้ย ใจหายใจคว่ำ" ฉันถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก จัดทรงผมให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนจะแอบพามือไปลูบหน้าลูบตาคุณเซน

วิญญาณผียากูซ่าคงออกจากร่างไปแล้วสินะ

"หล่อหวานขนาดนี้อะนะ จะเป็นนักเลง?" รอยยิ้มแก้มบุ๋มนั่นกลับมาแล้ว น้ำเสียงกวนๆก็ตามกลับมาด้วย

"แหม ก็มันน่าสงสัยนี่นา เซนก็มีรอยสักเหมือนพวกยากูซ่า แถมเจาะหูตั้งสามรูอีก"

งั้นฉันก็คงกลับมาเรียกเค้าว่า 'เซน' เหมือนเดิมได้แล้ว

"อูย คุณป้าครับ พวกแร็ปเปอร์เค้าก็มีรอยสักกับเจาะหูกันทุกคนมั้ยครับ" เขาส่ายหน้ายิ้มๆ

นี่บังอาจมาเรียกฉันว่า 'คุณป้า' เรอะ ได้ งั้นต้องเจอคำสั่งสอนแบบมนุษย์ป้า

"เซนคะ ที่เซนทำกับคนขายสร้อยนั่นมันรุนแรงเกินไป อย่าลืมนะคะว่าเรากำลังเป็นตัวแทนของประเทศไทย ซึ่งมีประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม โอบอ้อมอารีกับชาวต่างชาติ รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น สำนึกในบุญคุณของแผ่นดิน เป็นคนดีของชาติศาสน์กษัตริย์ นั่งสมาธิเป็นกิจวัตร ตนเป็นที่พึ่งตน" ฉันร่ายยาวอย่างจริงจัง

"…"

แล้วฉันก็ได้รับสายตาที่ว่างเปล่าของคนตรงข้ามตอบกลับมา

"…"

ไงล่ะ อึ้งล่ะสิ เจอคอสเพลย์มนุษย์ป้าสมบูรณ์แบบเข้าไป

หลังจากอึ้งไปชั่วครู่ แต่แล้วคุณเซนเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาบ้าง

"เรื่องรักชาตินั่นช่างมันก่อนเถอะนะครับ กลับมาเรื่องเมื่อกี้ก่อน ผมเคยบอกแล้วไงว่าไม่ชอบให้ใครมาแตะต้องตัวลิน กรณีคุณวาเลนตี้นั่นเค้าแค่แตะลินเพียงผิวเผิน ผมยังพอทนได้ แต่ไอ้คนเมื่อกี้มันถึงกับจับแขนของลิน ผมยอมไม่ได้จริงๆ มันก็ต้องโดนอย่างนี้ล่ะ"

คืออารมณ์คล้ายๆกับ 'ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ' งี้?

"แน้ หวงเค้าอะดิ" ฉันอดไม่ได้ที่จะเข้าไปกอดแขนเขาพร้อมกับทำเสียงออดอ้อน หายฉุนแล้วที่เขาเรียกฉันว่าคุณป้า

"ก็นิดหน่อย" คนปากแดงซึ่งตอนนี้โหนกแก้มแดงด้วยทำเป็นมองไปทางอื่น แต่ฉันเห็นนะ ว่าเขาแอบอมยิ้ม

"ขอบคุณนะคะที่ปกป้องกัน เซนเท่สุดๆไปเลยค่ะ" ฉันทำเสียงหวานพร้อมกับยิ้มหวานเอาอกเอาใจ

คราวนี้คนปากแดงเขาแอบหันมาสบตาฉันด้วยสีหน้าเขินๆ

"แต่ก็นะ เซนทำเค้าแรงไปหรือเปล่าคะ ดูเค้าเจ็บมากเลย" แต่ฉันก็ยังรู้สึกผิดๆอยู่ยังไงไม่รู้

"ผมต้องรีบสกัดไว้ก่อน เพราะถ้าปล่อยให้ลินจัดการเอง อาการเค้าอาจจะหนักกว่านี้ ผมยังจำตอนที่ลินเอากระบองเพชรฟาดหัวขโมยได้อยู่นะครับ" เขาทักท้วงกลับมา

"เอ่อ… ก็จริง โอเค งั้นหายกันค่ะ ทำไปเพื่อป้องกันตัวด้วยกันทั้งคู่ ไม่ถือว่ามีความผิด" ฉันรีบรับผิดและรีบนิรโทษกรรมให้กับทั้งตัวฉันและตัวคุณเซนอย่างรวดเร็ว

"เราไปถ่ายรูปแก๊งลิงแม่ลูกอ่อนกันต่อดีกว่าค่ะ ดูโน่นสิคะลูกลิงกินนมแม่ น่าร้ากกกก" แล้วก็ต้องรีบเบี่ยงเบนประเด็นไปให้พ้นจากเรื่องของความรุนแรง ควรเข้าสู่โหมดน่ารักใสๆกันให้เร็วที่สุด

"เอ้อ ใช่ครับ ไปถ่ายรูปกันดีกว่า ลินจะได้มีรูปถ่ายกับเพื่อนๆซะที" คนข้างๆฉันเขาก็สลัดมาดยากูซ่าทิ้งไป กลับมาเป็นหนุ่มหน้าใสฝักใฝ่การกวนประสาทฉันเหมือนเดิมแล้ว

"โอเค ไปกันค่ะ เดี๋ยวเพื่อนๆจะรอ" ฉันเอ่ยขึ้นอย่างร่าเริง เป็นเพื่อนกับลิงก็ครึกครื้นดี

"เดี๋ยวครับ…" แล้วคุณเซนเขาก็ประสานมือของเขาเข้ากับมือของฉันอย่างแนบแน่น

"ต้องจับมือกันไว้ไม่ให้คลาดสายตา เดี๋ยวลินจะไปหาเรื่องใครเข้าอีก" แววตาเรียวนั่นช่างวิบวับเหลือเกิน

โอ๊ย พ่อหนุ่ม ถึงไม่จับมือกันไว้ ป้าก็ไม่ไปไหนไกลหรอกค่า

ความละมุนที่คุณเซนมีให้ฉันอย่างล้นเหลือยามเมื่อเราอยู่กันตามลำพัง ทำให้ฉันอยากจะเสกให้ผู้คนอื่นๆหายไปทั้งโลก อยากเหลือเกินที่จะให้โลกนี้มีแค่เราสองคนอย่างนี้

ตลอดไป…