webnovel

ปฏิญญาค่าแค้น

หลินหลัน ทะลุมิติมาเกิดใหม่ในคราบของหญิงสาวชาวบ้านที่แสนลำบากยากจน แต่โชคยังดีที่ความสามารถด้านการแพทย์และประสบการณ์รักษาผู้คนที่สั่งสมมาจากศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดนั้นติดตัวมาด้วย อีกทั้งครอบครัวในชาติภพนี้ก็ดีกับนางมิใช่น้อย กระนั้นเคราะห์ร้ายก็ยังคืบคลานเข้ามา เมื่อพี่ชายผู้เป็นที่พึ่งพาเดียวของนางนั้นใสซื่อจนไม่อาจตามทันเล่ห์กลของพี่สะใภ้ที่แสนโลภมาก สุดท้ายแล้วหลินหลันก็ถูกนางบีบบังคับให้ต้องออกเรือนแต่งงานไปเป็นนางบำเรอจนได้ ด้วยเหตุนี้นางจึงต้องดึงตัว หลี่ซิ่วฉาย ชายหนุ่มรูปงามผู้มีเบื้องหลังเป็นปริศนาในหมู่บ้านเข้ามาช่วยแก้สถานการณ์ ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาขึ้นมาหนึ่งฉบับ เขาช่วยนางให้หลุดพ้นจากการคลุมถุงชน ส่วนนางจะช่วยเขาแก้แค้นและทวงทุกสิ่งอย่างที่ถูกพรากไปกับคืนมาภายในระยะเวลาสามปี ทว่าแผนการช่วยเหลือเขาให้บรรลุเป้าหมายนั้นกลับไม่ง่ายดายอย่างที่คิดนี่สิ…

จื่ออี281 · History
Not enough ratings
339 Chs

ตอนที่ 277 หลบหนี

ตอนที่ 277 หลบหนี

พอถูกซานเอ๋อร์ยกยอปอปั้นชุดใหญ่ พวกเหล่าเถี่ยก็ไม่ดุร้ายใส่ซานเอ๋อร์เพียงนั้นอีกแล้ว ทั้งยังรู้สึกว่าเล่นกับเด็กน้อยนี่ก็สนุกดีทีเดียว

ช่วงกลางคืน ซานเอ๋อร์กล่าวว่านอนคนเดียวกลัวผี ดื้อดึงลากเว่ยจื่อมาอยู่เป็นเพื่อนเขาให้ได้ ทว่าเว่ยจื่อต้องไปจัดการเรื่องราวบางอย่าง จึงให้เหล่าเถี่ยอยู่เป็นเพื่อน ซานเอ๋อร์กล่าวว่านอนก็นอน จากนั้นก็นอนหลับอย่างสำราญใจ เหล่าเถี่ยตอนแรกยังนั่งจับตามองเขาอย่างเป็นจริงเป็นจัง จากนั้นเมื่อเห็นว่าซานเอ๋อร์นอนหลับไปแล้วถึงขั้นน้ำลายไหลย้อยลงมาอีกด้วย อย่าว่าแต่ปลุกเขาให้ตื่นเลย ต่อให้จับเขาโยนลงบนถนนก็คงไม่ตื่นด้วยซ้ำไป ขณะนั้นเองเหล่าเถี่ยจึงค่อยๆ ผ่อนปรนการเฝ้าระวัง เขายกสองแขนขึ้นกอดอก และเอนกายพิงกับเสาหัวเตียงพร้อมกับหาวหวอด

ค่ำคืนนี้เฝิงซูหมิ่นไม่กลับจวนแม่ทัพแล้วเช่นกัน นางพักค้างแรมอยู่ที่จวนหลี่เพื่อจะได้รับรู้สถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที หลินหลันก็เกรงใจเกินกว่าจะขัดความต้องการนางได้ จึงให้คนช่วยจัดเตรียมห้องให้เฝิงซูหมิ่นเข้าพัก

กลางดึก หลินหลันนอนพลิกตัวไปมา ลูบคลำดาบไม้ขนาดเล็กที่อยู่ใต้หมอนหนุน นึกถึงซานเอ๋อร์ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือผู้ร้ายตอนนี้ อาจกำลังหิว อาจถูกทุบตี หรืออาจ...ในใจของนางก็รู้สึกเสมือนถูกคนใช้มีดกรีด แม้แต่หายใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวด อุตส่าห์ป้องกันอย่างระมัดระวังเพียงนั้น ท้ายที่สุดกลับเกิดเรื่องจนได้ และดันเป็นการเกิดเรื่องกับซานเอ๋อร์ หากเป็นไปได้ นางยินยอมให้ใช้ตัวนางแลกเปลี่ยนซานเอ๋อร์กลับคืนมา

เหล่าเถี่ยนอนหลับไปถึงกลางดึก ถูกสายลมเย็นยะเยือกพัดโชยมาสร้างความหนาวสั่นจึงตื่นขึ้นกะทันหัน เห็นว่าบนเตียงปราศจากเรือนร่างคน ภายในห้องมีเพียงความว่างเปล่า เมื่อมองไปยังบานหน้าต่างที่เคยปิดอยู่กำลังเปิดกว้าง ใต้หน้าต่างมีเก้าอี้ตัวเตี้ยหนึ่งตัววางอยู่ ความรู้สึกตื่นตระหนกจึงบังเกิดขึ้นทันใด เขาพุ่งตัวออกไปจากห้อง ตะโกนใส่เอ้อร์หนิวและชายฉกรรจ์รูปร่างผอมที่คอยเฝ้ายามอยู่บริเวณปากประตู “รีบตื่นเร็วเข้า ตื่นเร็วเข้าโว้ย ไอ้เด็กบ้านั่นหนีไปแล้ว”

เอ้อร์หนิวถูกเหล่าเถี่ยตะคอกใส่ จนสะดุ้งโหยงไปทั้งตัว คางกระแทกเข้ากับด้ามมีดดาบ ทั้งยังกัดลิ้นตนเองเข้าเสียแล้ว เขาจึงบ่นโอดครวญพึมพำอยู่ในปาก “ดึกดื่นขนาดนี้ เจ้าจะตะโกนทำซากอะไรหรือ ข้ากำลังฝันว่าได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเสี่ยวเถาหงอยู่เลยเชียว!”

โซ่วจื่อชายฉกรรจ์รูปร่างผอมขยี้ตาอย่างสะลึมสะลือ มองดูประตูใหญ่ที่ยังคงปิดสนิทอยู่ “เหล่าเถี่ย เจ้าฝันไปหรือไง! เจ้าเด็กนั้นปีนกำแพงหรือเดินทะลุกำแพงไม้ไปได้หรือไง! เขาจะหนีไปได้อย่างไรหรือ”

เหล่าเถี่ยถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้ ก็นั่นสิ? เจ้าเด็กนั่นแขนขาสั้นแล้วยังปีนข้ามกำแพงไปได้เสียที่ไหนกันล่ะ? ไม่แน่ว่ากำลังแอบอยู่ตรงไหนสักแห่ง

เอ้อร์หนิวกลับจ้องมองรถม้าสองล้อคันหนึ่งที่มุมกำแพงด้วยสีหน้าตะลึงงัน บนรถนั้นยังวางถังไม้คว่ำไว้อีกด้วย คราวนี้จึงเป็นอันตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า แม้แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ลิ้นก็มลายหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“เหล่าเถี่ย ไอ้ผอม พวกเจ้าดูสิ...” เอ้อร์หนิวชี้ไปมุมกำแพง

เหล่าเถี่ยและชายฉกรรจ์รูปร่างผอมสบตากัน ภายในสมองเต็มไปด้วยความตะลึงงันไปสามวินาที จากนั้นส่งเสียงออกมาอย่างพร้อมเพรียง “หนีไปแล้วจริงๆ ด้วย...”

“รีบตามไปเร็วเข้า ไอ้เด็กเวรนี่ยังหนีไปไม่ไกลเป็นแน่...” เอ้อร์หนิววิ่งนำไปเปิดประตูบานใหญ่ จากนั้นทั้งสามคนก็พร้อมใจกันวิ่งหน้าตั้งออกไป

ภายในลานบ้านเงียบสงัด ซานเอ๋อร์คลานออกมาจากใต้เตียง สะบัดมือสะบัดขาแล้วเดินไปยังบริเวณประตู มองดูในลานบ้าน ปรากฏว่าไม่มีผู้คนอยู่แล้วจริงๆ ด้วย เขาจึงรีบวิ่งไปยังประตูบานใหญ่ นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น หากหนีไม่รอด จากนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะหนีไปได้อีกแล้ว ซานเอ๋อร์ใจเต้นอย่างรุนแรง ครั้งนี้ต้องหนีออกไปให้ได้อย่างราบรื่น เมื่อกลับไปคงต้องขอบคุณพี่จ้าวอย่างดี ครั้งนี้ต้องขอบคุณที่พี่จ้าวบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้นกับเขา

หลังซานเอ๋อร์พ้นบริเวณลานบ้านไปแล้ว เห็นปากทางประตูเป็นตรอกสายหนึ่ง ช่วงกลางดึก ภายในตรอกมืดสนิทและเงียบสงัดจนชวนหวาดกลัว ซานเอ๋อร์รู้สึกขลาดกลัวจึงพยายามปลุกระดมความกล้าหาญ โดยการพูดว่าบนโลกนี้ไม่มีผี ที่ทำอะไรพิสดารแปลกประหลาดล้วนเป็นฝีมือคนทั้งสิ้น ซานเอ๋อร์ไม่แยกทิศตะวันตกตะวันออก ท่อนขาน้อยๆ เริ่มวิ่งหน้าตั้ง วิ่งไปถึงปากตรอก เห็นบริเวณปากตรอกมีกองขยะหนึ่งกอง ซานเอ๋อร์หยุดชะงักฝีก้าวลง และทะยานเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในกองขยะโดยไม่สนว่าจะเหม็นหรือไม่ จะสกปรกหรือไม่ เขานำขยะทับถมบนเรือนร่างตนเองไว้จนมิดชิด

ปรากฏว่า ไม่นานนัก ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมา

“เอ้อร์หนิว ทางด้านเจ้านั่นมีหรือไม่” เป็นเสียงของเหล่าเถี่ย

เอ้อร์หนิวหอบหนัก “ไม่มี ว่ากันตามหลัก ไอ้เด็กเวรนั่นไม่น่าวิ่งไวขนาดนี้”

เหล่าเถี่ยกล่าวด้วยความร้อนใจ “ครั้งนี้ซวยแน่ หัวหน้าไม่ให้อภัยพวกเราแน่”

“มันน่าประหลาดจริงๆ เลยเว้ย ไอ้เด็กเวรนี่มันหายตัวได้หรืออย่างไร ข้าพลิกหาทั่วทั้งถนนฝั่งตะวันตกและตะวันออกแล้วแท้ๆ”

ชายฉกรรจ์รูปร่างผอมกล่าว “ข้าว่า ไอ้เด็กนี่มันจัดฉากล่อเสือออกจากถ้ำให้พวกเราแล้วหรือไม่”

ทั้งสามคนถึงกับตะลึงงันไปทันที จากนั้นเหล่าเถี่ยจึงเอ่ยปากขึ้น “ไป กลับไปดูกัน”

ฝีเท้าค่อยๆ เคลื่อนห่างไกลออกไป

ซานเอ๋อร์ไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวใดๆ อีก แต่ก็ยังไม่กล้าขยับเขยื้อน รอจนกระทั่งพวกเขาออกมาจากบ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง คราวนี้ พวกเขามุ่งไปทางทิศตะวันออก และอีกคนมุ่งไปทางทิศใต้ เวลานี้เอง ซานเอ๋อร์ถึงได้ปัดเศษขยะบนศีรษะออกอย่างระมัดระวัง และปีนป่ายออกมาอย่างเบามือเบาเท้า เมื่อพ้นตรอกทางทิศตะวันตกจึงวิ่งสุดกำลัง เขาไม่รู้แน่ชัดเจนกันว่าบ้านของเขาอยู่ทิศทางไหน รู้เพียงว่าต้องหนีคนชั่วร้ายเหล่านี้ให้ไกลเข้าไว้ถึงจะปลอดภัย

ในค่ำคืนเดียวกัน ในห้องหนังสือของตระกูลฉิน แสงไฟกำลังส่องสว่าง ใบหน้าของฉินจ้งเคร่งขรึมจนแทบจะกลั่นน้ำหมึกออกมาก็ว่าได้

“ไอ้พวกขยะ ไม่ได้เรื่องสักตัว สูญเสียคนไปจำนวนมากเพียงนี้ แม้แต่ขนมันก็ไม่ได้แตะเลยด้วยซ้ำ นี่มันเป็นขยะชัดๆ” ฉินจ้งกล่าวตะคอกด้วยความโกรธเกรี้ยว

เมื่อเผชิญหน้าบิดาที่กำลังเดือดดาล ฉินเฉิงซื่อจึงไม่กล้าปริปากใดๆ ฝ่ามือที่ซ่อนในแขนเสื้อสั่นเทิ้ม การลอบสังหารครั้งนี้พังไม่เป็นท่า กำลังพลกล้าตายสามร้อยนายที่ตระกูลฉินส่งไปไม่เหลือรอดกลับมาแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งแม่ทัพหม่าโหยวเหลียงก็ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นคนที่ตระกูลฉินแทรกแซงไว้ในค่ายกองทัพเป่ยซานมานานหลายปี การสูญเสียครั้งนี้มันเกินกว่าที่จะคาดเดาได้ ผู้ที่หมายมั่นเอาชีวิตมากที่สุดคือหลี่หมิงอวินก็ข้ามเส้นทางภูเขาไท่หางมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถึงเมืองหลวง หากตระกูลฉินคิดจะปลิดชีพเขาอีกครั้ง เกรงว่าคงไม่ง่ายดายเสียแล้ว

“ท่านพ่อ ข้างกายหลี่หมิงอวินมีทหารองครักษ์สามพันนายของหนิงซิ่ง ต้องการลอบสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ขอรับ โชคดีที่ตอนนี้เรามีตัวประกันอยู่ในมือ คงพอจะต่อรองกับเขาได้บ้างขอรับ” ฉินเฉิงซื่อกล่าวอย่างระมัดระวัง

แววตาฉินจ้งลุกวาวขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชา “ตัวประกัน? พวกเจ้าดันเอาตัวเด็กคนนั้นมาน่ะหรือ หลี่หมิงอวินหาได้มีบุตรชายไม่”

ฉินเฉิงซื่อกล่าวโต้แย้ง “แม้ว่าเด็กนั่นไม่ใช่บุตรชายของหลี่หมิงอวิน แต่ก็เป็นคนที่สะใภ้รองตระกูลหลี่คอยให้อยู่ข้างกายตลอดเวลา คิดๆ ดูแล้วก็คงเป็นญาติมิตรของครอบครัวเขานะขอรับ”

“หลี่หมิงอวินแม้แต่บิดาของตนเองจะเป็นหรือตายยังไม่แยแส แล้วนับประสาอะไรกับญาติมิตร?” ฉินจ้งไม่เห็นว่าคนที่เรียกว่าตัวประกันนั่นจะมีน้ำหนักเพียงพอแต่อย่างใด

ฉินเฉิงซื่อไร้คำโต้แย้งใดๆ หลี่หมิงอวินเป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่งจริงๆ ตัวประกันทั่วไปคงใช้ต่อกรอะไรกับเขาไม่ได้จริงๆ

ฉินจ้งรู้สึกเดือดดาลอย่างยิ่ง คิดๆ ดูเรื่องราวมันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์เช่นกัน จึงทำเพียงกล่าว “เก็บตัวประกันไว้ก่อน และคอยจับตาดูไว้ให้ดีๆ ด้วย เมื่อหลี่หมิงอวินกลับมาแล้ว ดูการเคลื่อนไหวของพวกเขาแล้วค่อยว่ากันอีกที”

“ขอรับ! ท่านพ่อ” ฉินเฉิงซื่อขานรับทันควัน

“หลายวันมานี้อาการป่วยของไท่โฮ่วเปลี่ยนไปในทางที่ดี พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว จะได้กำหนดเรื่องงานแต่งของอู่หยางให้เรียบร้อยเสียก่อน อาศัยช่วงที่พ่อลูกแห่งแคว้นเจิ้นหนานอยู่เมืองหลวง เร่งรีบจัดงานแต่งให้เรียบร้อยเสีย เมื่อมีอ๋องเจิ้นหนานช่วยสนับสนุนอีกแรง หากเรื่องราวไปถึงขั้นนั้นจริง พวกเราก็ไม่ต้องเกรงกลัวใดๆ เช่นกัน” ฉินจ้งกล่าวเชิงปลอบใจตนเอง

“จริงอย่างที่ท่านพ่อกล่าวขอรับ ส่วนทางด้านค่ายเป่ยซานนั้น ลูกจะเร่งหาคนมาแทนตำแหน่งแม่ทัพหม่าโดยเร็วขอรับ” ฉินเฉิงซื่อกล่าวอย่างนอบน้อม

ฉินจ้งพยักหน้า “เรื่องนี้เร่งมือหน่อย อย่าให้องค์ชายสี่แทรกคนของเขาเข้าไปยังค่ายเป่ยซานได้เชียว”

ฉินเฉิงซื่อเดินออกมาจากห้องหนังสือของบิดา เงาดำร่างหนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคาระเบียงทางเดิน

ฉินเฉิงซื่อขมวดคิ้ว เดินมุ่งตรงออกจากลานบ้าน แล้วถึงเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอันใด”

เรือนร่างในเงามืดกล่าวด้วยน้ำเสียงสลดหดหู่ “ตัวประกันหนีไปแล้วขอรับ”

ฉินเฉิงซื่อรู้สึกราวกับสมองจะระเบิดขึ้นมาฉับพลัน “อะไรนะ หนีไปแล้ว?”

ฟ้าสว่างรำไร ตามด้วยเสียงไก่เสียงนก บ้านเก่าหลังหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกของเมืองหลวง ประตูไม้ที่เก่าทรุดโทรมเปิดออกเกิดเสียงดัง แอ๊ด ภรรยาสาวชาวบ้านผู้หนึ่งถือชามกระเบื้องใบหนึ่งเดินไปยังสุ่มไก่ แล้วเปิดสุ่มไก่ออก จากนั้นปล่อยไก่ออกมากินอาหาร

“กุ๊กๆๆ...กุ๊กๆๆ...กินเข้าไปให้เยอะๆ จะได้ออกไข่ให้มากหน่อย” ภรรยาสาวชาวบ้านโปรยเมล็ดข้าวเปลือกลงบนพื้น จากนั้นแม่ไก่จำนวนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องและวิ่งเข้ามาจิกกินข้าวเปลือกบนพื้นอย่างรวดเร็ว

ภรรยาสาวชาวบ้านวางชามกระเบื้องลงด้วยสีหน้าเบิกบาน จากนั้นไปหยิบไม้กวาดที่วางอยู่ข้างกองฟางเพื่อเตรียมกวาดลานบ้าน

“หยา...” ภรรยาสาวชาวบ้านส่งเสียงร้องด้วยความตระหนกตกใจ ตื่นตกใจจนโยนไม้กวาดทิ้งออกไปไกล

“ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าโหวกเหวกโวยวายทำไมแต่เช้าหรือ ท่านแม่ยังป่วยอยู่เลย! อย่าทำให้ท่านแม่ตื่นตระหนกไปสิ” บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินพ้นประตูออกมากล่าวอย่างไม่พอใจพลางสวมใส่เสื้อผ้าไปในขณะเดียวกัน

“พ่อเอ้ย เจ้ารีบมาดูนี่เร็วเข้า” ภรรยาสาวกวักมือเรียกเขาพัลวัน

“อะไรหรือ” บุรุษหนุ่มเดินเข้ามา เมื่อมองไปตามนิ้วของภรรยาที่ชี้ไป เขาเองก็ตื่นตกใจจนสะดุ้งเฮือกเช่นกัน บริเวณข้างกองฟางนี้เหตุใดถึงมีเด็กน้อยนอนหลับอยู่ล่ะ! มาจากแห่งหนใดหรือ

สองสามีภรรยาหย่อนตัวลงนั่งข้างเด็กน้อยและจ้องมองดู

“พ่อเอ้ย เจ้าดูสิ เสื้อผ้าบนเรือนร่างเด็กคนนี้ใหม่เอี่ยมและเงาวาว ต้องเป็นบุตรของครอบครัวคนมีเงินแน่นอน”

บุรุษหนุ่มพยักหน้า “คนยากจนอย่างเราๆ คงเลี้ยงดูเด็กให้มีน้ำมีนวลเพียงนี้มิได้หรอก”

“เจ้าว่าเหตุใดเขาถึงเข้ามาในบ้านเราล่ะ ประตูนี้ก็ไม่ได้เปิดไว้เสียหน่อย!”

บุรุษหนุ่มหันหน้ามองไปยังช่องโหว่ใต้มุมกำแพง “บางทีอาจแทรกตัวเข้ามาจากช่องไหนสักช่อง”

“เช่นนั้น...ทำอย่างไรดีหรือ แจ้งทางการขุนนางดีหรือไม่”

เมื่อคืนซานเอ๋อร์วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต วิ่งจนเหน็ดเหนื่อยสุดขีด เมื่อเห็นหลุมสุนัขรอดของบ้านครอบครัวหนึ่งก็เลยหมุดเข้ามาแล้วไปซุกตัวอยู่ข้างกองฟางด้วยอยากงีบหลับชั่วครู่ พอได้งีบก็หลับลึกไปเสียแล้ว ยามนี้ถูกเสียงของสองสามีภรรยาปลุกให้ตื่น เขาจึงค่อยๆ หรี่ตาลืมขึ้น

“ท่านอา ท่านน้าขอรับ...”

เห็นเด็กน้อยตื่นขึ้น แล้วยังเรียกพวกเขาอย่างสุภาพ บุรุษหนุ่มจึงเอ่ยถาม “เจ้าเป็นลูกของตระกูลไหนหรือ เหตุใดถึงมาอยู่บ้านข้าได้ล่ะ”

ซานเอ๋อร์เบะปาก ดวงตาคู่กลมเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมา กล่าวอย่างกำลังจะร้องไห้ “มีคนไม่ดีลักพาตัวข้า ต้องการนำข้าไปขายขอรับ ข้าแอบหนีออกมา ท่านอา ท่านน้า รบกวนพวกท่านไปที่จวนแม่ทัพฮ๋วยหยวนและบอกให้คนมารับข้าทีนะขอรับ คนในครอบครัวจะให้รางวัลตอบแทนท่านอย่างหนักแน่นอนขอรับ”

สองสามีภรรยาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก เด็กน้อยนี่เป็นบุตรของตระกูลท่านแม่ทัพหรอกหรือ...

ไม่ง่ายเลยสำหรับเฝิงซูหมิ่นที่ทนอยู่มาจนถึงรุ่งเช้า หลังล้างหน้าล้างตาและหวีผมเผ้าเป็นที่เรียบร้อยก็มาหาหลินหลัน

“หลินหลัน หัวหน้ามือปราบเจิ้งกล่าวว่าคนร้ายเหล่านั้นจะส่งจดหมายมาให้พวกมิใช่หรือ นี่ก็ผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว เหตุใดถึงยังไม่มีจดหมายอีกล่ะ ไม่รู้เลยว่าเมื่อคืนซานเอ๋อร์เป็นเช่นไรบ้าง จะหนาวเหน็บหรือไม่ จะหิวหรือไม่...” ขณะเฝิงซูหมิ่นเอื้อนเอ่ย ขอบดวงตาก็เอ่อคลอด้วยหยาดน้ำตาอีกครั้ง

หลินหลันมองดูดวงตาคมเฉี่ยวของเฝิงซูหมิ่นที่ดูเหมือนจะบวมอยู่เล็กน้อย น้ำเสียงก็แหบพร่าด้วยเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าคงร้องไห้ตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าตัวนางเองก็ไม่ได้ดีไปกว่านางสักแค่ไหนเช่นกัน ขอบดวงตาของนางถึงขั้นดำคล้ำไปหมด

“ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป ซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่ชาญฉลาดและมีไหวพริบ จะต้องไม่เสียเปรียบเป็นแน่” หลินหลันกล่าวปลอบใจ

“ต่อให้ซานเอ๋อร์ชาญฉลาดเพียงใด แล้วมันจะมีประโยชน์อันใดหรือ คนเหล่านั้นลักพาตัวเขาไปคงไม่ใช่เล่นๆ เป็นแน่...” เฝิงซูหมิ่นเช็ดหัวตา กล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น

“หลินฮูหยิน คุณชายซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีบุญ จะต้องแคล้วคลาดจากภัยอันตรายแน่นอนเจ้าค่ะ” แม่โจวมาปลอบประโลมอีกแรงเช่นกัน ทว่าในใจตนเองก็ไม่ได้รู้สึกดีเช่นกัน เด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูเพียงนั้น อย่างอื่นไม่กล้าคิด ลำพังคิดว่าแค่คงต้องทนหิวและเหน็บหนาวก็ทำให้รู้สึกปวดใจแทบไม่ไหวแล้ว

หลินหลันกล่าวเสริม “ใช่แล้วเจ้าค่ะ! ซานเอ๋อร์เป็นเด็กที่มีบุญอย่างยิ่ง จะไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นแน่นอน อีกอย่าง ท่านมือปราบเจิ้งมีประสบการณ์เกี่ยวกับคดีประเภทนี้ ทางท่านจิ้งปั๋วโหว์ก็รับปากแล้วเช่นกันว่าจะส่งคนไปตรวจสอบ ต่อให้พวกเราต้องพลิกทั้งเมืองหลวง ก็ต้องตามหาซานเอ๋อร์กลับมาให้จงได้เจ้าค่ะ”

แม่โจวประคองเฝิงซูหมิ่นไปนั่งลงข้างโต๊ะ แสดงท่าทีให้หยินหลิ่วไปหยิบน้ำอุ่นมา จากนั้นนำผ้าเช็ดหน้าชุบน้ำบิดหมาดแล้วส่งให้นายหญิงเช็ดหน้า “ฮูหยินทำใจให้สบายนะเจ้าคะ คนเหล่านั้นลักพาตัวคุณชายซานเอ๋อร์ไป เพราะคิดจะใช้คุณชายซานเอ๋อร์เป็นเครื่องมือต่อรอง ก่อนที่เอ้อร์เส้าเหยียจะกลับมา คนเหล่านั้นไม่มีทางทำไม่ดีต่อคุณชายซานเอ๋อร์แน่นอนเจ้าค่ะ”

เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยความเศร้าโศก “ยามนี้ไม่เป็นไร แต่ก็ยากที่จะรับประกันได้ว่าจากนั้นจะไม่เป็นไร หากคุณชายตระกูลเจ้าไม่ตอบรับเงื่อนไขของพวกเขา มิเท่ากับซานเอ๋อร์ต้องตายสถานเดียวหรอกหรือ” เฝิงซูหมิ่นเริ่มรู้สึกเสียใจภาพหลังอีกครั้ง เป็นตนเองแท้ๆ ที่นำซานเอ๋อร์ส่งเข้าไปเผชิญปัญหาเลวร้าย!

หลินหลันหย่อนตัวลงนั่งข้างนาง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่หรอกเจ้าค่ะ หมิงอวินไม่มีทางไม่สนใจความเป็นความตายของซานเอ๋อร์ เขาจะต้องคิดหาวิธีการได้แน่นอนเจ้าค่ะ”

เฝิงซูหมิ่นสะอึกสะอื้น และกล่าวด้วยความโกรธเคือง “ข้าให้ผู้ดูแลบ้านส่งจดหมายไปให้ท่านพี่แล้ว เขาอยู่ชายแดนเพื่อปกป้องอาณาเขตอย่างไม่คิดชีวิต แต่กลับปล่อยให้บุตรชายของตนเองถูกคนเขาปองร้าย เขารู้จักแต่ปกป้องบ้านเรือนผู้อื่น รู้จักแต่ปกป้องประเทศชาติบ้านเมือง หากซานเอ๋อร์กลับมาอย่างปลอดภัยไม่ได้ ข้าจะเอาเรื่องเขาเป็นแน่”

หลินหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆ หากตาผู้เฒ่านั่นรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับซานเอ๋อร์ เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหรือ ตอนนั้นที่เขาได้ยินว่าพวกเขาสามแม่ลูกไม่อยู่แล้ว ก็หันไปแต่งงานมีครอบครัวใหม่ทันที

“คุณหนูสามเจ้าคะ...” เสียงของอวิ๋นอิงดังเข้ามาในห้อง

“เอ้อร์เส้าหน่ายนายล่ะ”

“กำลังพูดคุยกับหลินฮูหยินในห้องเจ้าค่ะ!”

“มีข่าวคราวซานเอ๋อร์แล้วหรือไม่”

อวิ๋นอิงกล่าว “ยังไม่ได้ข่าวคราวเลยเจ้าค่ะ!”

เสียง ‘อ้อ...’ ของหมิงจูดูเหมือนหวังอย่างยิ่ง หลังชะงักไปชั่วครู่ ก็กล่าวขึ้นอีกครั้ง “เช่นนั้นข้าไปก่อนละ มีข่าวคราวซานเอ๋อร์แล้ว รบกวนช่วยบอกกล่าวข้าด้วย”

“คุณหนูสามเดินกลับดีๆ นะเจ้าคะ...”

ผ่านไปไม่นานนัก หงซางก็มาถามไถ่ข่าวคราวเช่นกัน หลินหลันจึงไปบอกกล่าวนางด้วยตนเอง “กลับไปบอกต้าเส้าหน่ายนายว่าให้นางวางใจได้ เมื่อมีข่าวคราวคุณชายซานเอ๋อร์แล้ว ข้าจะแจ้งให้นางทราบทันที”

เฝิงซูหมิ่นเห็นคนของจวนหลี่ต่างห่วงใยซานเอ๋อร์ถึงเพียงนี้ ภายในใจจึงรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ

หลังรับประทานอาหารเช้า ขณะหลินหลันเตรียมจะส่งตงจึไปถามไถ่ความคืบหน้าจากหัวหน้ามือปราบเจิ้ง แม่เหยาพาคนผู้หนึ่งเข้ามาและกล่าวว่าต้องการเข้าพบหลินฮูหยิน

“แม่หวัง เจ้ามาที่นี่ทำไมหรือ หรือว่าคนเหล่านั้นดันก่อปัญหาอันใดขึ้นอีกแล้ว” เฝิงซูหมิ่นกำลังกระวนวายใจ จึงกล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

แม่หวังกล่าวทันที “ฮูหยิน ท่านรีบกลับบ้านเถอะเจ้าค่ะ! คุณชายน้อยซานเอ๋อร์กลับมาแล้วเจ้าค่ะ”

หลินหลันและเฝิงซูหมิ่นต่างตะลึงงัน คิดว่าตนเองหูฟาดไปแล้ว เฝิงซูหมิ่นจึงกล่าวถามด้วยน้ำเสียงร้อนใจ “เจ้าว่าอะไรนะ? ใครกลับบ้านมาแล้วหรือ”

แม่หวังกล่าวตอบ “ฮูหยิน คุณชายซานเอ๋อร์กลับมาแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ เช้าตรู่วันนี้ มีบุรุษหนุ่มคนหนึ่งวิ่งหน้าตั้งมาส่งข่าว กล่าวว่าคุณชายซานเอ๋อร์อยู่บ้านเขา ให้ไปรับกลับมาที บ่าวเกรงว่าเรื่องราวจะมีเล่ห์กลอันใด จึงตามเข้าไปด้วยตนเอง ผลปรากฏว่าคุณชายซานเอ๋อร์อยู่ในบ้านคนเขาจริงๆ และกำลังกัดหมั่นโถวอยู่เลยเจ้าค่ะ! เดิมทีบ่าวคิดจะพาคุณชายน้อยซานเอ๋อร์มานี่ ทว่าคุณชายน้อยซานเอ๋อร์กล่าวว่าจวนหลี่ไม่ปลอดภัย ให้เข้าไปบอกกล่าวฮูหยินและเอ้อร์เส้าหน่ายนายถึงที่จะดีกว่า นี่บ่าวก็เลยเร่งรีบมารายงานเจ้าค่ะ”

เฝิงซูหมิ่นดีใจจนแทบคลั่ง “นี่ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่! หลินหลัน เจ้าหยิกข้าทีสิ”

หลินหลันไม่อยากจะเชื่อเช่นเดียวกัน นางกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะร้องไห้ “ข้าจะหยิกท่านทำไมหรือ แม่หวังหรือจะโกหกพวกเรา ท่านรีบไปดูเถอะ ข้าไม่กล้าก้าวออกจากจวนสักฝีก้าวเช่นกัน ข้าจะให้จ้าวจัวอี้ติดตามท่านไป”

แม่โจวดีใจจนน้ำตาไหลริน สองมือยกขึ้นประกบกันและกล่าวอามิตตาภพุทธ

หยินหลิ่วกล่าวขึ้นมาเช่นกัน “เดี๋ยวข้าจะไปบอกกล่าวจิ่นซิ่วเดี๋ยวนี้ล่ะ สาวน้อยนี่ร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้ แทบไม่เหลือน้ำตาจะให้ไหลรินแล้วก็ว่าได้เจ้าค่ะ”

เฝิงซูหมิ่นเดินออกไปอย่างเร่งรีบ หลินหลันรอคอยอยู่ที่บ้านด้วยความกระวนกระวายกว่าหนึ่งชั่วยาม จากนั้นจ้าวจัวอี้ถึงกลับมาพร้อมใบหน้ายิ้มแย้ม

“เอ้อร์เส้าหน่ายนาย คุณชายซานเอ๋อร์ปลอดภัยแล้วขอรับ เด็กน้อยนี่ช่างชาญฉลาดและมีไหวพริบสุดๆ ใช้ประสบการณ์หนีตายจากตอนนั้นที่ข้าถูกคนจับได้ว่าขโมยไส้กรอกบ้านคนอื่นเขา จึงช่วยให้เขาหนีรอดออกมาได้จริงๆ ขอรับ”

หลินหลันได้ยินดังกล่าว ภายในใจรู้สึกประหนึ่งศิลาก้อนใหญ่ตกลงสู่พื้น พระเจ้าคุ้มครองจริงๆ ทำให้ซานเอ๋อร์รอดพ้นจากอันตรายได้

“คุณชายซานเอ๋อร์กล่าวว่า เขาถูกขังไว้ในบ้านหลังหนึ่ง มีคนเฝ้าเขาสี่คน ผู้เป็นหัวหน้านามว่าเว่ยจื่อ ส่วนที่เหลือนามว่าเหล่าเถี่ย เอ้อร์หนิว และโซ่วจื่อ เพราะคนเหล่านั้นเห็นเขาเป็นเด็ก ก็เลยไม่ได้ป้องกันเขาอย่างเข็มงวด จึงถูกเขาวางแผนสับขาหลอกและหนีออกมาได้ ทว่ากลางดึกดื่นที่มืดมิดวังเวงเพียงนั้น เขาจึงไม่รู้ว่าบ้านหลังนั้นตั้งในสถานที่แห่งหนใด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีชื่อของคนเหล่านี้แล้ว ท่านหัวหน้ามือปราบเจิ้งคงจะจับตัวพวกเขาได้ในเร็วๆ นี้ละขอรับ” จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

หลินหลันกล่าว “ช่างเป็นเด็กที่มีไหวพริบจริงๆ”

“นั่นสิขอรับ ผู้ใหญ่สี่คนยังจับตาดูเขาไว้ไม่ได้ เด็กน้อยคนนี้เป็นคนที่สติปัญญาล้ำเลิศผู้หนึ่งชัดๆ” จ้าวจัวอี้รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง

หลินหลันครุ่นคิดอย่างหนักก่อนกล่าวขึ้นมา “เจ้านำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวท่านเจิ้งหัวหน้ามือปราบ และให้เขาทำการตรวจสอบต่อไป จากนั้นค่อยไปจวนท่านแม่ทัพ บอกกล่าวหลินฮูหยินสักหน่อย ให้เขานำซานเอ๋อร์ซ่อนไว้ให้ดีๆ อย่าให้คนรู้ว่าซานเอ๋อร์กลับจวนแล้ว”

จ้าวจัวอี้กล่าวด้วยความข้องใจ “ทำเช่นนี้ทำไมหรือขอรับ”

หลินหลันยกยิ้มมุมปากที่เคลือบไว้ด้วยความเย็นชา “ในเมื่อซานเอ๋อร์พ้นอันตรายแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็มิต้องเกรงกลัวแล้ว พวกเขาคิดจะลักพาตัวคนก็ลักพาไปสิ เห็นว่าพวกเรารังแกได้ง่ายหรือไรกัน ไว้รอหัวหน้ามือปราบเจิ้งจับตัวคนเหล่านั้นได้แล้ว พวกเราก็ทำเรื่องนี้ให้เอิกเกริก ดูสิว่าพวกเขาจะจัดการอย่างไร”

ตระกูลฉินจับตัวบุตรชายของแม่ทัพฮ๋วยหยวนไว้ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป บรรดาทหารนักรบเหล่านั้นคงต้องโกรธเกรี้ยวเป็นแน่ แนวโน้มเสียงที่จะต่อต้านตระกูลฉินก็จะทวีคูณยิ่งขึ้น นี่ถือเป็นการโอกาสดีงามที่มาถึงหน้าประตู หากไม่ใช้มันเพื่อก่อประโยชน์จะไม่น่าเสียดายแย่หรือ

จ้าวจัวอี้เผยสีหน้าเห็นด้วย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความคิดนี้ของพี่สะใภ้ยอดเยี่ยมทีเดียว ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ”

ในจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวน ซานเอ๋อร์อาบน้ำอาบท่าและเปลี่ยนชุดเป็นที่เรียบร้อย รับประทานโจ๊กรังนกและแป้งทอดไส้เนื้อเข้าไปหนึ่งชิ้น ตามด้วยซาลาเปาไส้เนื้อสองลูก รับประทานจนท้องน้อยๆ นูนเด่นขึ้นมา

เฝิงซูหมิ่นนั่งอยู่ด้านข้าง มองดูลูกน้อยที่กลับมาหลังจากหายตัวไป เสมือนเกรงกลัวว่าในชั่วพริบตาซานเอ๋อร์จะหายตัวไปอีก

“ค่อยๆ กิน ระวังจะสำลักจนได้...” เห็นซานเอ๋อร์รับประทานอย่างเอร็ดอร่อยเพียงนี้ เฝิงซูหมิ่นรู้สึกปวดใจขึ้นมาจนเกินบรรยาย อดร้องไห้ออกมาอีกครั้งไม่ได้ “คนชั่วร้ายเหล่านั้นช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว ถึงขั้นลงมือต่อเด็กน้อยคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมเพียงนี้ แม้แต่ข้าวปลาก็ไม่ให้เจ้ากิน”

ซานเอ๋อร์กัดซาลาเปาไส้เนื้อคำโต แล้วกล่าว “ท่านแม่ นี่ไม่ใช่เพราะข้าหิวหรอกขอรับ พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ข้าหิว ข้าก็แค่อยากกินเยอะๆ หน่อยเพื่อสยบความตื่นตระหนกน่ะขอรับ”

ดวงตาของโม่เอ๋อร์แดงระเรื่อ จมูกก็รู้สึกหายใจไม่สะดวก น้ำเสียงฟังดูอู้อี้เล็กน้อย “ข้าน้อยจะให้ทางห้องครัวยกอาหารอร่อยๆ มาให้รับประทานอีกนะเจ้าคะ”

ซานเอ๋อร์รีบกล่าวทันควัน “พี่โม่เอ๋อร์ ไม่ต้องแล้วละ ข้ากินอิ่มแล้ว ขืนกินอีกคงได้จุกแย่” จากนั้นจึงกล่าวปลอบประโลมมารดา “ท่านแม่ ท่านอย่าเศร้าเสียใจไปเลย นี่ซานเอ๋อร์ก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้วมิใช่หรือขอรับ”

เฝิงซูหมิ่นกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสลด “เจ้าเติบใหญ่เพียงนี้ เคยให้แม่ต้องตระหนกตกใจกลัวเช่นนี้เสียที่ไหนกัน แม่คิดๆ ดูก็มักรู้สึกหวาดกลัวเสียยิ่งอะไรดี”

เดิมทีซานเอ๋อร์ยังคิดว่ามารดาจะกล่าวชมเขาสักสองสามประโยค การจะหนีจากเงื้อมมือคนชั่วร้ายทั้งสี่คนนั่นมันไม่ง่ายดายเลยสักนิด! ลองเปลี่ยนเป็นเจ้าเด็กน้อยนั่น ‘ที่เสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม’ คงได้แต่ร้องห่มร้องไห้ จากนั้นคงถูกเหล่าเถี่ยเล่นงานจนทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเห็นมารดาเศร้าเสียใจเพียงนี้ เขาจึงละอายใจเกินกว่าจะแสดงท่าทีภาคภูมิใจในตนเอง เขาซบกายลงในอ้อมอกมารดาอย่างว่านอนสอนง่าย และยกมือน้อยจ้ำม่ำช่วยปาดน้ำตาให้มารดา “ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้เลยขอรับ วันหลังซานเอ๋อร์จะเชื่อฟังท่านแม่และพี่หลันเอ๋อร์ ไม่เที่ยววิ่งไปทั่วตามอำเภอใจอีกแล้วขอรับ”

เฝิงซูหมิ่นโอบกอดบุตรชายแนบแน่น จับดวงหน้าเล็กๆ ที่นุ่มนิ่มของเขาด้วยความรู้สึกหดหู่ใจอย่างยิ่ง “เป็นแม่เองที่ไม่ดี แม่จะไม่ให้เจ้าห่างกายแม่อีกแล้ว แม่จะคอยดูแลเจ้าให้ดีๆ จะไม่ให้เจ้าถูกคนชั่วจับตัวไปได้อีก...”