webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · ย้อนยุค
เรตติ้งไม่พอ
339 Chs

ตอนที่ 278 กลับมาแล้ว

ตอนที่ 278 กลับมาแล้ว

เมื่อมีเบาะแสที่ซานเอ๋อร์มอบให้ ไม่ทันไรหัวหน้ามือปราบเจิ้งก็เสาะหาเบื้องลึกเบื้องหลังของคนร้ายเหล่านั้นได้อย่างกระจ่างแจ้ง พวกเหล่าเถี่ยเดิมทีเป็นนักเลงในแถบเขตเป่าติง อาศัยว่ามีทักษะศิลปะการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ช่วยลงไม้ลงมือแทนผู้อื่นได้ ส่วนเว่ยจื่อผู้นั้นยังควานหาต้นตอไม่เจอ หลังเว้นไปหนึ่งวัน ก็จับกุมตัวพวกเหล่าเถี่ยได้ในแทบเขตสุ่นอี้ ตามข้อมูลที่พวกเขาบอกกล่าว พวกเขาไม่ได้เป็นคนลักพาตัว พวกเขามีหน้าที่เพียงแค่คอยจับตาดูไว้ เรื่องราวต่างๆ ล้วนมีเว่ยจื่อเป็นผู้ติดต่อกับเบื้องบนอีกที เมื่อซานเอ๋อร์หนีไป พวกเขาเกรงกลัวว่าหัวหน้าจะไม่ให้อภัยก็เลยหนีตายมาเช่นกัน พวกเขาไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจนของเว่ยจื่อเช่นกัน รู้เพียงเว่ยจื่อเคยอยู่ในค่ายทหารมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว

เรื่องภายในค่ายทหาร หัวหน้ามือปราบเจิ้งไม่อาจแทรกแซงได้ หลินหลันจึงส่งข่าวไปทางจิ้งปั๋วโหว์

หลังจากนั้น ในเมืองหลวงก็เริ่มมีข่าวคราวแพร่งพรายออกไปว่า หลินซานบุตรชายคนเดียวของแม่ทัพฮ๋วยหยวนหายตัวไป ถูกคนลักพาตัวไปแล้ว เพียงชั่วครู่เดียวเรื่องราวนี้ก็แพร่สะพัดไปทั่ว แต่ละครอบครัวต่างเป็นกังวลต่อบุตรหลานของตนเองขึ้นมา จึงให้ผู้ดูแลในบ้านคอยดูแล ไม่ให้ออกจากประตูใหญ่เป็นอันขาด เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกไปถึงฮ่องเต้ ฮ่องเต้โกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง แม่ทัพฮ๋วยหยวนเป็นผู้สร้างคุณประโยชน์ให้แก่ราชสำนักไว้ใหญ่หลวง คนเขาสละเลือดเนื้ออยู่ที่ชายแดน บุตรชายอยู่ในพื้นที่ซึ่งมีฮ่องเต้เป็นผู้ปกครองดันถูกคนลักพาตัวไปได้ แล้วนี่จะไม่เป็นการทำให้คนเขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งหรอกหรือ ด้วยเหตุนี้จึงสั่งการกองอำนวยการจัดการดูแลเมืองหลวง และหน่วยงานลาดตระเวนประจำเมืองดำเนินการอย่างเคร่งครัดทันที จะต้องตามหาตัวเด็กกลับมาให้จงได้ และลงโทษผู้ร้ายสถานหนัก

บรรดาฮูหยินที่ปกติแล้วมีมิตรสัมพันธ์ดีงามกับเฝิงซูหมิ่นต่างทยอยมาถึงบ้าน โดยอาศัยข้ออ้างที่ว่าต้องการปลอบใจนางเพื่อมาถามไถ่สถานการณ์ภายใน ทว่าเฝิงซูหมิ่นใช้ข้ออ้างว่านางไม่สบายจึงไม่ขอพบเจอผู้ใด

ในเวลาเดียวกันนี้ ท่ามกลางเมืองหลวงมีคำบอกกล่าวที่น่าสนใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง โดยกล่าวว่าบุตรชายของแม่ทัพฮ๋วยหยวนถูกลักพาตัวไปตอนอยู่ในจวนหลี่ฐานะแขกคนหนึ่ง เดิมทีคนเหล่านั้นคิดจะกระทำไม่ดีต่อคนของจวนหลี่...แล้วใครกันที่ต้องการกระทำไม่ดีต่อจวนหลี่? สมองของทุกคนล้วนครุ่นคิดกันไม่หยุดหย่อน ไม่นานนักก็นำเรื่องที่ตระกูลฉินก่อกบฏมาเชื่อมกันเป็นหนึ่งเดียว ยิ่งไปกว่านั้นผู้ก่อการกบฏนี้ก็ยังคิดจะจับตัวฮูหยินหลี่ไปเป็นเครื่องต่อรองอีกด้วย ด้วยการคาดเดาอันรุนแรงดุเดือดยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ ทำให้ตระกูลฉินถูกวิพากษ์วิจารณ์โดยผู้คนในสังคมอย่างโหดร้ายและดุดัน

ฉินเฉิงซื่อถูกฉินจ้งว่ากล่าวสั่งสอนอย่างรุนแรงอีกชุดใหญ่ ถูกกระดาษฟ่อนหนาทุบตีหัวแทบตายด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์ของตระกูลฉินกับบรรดาขุนนางและทหารในราชสำนักเดิมทีก็ลุ่มๆ ดอนๆ อยู่แล้ว อยู่ดีไม่ว่าดีดันไปจับตัวบุตรชายของตระกูลแม่ทัพฮ๋วยหยวนมาไว้ หากเรื่องนี้ความแตกขึ้นมา คงเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ฉินเฉิงซื่อรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเสมือนไม่ได้รับความยุติธรรม แต่ก็ไม่กล้าโต้เถียงใดๆ ทำได้เพียงยอมรับความซวยนี้ ใครจะรู้ว่าเด็กที่อยู่ข้างกายสะใภ้รองของตระกูลหลี่เป็นบุตรชายของตระกูลแม่ทัพฮ๋วยหยวนล่ะ ฉินเฉิงซื่ออดคิดอย่างไม่สบอารมณ์ไม่ได้ สองปีมานี้ตระกูลฉินทำเรื่องอะไรก็ไม่ราบรื่นไปหมด ได้แต่มองดูการก้าวเดินเข้าสู่สถานการณ์หายนะทีละก้าว หรือมันจะเป็นจดจบของตระกูลที่ยิ่งใหญ่แล้ว?

ในที่สุดหลินหลันก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจเสียที จากสถานการณ์ในปัจจุบันนี้ ตระกูลฉินถูกเพ่งเล็ง ก็คงไม่กล้ากระทำการไม่ดีต่อนางขึ้นมาอีก อย่าว่าแต่ตระกูลฉินไม่กล้าเลย ตระกูลฉินยังต้องขอพรว่าอย่าให้จวนหลี่เกิดเรื่องไม่คาดคิดอะไรขึ้นมาอีกถึงจะเป็นการดี เพราะหากจวนหลี่เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาอีก บัญชีนี้คงถูกนับรวมมาถึงพวกเขาด้วยเป็นแน่

เรื่องดีๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง จิ้งปั๋วโหว์ให้คนมาส่งข่าวคราว กล่าวว่าแม่ทัพหลินกำลังกลับมายังราชสำนักแล้ว นี่หมายความว่าหมิงอวินก็ใกล้กลับมาแล้วเช่นกัน ฟ้าสดใสหลังเมฆครึ้มฝนกำลังมาเยือนเสียที

หลินหลันอารมณ์ดีอย่างยิ่ง นางกำลังหักนิ้วนับจำนวนวัน คำนวณได้ว่าแยกห่างจากหมิงอวินเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว

วันนี้โม่จื่อโหย่วมาหาถึงที่บ้าน กล่าวว่าระยะนี้เขาและศิษย์พี่รองว่างงานจนแทบคลั่ง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด เลยมาถามไถ่ว่าหุยชุนถางจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้งเมื่อใด ดวงตาคู่หนึ่งกลับแอบชำเลืองมองไปยังหยินหลิ่ว หยินหลิ่วจ้องเขม็งใส่เขา ดวงหน้าแดงระเรื่อของเขาจึงหันหนีทันที ผ่านไปเพียงชั่วครู่เดียวก็อดหันไปมองอีกครั้งไม่ได้

ทั้งสองใช้สายตาทำสงครามต่อกัน หลินหลันทำเป็นมองไม่เห็น แต่แอบยิ้มอยู่ภายในใจ ว่างงานจนแทบคลั่งอะไรกัน เห็นๆ อยู่ว่าเพราะไม่ได้เจอะเจอใครคนหนึ่งมาพักใหญ่แล้ว จึงคิดคะนึงถึงแทบแย่ต่างหาก

“ทางด้านหุยชุนถางนี้ไม่อาจรีบเปิดทำการได้ เหวินซานส่งจดหมายมาว่าโรงผลิตเออเจียวที่เมืองตงอาทางด้านนั้นจัดการไปเกือบสมบูรณ์แล้ว ท่านและศิษย์พี่รองหากว่างงานจนเบื่อหน่ายจริงๆ ก็ไปเที่ยวเล่นทางด้านเมืองตงอาเสียก่อนสิ จะได้ถือโอกาสนำสูตรตัวยาติดไปด้วย จากนั้นทำการผลิตสินค้าออกมาชุดหนึ่งแล้วนำกลับมาดู” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น

โม่จื่อโหยวอ้าปากพะเงิบพะงาบ เนิ่นนานพอตัวกว่าจะเค้นคำพูดออกมาได้ “ศิษย์น้อง หากข้ากับศิษย์พี่รองไปกันหมด แล้วทางด้านนี้หากเจ้าต้องการเปิดทำการหุยชุนถาง แล้วยังมีภาระงานทางด้านบัญชีกองพะเนินต้องจัดการอีกด้วย! เมื่อถึงตอนนั้นกำลังคนไม่พอจะทำไหวได้อย่างไรล่ะ หรือไม่ให้ศิษย์พี่รองไปตงอาก็พอ ให้ข้าคอยอยู่ช่วยเหลือเจ้าที่นี่”

หลินหลันกลั้นหัวเราะ กล่าวออกไปอย่างสบายๆ “นี่ใช่ปัญหาเสียที่ไหนกัน ข้าแค่รอพวกท่านกลับมาแล้วค่อยเปิดทำการหุยชุนถางก็ได้ ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอันใดต้องใช้เงินอยู่แล้ว”

คราวนี้โม่จื่อโหยวถึงกับไปต่อไม่ถูก เพียงแต่ใบหน้าของเขาถึงกับแดงก่ำขึ้นมา เนิ่นนานผ่านไปเขากัดฟันแน่น แล้วจึงกล่าว “ศิษย์น้อง มีเรื่องหนึ่ง ข้าอยากปรึกษาหารือกับเจ้า”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “ศิษย์พี่มีอันใดก็ว่ามาได้เลย”

โม่จื่อโหยวมองไปยังหยินหลิ่วอย่างเขินอาย จากนั้นกล่าวอ้ำๆ อึ้งๆ “เรื่องนี้ ข้าต้องพูดคุยกับเจ้าตามลำพัง”

เห็นท่าทางร้อนรนใจของศิษย์พี่ทั้งสอง หลินหลันจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนต่อหยินหลิ่ว “หยินหลิ่ว เจ้าออกไปทำงานของเจ้าก่อนเถอะ”

หยินหลิ่วมองค้อนใส่โม่จื่อโหยว จากนั้นย่อตัวคาราวะแล้วถอยออกไป

“ว่ามาสิ! มีเรื่องอันใดหรือ” หลินหลันเอ่ยถามอย่างใจเย็น

โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยสีหน้าหดหู่ “ศิษย์น้อง คือว่า...เจ้าดูสิ ศิษย์พี่รองอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จนถึงวันนี้ยังใช้ชีวิตตัวคนเดียว เขาเป็นคนหน้าบางและไม่กล้าพูดจาอะไรมากมาย พวกเราในฐานะศิษย์น้องก็ควรช่วยเขาคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ใช่หรือไม่ ศิษย์น้อง เจ้ารู้จักคนมากมาย ช่วยศิษย์พี่รองคัดสรรคนดีๆ ให้เขาได้กระชุ่มกระชวยสักคน เมื่อมีครอบครัวแล้วก็จะได้มั่นคงสบายใจ อย่าว่าแต่ไปตงอาเลย ต่อให้ไปไกลอีกหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องต้องกังวลแต่อย่างใด...”

หลินหลันนึกขำขันอยู่ในใจ ศิษย์พี่ห้าอยากสู่ขอหยินหลิ่ว แต่ดันหยิบยกเรื่องของศิษย์พี่รองมาพูดเห็นๆ

หลินหลันพยักหน้าเล็กน้อย “ตามหลักมันก็ควรเป็นเช่นนี้ ความจริงข้าก็มองๆ ดูอยู่ตลอดละ! ก็แค่ยังไม่เจอคนที่เหมาะสม หรือไม่อีกสองสามวันข้าจะหาแม่สื่อช่วยหาคนดีๆ มีเสน่ห์มาให้ศิษย์พี่รองแล้วกัน”

โม่จื่อโหยวกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ศิษย์น้องช่างมีน้ำใจดีงามจริงๆ ตามจริงคนอย่างศิษย์พี่รองนี้ไม่ได้อะไรมากมายหรอก ขอเพียงอุปนิสัยใจคอดี รูปลักษณ์พอไปวัดไปวาได้ ไอ้พวกชาติตระกูลอะไรนั่นไม่สำคัญเลย ถึงอย่างไรพวกเราก็มีภูมิหลังเป็นเด็กธรรมดาๆ ที่ฝ่าฟันความยากลำบากมาก่อน ไม่เรื่องมากหรอก”

หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อย นางไม่ขอเปิดโปงความนึกคิดของเขา ทำเพียงกล่าวไปตามน้ำ “อืม! อุปนิสัยดี เป็นคนมีคุณธรรม สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง แต่อย่างไรก็จะพิถีพิถันมากเกินไปมิได้เช่นกัน เมื่อแต่งงานกันไปก็ถือเป็นเรื่องของทั้งชีวิต จะสะเพร่ามิได้เชียว”

โม่จื่อโหยวร้อนรนใจจนแทบเหงื่อตก นี่ศิษย์น้องแสร้งทำเป็นเลอะเลือนไม่เข้าใจหรือเลอะเลือนจริงๆ กันแน่ โม่จื่อโหยวส่งเสียงกกระแอมสองครั้งและถอนหายใจเฮือกยาวออกมา “เจ้าว่าข้ากับศิษย์พี่รองตามจริงก็ห่างกันไม่กี่เดือน ก็เพราะเขาเข้ามาทำงานก่อนหน้าข้า เขาก็เลยเป็นศิษย์พี่รอง...”

หลินหลันเลิกคิ้วและกล่าว “ท่านไม่บอกข้าคงได้ลืมไปแล้วจริงๆ ดูเหมือนศิษย์พี่ห้าจะอ่อนกว่าศิษย์พี่รองสองเดือนสินะ!”

โม่จื่อโหยวรีบกล่าวทันควัน “ก็ใช่น่ะสิ”

หลินหลันชำเลืองตามองเขา “ว่ากันตามนี้ ศิษย์พี่ห้าก็อายุไม่น้อยแล้วเช่นกันสินะ! ก็ควรจะแต่งงานมีครอบครัวได้แล้วเช่นกัน”

โม่จื่อโหยวหัวเราะแห้งขึ้นมา นานๆ ทีจะได้เห็นเขาในลักษณะเขินอายเช่นนี้

“เช่นนั้นเอาแบบนี้แล้วกัน ไว้เดี๋ยวจะให้แม่สื่อหาให้ท่านด้วยคนหนึ่ง”

“ห๊า?” โม่จื่อโหยวเบิกตาโต “คือว่า...ข้า...ข้าค่อนข้างชอบคนที่รู้จักกัน คุ้นเคยกันและกัน รู้จักนิสัยใจคอซึ่งกันและกัน และรู้แก่นแท้ตัวตน แบบนี้อยู่ด้วยกันจะได้ไม่เหนื่อย ศิษย์น้อง เจ้าว่าจริงหรือไม่!”

หลินหลันจงใจขมวดคิ้วนิ่วหน้า “นี่มันออกจะยากไปหน่อยเสียแล้ว”

“นี่มันมีอะไรยากเสียที่ไหนกัน ข้าก็มิได้ช่างเลือกอะไรมากมายเสียหน่อย ตามจริง...ตามจริง...” ขณะอ้ำอึ้ง แววตาโม่จื่อโหยวทอประกายระยิบระยับ

หลินหลันเม้มริมฝีกปากเพื่อสกัดกลั้นรอยยิ้ม จากนั้นถามซักไซ้ “ตามจริงอันใดหรือ”

โม่จื่อโหยวที่เดิมทีหน้าแดงอยู่แล้วยิ่งแดงขึ้นมาอีก “ตามจริงข้ารู้สึกว่าหยินหลิ่วก็ดีเหมือนกัน”

หลินหลันแสดงออกอย่างไม่เห็นด้วย “หยินหลิ่วมีดีอันใดหรือ ถึงจะเห็นนางอยู่ต่อหน้าข้าดูว่านอนสอนง่าย ตามจริงนิสัยเจ้าอารมณ์จะตาย บางครั้งก็ยังป้ำๆ เป๋อๆ อีกด้วย”

โม่จื่อโหยวกล่าว “เป็นเช่นนั้นเสียที่ไหนกัน ข้ารู้สึกว่านางก็ดีไม่น้อยทีเดียว จริงๆ นะ หากได้แต่งนางมาเป็นภรรยา ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็ถือว่าสงบสุขแล้ว และจะไม่รู้สึกขาดสิ่งใดๆ อีกแล้ว”

หลินหลันกลั้นรอยยิ้ม เอ่ยถามเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “รู้สึกว่านางดีจริงๆ หรือ”

โม่จื่อโหยวยืดตัวตรง และพยักหน้าอย่างจริงจัง “ดีจริงๆ”

หลินหลันขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “มิได้หรอก เรื่องนี้จะให้เป็นเช่นนี้มิได้หรอก”

โม่จื่อโหยวกล่าวสวนทันควัน “เหตุใดถึงมิได้”

หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น “ท่านลองคิดดูสิ! ท่านเป็นศิษย์พี่ห้าของข้า หากหยินหลิ่วแต่งให้ท่าน มิเท่ากับจะกลายเป็นพี่สะใภ้ข้าหรือ นี่ข้าก็ขาดทุนแย่เลยน่ะสิ?”

โม่จื่อโหยวกล่าวอย่างกระตือรือร้น “เช่นนั้นพวกเราก็เปลี่ยนกัน ข้าเรียกเจ้าศิษย์พี่ก็เป็นอันสิ้นเรื่อง”

หลินหลันชำเลืองตามองเขา “จริงหรือ”

โม่จื่อโหยวแบมืออย่างไม่คิดอะไรมากมาย “นี่ไม่เห็นจะมีอะไรเลย มันก็แค่คำเรียกขานเท่านั้น เจ้าสนใจมัน แต่ข้าหาได้สนใจไม่ ภายภาคหน้าเจ้าก็คือศิษย์พี่ของข้า”

หลินหลันปรบมือ และกล่าวอย่างแน่วแน่ “ตกลง เช่นนั้นข้าจะไปถามไถ่แทนท่าน แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนล่วงหน้าว่า เรื่องนี้ต้องให้หยินหลิ่วเป็นฝ่ายยินยอมเอง หากนางไม่ตอบตกลง ข้าก็ไม่อาจบังคับนางได้เช่นกัน”

โม่จื่อโหยวหัวเราะแห้ง “เช่นนั้นขอศิษย์พี่ช่วยพรรณนาเกี่ยวกับข้าให้สวยงามสักสองสามประโยคแล้วกัน หากสำเร็จ ศิษย์พี่ก็คือผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงของข้า”

หลินหลันไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป จึงหลุดหัวเราะออกมา “ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นี้ไม่ว่าจะทำอันใดก็ราบรื่นไปหมดเสียด้วยสิ”

เมื่อโม่จื่อโหยวกลับไปแล้ว หลินหลันจึงเรียกหยินหลิ่วเข้ามาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้ศิษย์พี่ห้าของข้ามาด้วยเรื่องอันใด”

หยินหลิ่วก้มหน้าขณะบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ และกล่าวด้วยเสียบางเบา “ใครจะรู้ได้ล่ะเจ้าคะว่าเขามาทำอะไร”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความนึกคิดของเขา เจ้ามิรู้เลยหรือ”

บนใบหน้าของหยินหลิ่วเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา นางก้มหน้าลงต่ำยิ่งกว่าเดิม “ข้าน้อยควรจะรู้อันใดหรือเจ้าคะ”

หลินหลังเผยรอยยิ้มอ่อนหวานขณะดึงมือหยินหลิ่วเข้ามากอบกุมไว้และกล่าวอย่างใจเย็น “หยินหลิ่ว เจ้ากับอวี้หลงติดตามข้ามาแต่แรกสุด เป็นคนที่ข้าไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดด้วยเช่นกัน ยามนี้อวี้หลงได้เป็นแม่คนแล้ว ได้ใช้ชีวิตอยู่กับฝูอานอย่างมีความสุข ในใจข้าก็เป็นสุขเช่นกัน อายุของเจ้าก็มิใช่น้อยๆ แล้ว ปีหน้าก็อายุสิบแปดปีแล้ว ว่ากันตามระเบียบปฏิบัติก็ควรปล่อยเจ้าออกไปแล้ว เรื่องนี้ข้าลำบากใจอยู่หลายวัน เจ้าค่อนข้างมีพรสวรรค์ทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง ได้เรียนรู้ทักษะพื้นฐานกับข้าไปแล้วไม่น้อย ข้าจึงหวังว่าในภายภาคหน้าเจ้าจะเป็นแขนซ้ายแขนขวาของข้าได้ ดังนั้น ข้าทำใจมิได้หากจะให้เจ้าไปคู่ครองกับข้ารับใช้หนุ่มผู้ต่ำต้อยเหล่านั้น หากแต่งไปอยู่ในที่ห่างไกลก็ยิ่งทำใจไม่ได้ ตามจริงข้ามองออกตั้งนานแล้วว่าศิษย์พี่ห้ามีใจให้แก่เจ้า ศิษย์พี่ห้าผู้นี้ แม้บางครั้งจะปากไวไปหน่อย แต่เป็นคนที่มีจิตใจดีงามอย่างยิ่ง ทั้งยังมีทักษะการแพทย์ติดตัว เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่าเอาจริงเอาจัง เจ้าแต่งงานกับเขาไป ข้าเองก็คงวางใจได้เสียที ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าจะยินยอมหรือไม่ หากเจ้ายินยอม ไว้เอ้อร์เส้าเหยียกลับมา ข้าบอกกล่าวเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะช่วยพวกเจ้าจัดการเรื่องราวนี้ให้ หากเจ้าไม่ยินยอม ข้าก็ไม่บังคับเจ้าเช่นกัน ทางด้านศิษย์พี่ห้านั่นเดี๋ยวข้าเป็นคนไปพูดคุยเอง เขาคงไม่ทำให้เจ้าลำบากใจเช่นกัน นี่เป็นเรื่องสำคัญ จะรีบร้อนมิได้ เจ้าค่อยๆ ไตร่ตรองดูแล้วกัน เมื่อคิดดีแล้วค่อยให้คำตอบข้าก็พอ”

หยินหลิ่วลังเลใจ ตามจริงนางก็ไม่ใช่คนโง่เขลา นางรู้ดีว่าโม่จื่อโหยวนึกคิดเช่นกัน แต่ด้วยฐานะของนาง ได้คู่ครองกับผู้ดูแลบ้านตำแหน่งเล็กๆ ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ต่อให้นายหญิงสะใภ้รองเลือกคู่ครองให้นางอย่างลวกๆ นางก็ไม่มีตัวเลือกและควรต้องยอมรับมิใช่หรือ นางไม่ใช่ไม่ยินยอม เพียงแต่...ไม่อาจทำใจทอดทิ้งนายหญิงสะใภ้รองได้ อวี้หลงแยกตัวไปแล้ว หากนางไปอีกคน คนที่ใช้การได้ข้างกายนายหญิงก็จะน้อยลงไป แม่โจวอายุมากแล้ว จิ่นซิ่วก็เป็นคนซุ่มซ่าม อวิ๋นอิงยังเด็กนัก ที่พอใช้การใช้งานได้จริงจังก็มีเพียงหรูอี้เท่านั้น คนที่นำเข้ามาในจวนใหม่ก็ต้องเปลืองเวลาอบรมสั่งสอน แล้วนางจะปลีกตัวจากไปได้อย่างไรกันล่ะ

“เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เรื่องนี้...ไว้วันหลังค่อยว่ากันอีกทีแล้วกันนะเจ้าคะ!” หยินหลิ่วกล่าวเสียงบางเบา

“เจ้าไม่ยินยอมหรือ” หลินหลันเอ่ยถาม

หยินหลิ่วรีบส่ายหน้าทันที

“แล้วเพราะอันใดหรือ”

หยินหลิ่วกล่าวตะกุกตะกัก “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย หากข้าน้อยไปแล้ว ผู้ใดจะมาปรนนิบัติท่านล่ะเจ้าคะ”

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้เจ้ากำลังกังวลประเด็นนี้เองหรือ นี่มันมีอะไรให้กังวลเสียที่ไหนกัน ไว้ค่อยรับสาวใช้เข้ามาในจวนอีกก็สิ้นเรื่อง อีกอย่างเจ้าแต่งออกไป ก็มิใช่ว่าช่วยเหลือข้าไม่ได้แล้ว ข้ายังพูดไว้ว่าในภายภาคหน้าก็จะมอบให้พวกเจ้าเป็นผู้ดูแลจัดการหุยชุนถางด้วยมิใช่หรือ! จะมอบให้ผู้อื่นดูแล ข้าเองก็ไม่ว่าใจเช่นกัน”

ดวงตาหยินหลิ่วเปล่งประกายพร่างพราว และกล่าวด้วยท่าทีเคอะเขิน “เรื่องของข้าน้อย ว่าตามที่เอ้อร์เส้าหน่ายนายตัดสินใจได้เลยเจ้าค่ะ”

เมื่อเรื่องนี้พูดคุยกระจ่างชัดแจ้งเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันรู้สึกเสมือนจัดการเรื่องใหญ่ไปได้อีกเรื่องหนึ่ง ค่ำคืนนี้จึงนอนหลับอย่างสบาย ท้องนภายังไม่ทันสว่างจ้า หลินหลันก็สะลึมสะลือด้วยรู้สึกว่ามีคนกำลังจุมพิตนาง ลมหายใจนั่น รายล้อมอยู่โดยรอบ ช่างสมกับที่เขาว่าเพราะคะนึงถึงอยู่ทั้งวี่ทั้งวันจนเก็บเอาไปฝันในยามราตรี หลินหลันครุ่นคิดทั้งๆ ที่ยังสะลึมสะลือ ความฝันนี้ช่างเสมือนความจริงยิ่งนัก นางรู้สึกถึงกลีบปากร้อนผ่าวของเขาที่ค่อยๆ ประทับลงมาทีละนิดทีละนิดอย่างแผ่วเบา

เฮ้อ! หากนี่ไม่ใช่ความฝันก็คงดีไม่น้อย หลินหลันไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยจริงๆ เมื่อเปลือกตานุ่มลืมขึ้น กลับเผชิญหน้าเข้ากับดวงตาแห่งรอยยิ้มคู่งดงาม ดวงตาที่เต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู

หลินหลันกะพริบตาปริบๆ รู้สึกงุนงงเล็กน้อยจนพูดติดๆ ขัดๆ “เจ้า...กลับมาแล้วหรือ”

เขาฉีกยิ้ม พลางลูบพวงแก้มของนาง “ขอโทษที ข้าอดใจไม่ไหว เลยทำให้ตื่นจนได้”

หลินหลันคว้ามือของเขามาแล้วกัดเข้าไปหนึ่งทีอย่างแรง

หลี่หมิงอวินถึงกับส่งเสียงร้องโอ๊ย “กัดข้าทำไมหรือ”

หลินหลันเบิกตาโต จ้องมองเขาอย่างเหลือเชื่อ “ข้ามิได้กำลังฝันไปใช่หรือไม่”

หลี่หมิงอวินสะบัดมือด้วยความเจ็บปวด ทั้งเอ็นดูทั้งขัน “เสี่ยวหลันจื่อ เจ้าอยากยืนยันให้ตนเองว่ากำลังฝันอยู่หรือไม่ ก็ไม่ควรกัดข้าเสียหน่อย”

“เจ้า...เจ้ากลับมาเมื่อใดหรือ จิ้งปั๋วโหว์กล่าวว่าอีกตั้งสิบกว่าวันพวกเจ้าถึงจะกลับมาถึงเมืองหลวง...” หลินหลันยังคงรู้สึกเหลือเชื่ออยู่เล็กน้อย

หลี่หมิงอวินขึ้นไปบนเตียงนอน จากนั้นแทรกตัวเข้าในผ้าห่มแล้วโอบกอดนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ข้าและหนิงซิ่งกลับมาก่อน กองทัพของแม่ทัพหลินอยู่ด้านหลัง มาถึงบ้านในยามอิ่น[footnoteRef:1] เห็นเจ้ากำลังหลับสบาย จึงไม่กล้ารบกวนเจ้า ก็เลยมองดูเจ้าอยู่ด้านข้าง” [1: ยามอิ่น (寅时) คือ ช่วงเวลาระหว่าง 03:00 น. - 05:00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หมอจีนแนะนำว่า "ยามอิ่นหลับลึก ปอดเปิดรับพลังบริสุทธิ์"]

เวลานี้เองหลินหลันถึงตื่นขึ้นมาเต็มตา พยุงตัวลุกขึ้นมองดูเขา และกล่าวอย่างสะเปะสะปะเล็กน้อย “เจ้ากลับมาทั้งทีเหตุใดถึงไม่ปลุกข้าล่ะ เจ้าเร่งมาตลอดทั้งคืนหรือ หิวหรือไม่ เหนื่อยหรือไม่ ไอหย่า เจ้าควรปลุกข้าให้ไวหน่อย ข้าจะได้ให้กุ้ยซ่าวช่วยทำอาหารให้เจ้ากิน บอกหยินหลิ่วให้เตรียมน้ำอุ่นๆ ให้เจ้าอาบจะได้สบายตัว ข้า...ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ละ...”

หลี่หมิงอวินยื่นมือข้างหนึ่งไปคว้าตัวนางเข้ามาในอ้อมกอดและกระชับกอดนางไว้แนบแน่น จากนั้นเอื้อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเสียยิ่งอะไรดี “เจ้าอย่าร้อนใจไป ข้ากินแล้วและอาบน้ำแล้วด้วยเช่นกัน ทุกคนไม่กล้าทำให้เจ้าตระหนกตกใจไป หลันเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน คิดถึงแทบแย่ อยากจะติดปีกสองข้างแล้วบินกลับมาด้วยซ้ำไป ตอนนี้ได้สมใจปรารถนาเสียที ในที่สุดก็ได้โอบกอดเจ้าเช่นนี้ ให้ข้าได้โอบกอดเจ้าให้เต็มอิ่มทีเถอะ...”

หลินหลันซบอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างเงียบๆ และรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาเสียดื้อๆ รอคอยมาตั้งเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็กลับมาแล้ว

“หมิงอวิน ท่านย่านาง...” เนิ่นนานพอตัว หลินหลันถึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้ทุกอย่าง...” เขาจรดจุมพิตลงบนหน้าผากของนางอย่างถะนุถนอม “เจ้าลำบากเสียแล้ว ภายภาคหน้าไม่ว่าเรื่องอันใดก็ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ก็พอ...”

เจ้าสาวน้อยคนนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรล้วนแบกรับไว้กับตนเองลำพัง แต่ไหนแต่ไรมารู้จักแต่บอกเล่าเรื่องดีๆ แต่เก็บงำความกังวลและเหน็ดเหนื่อยไว้กับตนเอง เขารับรู้ทุกอย่าง แต่ด้วยระยะทางที่แสนห่างไกลไม่อาจเชื่อมถึงกันได้ จึงทำได้เพียงทนปวดใจ