ห้องหนังสือ ภายในจวนเยี่ยอ๋อง
"ถึงเจ้าจะไม่ยอมตอบคำถาม ข้าก็พอเดาถูก คงเป็นคนแซ่ฟ่งที่เป็นผู้ช่วยเจ้าเอาไว้ คนผู้นั้นไม่ว่าจะหนุ่มหรือแก่ก็เป็นพวกที่ชอบหาเรื่องอันตรายใส่ตัวไม่เปลี่ยนเลยสินะ"
เสียงหัวเราะอย่างเย้ยหยันของเยี่ยอ๋องก็ดังขึ้น จากนั้นก็กล่าวต่อ
"บิดาของเจ้านี่ช่างโชคดีจริง ๆ ขนาดตายไปแล้ว ยังคงมีคนที่ภักดีต่อเขาไม่เคยเปลี่ยนแปลง ต่างจากข้า...ที่ไม่สามารถไว้ใจคนข้างกายได้เลยสักคน แถมตั้งแต่เกิดเหตุการณ์คืนนั้น ข้าก็ไม่เคยนอนหลับตาสนิทได้เลยสักคืน"
เยี่ยอ๋องกล่าวจบ เขาก็เผยสีหน้าเศร้า ดูอมทุกข์ เหมือนรู้สึกผิดกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป
แต่ฟ่งหลันหลั่นไม่มีทางหลงกลคนผู้นี้อีกแล้ว
"เลิกตีหน้าเศร้าเสแสร้งว่าตนเองรู้สึกผิดกับการกระทำอันไร้ซึ่งความเป็นคนของท่านเสียที ข้ายิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกสะอิดสะเอียน อยากจะสำรอกอาหารที่กินไปออกมาเสียเดี๋ยวนี้เลย คนที่สั่งฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องและหลานตัวเอง เพียงเพราะความโลภ ความลุ่มหลงมัวเมาและอยากครอบครองอำนาจที่มิใช่ของตน"
เยี่ยอ๋องรู้สึกโกรธกับถ้อยคำถากถางและต่อว่าของสตรีน้อยตรงหน้า แต่เขาก็พยายามระงับอารมณ์โกรธเอาไว้ ในขณะนี้อ๋องผู้นี้เกิดรู้สึกแปลกใจว่าเวลาผ่านไปเกือบสองก้านธูปแล้ว กลับไร้วี่แววของบ่าวไพร่ ทั้ง ๆ เขาได้เตรียมกำลังคนดักซุ่มไว้ทั่วจวนเพื่อจับตัวผู้บุกรุก จึงได้คิดหาวิธีประวิงเวลาจนกว่าคนของเขาจะบุกเข้ามาช่วยเหลือ
"ไม่เจอกันหลายปี เด็กน้อยผู้แสนน่ารักและอ่อนหวานคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว ดูสิ! ถ้าน้องอวี้มาเห็นเจ้าในตอนนี้ เขาจะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนกัน เพราะธิดาน้อยของเขากลายเป็นคนไร้ซึ่งมารยาท แถมยืนต่อว่าต่อขานญาติผู้ใหญ่อย่างไม่ให้เกียรติ มิหนำซ้ำตอนนี้ถึงขนาดลงตัวลงไปเป็นสาวใช้ของนายทหารผู้หนึ่ง"
คำกล่าวนี้ของเยี่ยอ๋องยิ่งทำให้ฟ่งหลันหลั่นโกรธแค้นเขามากขึ้นเป็นทวีคูณ และเพราะใครกันล่ะ ชีวิตของนางถึงได้ตกต่ำและเปลี่ยนไปราวฟ้ากับเหวเยี่ยงนี้
"หุบปากอันโสโครกของท่านซะ! ท่านไม่มีสิทธิ์มาเอ่ยนามของบิดาข้า และข้าจะทำตัวเยี่ยงไร มันก็ไม่เกี่ยวอันใดกับท่าน คนเราจะสูงหรือต่ำมันอยู่ที่การกระทำและจิตใจ ไม่ใช่ฐานะหรือชนชั้น"
ฟ่งหลันหลั่นตวาดเสียงดังใส่เขากลับไปอย่างเดือดดาล แต่เยี่ยอ๋องกลับหัวเราะสวนกลับมาอย่างเย้ยหยันเช่นเคย
ฮ่าฮ่าฮ่า....
จากนั้นเยี่ยอ๋องเริ่มกล่าวถึงความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนให้พระตำหนักของธิดาน้อยขององค์ชายรัชทายาท
"มาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าจะยอมบอกความจริงทั้งหมดเพื่อทำบุญละกัน....เกี่ยวกับเบื้องหลังปริศนาและความลับการตายของเจ้าให้ฟังดีไหม ว่าข้านั้นได้วางแผนการไว้เช่นไร"
ใบหน้าของเขาเริ่มบูดเบี้ยว แววตาและน้ำเสียงเหมือนคนจิตหลุด
ฟ่งหลันหลั่นยิ่งได้ฟังเช่นนั้น ไฟโทสะในกายก็พลุ่งพล่านเดือดดาลหนักขึ้น นางกำหมัดแน่น พยายามข่มใจตัวเองไว้และอดทนยืนฟังเขาโดยไม่โต้แย้ง เพราะนางเองก็ต้องการรู้ความจริงในเรื่องนี้เช่นกัน
เยี่ยอ๋องเห็นว่าสตรีน้อยกำลังตั้งใจฟังในสิ่งที่เขาจะพูด เขาจึงเริ่มพรั่งพรูสิ่งที่อยู่ในใจออกมา เหมือนกำลังปลดปล่อยความลับที่มันอัดแน่นในใจมาเนิ่นนาน
"ข้าเป็นคนสั่งให้นางกำนัลส่วนตัวของเจ้า โรยผงปลิดวิญญาณลงบนสระอาบน้ำส่วนตัวนั่น
และยังสั่งให้พวกเขาผสมมันลงไปในเครื่องดื่มและอาหารของเจ้าใน ทุก ๆ วัน วันละนิด ผงนั้น ไร้สี ไร้กลิ่นและไร้รส ดังนั้นไม่มีทางที่ใครจะจับผิดสังเกตได้ และสุดท้ายร่างกายของเด็กน้อยก็ไม่อาจจะทนรับพิษต่อไปได้อีก"
เขาหยุดพักหายใจช่วงหนึ่งและสังเกตปฏิกิริยาของสตรีน้อยตรงหน้าไปพร้อมกัน จากนั้นก็กล่าวต่อ
"จนในที่สุด...วันนั้น ในขณะที่กำลังเตรียมตัวลงแช่น้ำ เจ้าก็ได้กระอักเลือดออกมาจำนวนมาก และสิ้นใจตายตรงข้างสระน้ำของตน ต่อหน้าธารกำนัล เหล่าคนที่เจ้าคิดว่าพวกเขานั้นจงรักภักดีมาตลอด รวมไปถึงการตายของบิดาเจ้า ก็เป็นฝีมือของข้าเช่นกัน"
เยี่ยอ๋องหยุดพูดและมองหน้าฟ่งหลันหลั่น ซึ่งตอนนี้นางกำลังยืนตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น เขาจึงกล่าวเสริมต่อเพื่อหวังยั่วยุโทสะของฝ่ายตรงข้าม
"...ว่าแต่การถูกคนที่ตัวเองไว้ใจทรยศหักหลัง มันรู้สึกยังไงกันล่ะ เจ็บปวดมากใช่ไหม..."
ฮ่าฮ่าฮ่า
เยี่ยอ๋องหัวเราะอย่างเย้ยหยันอีกครั้ง แต่แววตาของเขากลับซ่อนความเศร้าและเจ็บปวดไว้ข้างในลึก ๆ นั้น
ตอนนี้ฟ่งหลันหลั่นไม่สามารถทนฝืนฟังเขาพล่ามได้อีกต่อไปแล้ว ความอาฆาตเคียดแค้นที่อัดแน่นอยู่ในอกมันพุ่งออกมาผ่านทางถ้อยคำที่นางกำลังแผดเสียงดังตอกใส่หน้าเขาอย่างเดือดดาล
"คนแบบท่าน! มันเลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก ท่านไม่มีวันได้ตายดีแน่!"
ระหว่างที่กล่าว นางก็ได้พ่นลมออกมาทางปลายจมูกเล็กน้อยและกล่าวต่อ
เฮอะ!
"คิดหรือว่าข้าจะไม่รู้เท่าทันเรื่องที่ท่านไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้และขอพระราชพิธีสมรสจากพระองค์เพื่อให้บุตรสาวได้แต่งงานกับหลงอี้หลิง นั่นคงไม่ใช่เพราะว่าท่านรักนางและอยากเห็นนางมีความสุขอย่างแน่นอน"
ความรู้สึกอันแสนเจ็บปวดทรมานรวดร้าวประดุจหนึ่งเข็มเล็ก ๆ นับพันนับหมื่นเล่มพุ่งเข้ามาทิ่มแทงกลางใจอยู่ตลอดเวลา ความทรงจำของเหตุการณ์อันโหดร้ายมันยังฝังใจอยู่ตลอดเวลาราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้
ต่อให้ตายไป นางก็ไม่มีวันจะลืมเหตุการณ์และความรู้สึกเลวร้ายนั้นไปได้ ยิ่งได้ยินเยี่ยอ๋องสารภาพผิดออกมา มันก็ไม่ต่างกับเหตุการณ์โศกนาฏกรรมนั้นได้เกิดขึ้นวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าภายในจิตใจองค์หญิงแสนอาภัพผู้นี้
เยี่ยอ๋องได้ฟังเช่นนั้น เขาก็เปลี่ยนสีหน้าและหันมาแสยะยิ้มให้กับฟ่งหลันหลั่นอย่างพึงพอใจ และเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ
"หึ! ถ้าไม่ใช่เพราะสาเหตุนั้น แล้วเจ้าคิดว่าข้าทำไปเพราะอะไรกันล่ะ"
ฟ่งหลันหลั่นจ้องหน้าเยี่ยอ๋องและถลึงตาใส่เขาอย่างเดือดดาลอีกครั้ง
"นั่นเป็นแผนการของท่านเพื่อต้องการใช้อำนาจทางการทหารของหลงอี้หลิง ในการก่อการกบฏและแย่งชิงบัลลังก์จากฮ่องเต้ต่างหากล่ะ ทว่าต่อให้ไปตายแล้วเกิดใหม่ ท่านก็ยังเป็นคนที่ไร้ซึ่งบุญวาสนาอยู่ดี คนเลวทรามเช่นท่านไม่มีบารมีคู่ควรพอต่อบัลลังก์มังกรทองนั่น...มีเพียงโอรสของสวรรค์เท่านั้นถึงจะเป็นผู้มีสิทธิ์ถูกเลือก"
ถ้อยคำนี้ของสตรีน้อยมันช่างตอกย้ำความจริงทิ่มแทงใจและความรู้สึกของเยี่ยอ๋องได้อย่างเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นเมื่อสิบปีก่อน...หรือตอนนี้ เขาก็ยังไปไม่ถึงฝั่งฝันที่ต้องการ
เพราะเหตุอันใดกันงั้นหรือ เขาเป็นโอรสของฮองเฮาแท้ ๆ แต่กลับไม่ได้รับตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท และแม้กระทั่งหลังจากอ๋องอวี้ องค์รัชทายาทรุ่นก่อนสิ้นพระชนม์ไปก่อนจะได้ขึ้นครองราชย์ ตัวเขาก็ยังไม่ได้รับสิทธิ์นั้นต่อ แต่พวกเหล่าขุนนางชั้นสูงกลับไปนำโอรสของสนมเอกขึ้นครองบัลลังก์นั้นแทน
เขาทำอันใดผิดกันหรือเขาไม่คู่ควรต่อบัลลังก์ตั่งทองนั้นตรงไหน...มันคือคำถามที่คอยกัดกินความรู้สึกและหัวใจของเยี่ยอ๋องมาอย่างยาวนาน
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังปะทะคารมโต้เถียงกันอยู่อย่างเชือดเฉือน เสียงฝีเท้าจำนวนมากมายวิ่งกรูกันดังขึ้นมาจากทางด้านนอกห้องหนังสือ
ตึง ตึง ตึง...
สตรีน้อยเอียงคอเล็กน้อยและเงี่ยหูฟังเสียงจากทางด้านนอก เพื่อจะประเมินกำลังคนที่กำลังวิ่งกรูมาทางตำแหน่งห้องที่นางกำลังยืนอยู่
'ไม่ได้การละ หากไม่รีบลงมือตอนนี้ มีหวังเราอาจจะถูกคนของเยี่ยอ๋องเข้ามาจับคุมตัวไว้แน่'
พอคิดได้เช่นนั้น นางก็ไม่รอช้ารีบพุ่งตัวเข้าหาคนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตวัดปลายมีดในมือใส่เขา เพื่อหวังข่มขู่ให้เขากลัว
และมันก็ได้ผล เยี่ยอ๋องตกใจที่จู่ ๆ นางก็พุ่งเข้าหาตัวเขาพร้อมกับหันคมมีดสั้นเข้าตรงมายังลำคอของตัวเอง เจ้าตัวจึงรีบเอี้ยวตัวไปทางด้านข้าง มือใหญ่หนาคว้าโถใบใหญ่ที่ตั้งวางอยู่และเหวี่ยงมันเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็ว หวังปัดป้องตัวเองให้พ้นภัย แต่เขาดันลืมไปว่ามือข้างนั้นได้ถือบางอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้
แม้ตอนนี้ฟ่งหลันหลั่นจะไร้ซึ่งวรยุทธ์ แต่ว่าประสาทสัมผัสการรับรู้ทั้งห้าของนางยังคงใช้การได้ดี จึงทำให้นางมองเห็นการเคลื่อนไหวของเขาและอ่านความคิดนั้นออก และพาตัวเองหลบพ้นโถใบใหญ่ที่ถูกเหวี่ยงใส่ นาทีต่อมา หางตาของนางก็พลันเหลือบมองไปเห็นกระปุกสีขาวใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งหลุดออกจากมือของเยี่ยอ๋องและหล่นไปยังพื้นตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง
ประจวบเหมาะกับตอนนั้น บ่าวรับใช้หลายคนของเยี่ยอ๋องก็ได้พังประตูและวิ่งกรูกันเข้ามาในห้องหนังสือพอดี
เยี่ยอ๋องได้หันไปด่าทอลูกน้องที่มาช่วยเขาช้าและรีบออกคำสั่งให้บ่าวไพร่จับตัวฟ่งหลันหลั่นทันที
"พวกเจ้ามัวชักช้าทำบ้าอะไรกันอยู่ ป่านนี้ถึงเพิ่งโผล่หัวกันมาช่วยข้าได้"
บ่าวไพร่ถูกเยี่ยอ๋องต่อว่าด่าทอ ก็เกิดหวาดกลัวว่าจะถูกลงโทษจนพากันยืนตัวสั่นเกร็ง ไม่ขยับเขยื้อน
เยี่ยอ๋องยิ่งเห็นเช่นนั้นยิ่งโกรธจัดมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม จึงได้ตวาดอย่างเกรี้ยวกราดใส่ลูกน้องอีกครั้ง
"ยืนเซ่ออะไรกันอยู่ รีบจับตัวนางไว้เดี๋ยวนี้!"
บ่าวรับใช้สะดุ้งโหยงตกใจและรีบขานรับขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
"ขะ ขอรับนายท่าน!" จากนั้นพวกเขาก็พากันวิ่งกรูกันเข้าไปหาสตรีน้อยเพื่อหวังจับตัวนางตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
ฟ่งหลันหลั่นไม่ใช่สตรีผู้อ่อนหวานเรียบร้อย มีหรือนางจะยืนรอเฉย ๆ ให้คนเข้ามาจับตัวได้ง่าย ๆ เพื่อเห็นว่าสถานการณ์ของตนเริ่มตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ นางก็ไม่รอช้า พุ่งตัวไปหยิบกระปุกสีขาวใบเล็กบนพื้น ก่อนที่นางจะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างด้านข้าง และหายลับไปท่ามกลางราตรีอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว
เยี่ยอ๋องยืนมองตามหลังและกำหมัดทั้งสองไว้แน่น สีหน้าแดงเถือก เส้นเลือดใหญ่สีเขียวปูดขึ้นมาบนขมับทั้งสองข้าง เขากัดฟันของตัวเองดังกรอด ๆ จากนั้นก็หันขวับไปมองตาขวางยังเหล่าบ่าวไพร่ที่แสนไม่ได้เรื่องของตน
"เลี้ยงเสียข้าวสุกสิ้นดี!"
เหล่าบ่าวไพร่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พวกเขาก็ยืนตัวสั่นเทาเพราะกำลังหวาดกลัวถึงสิ่งที่จะต้องเผชิญหลังจากนี้
"พ่อบ้านใหญ่อยู่ที่ไหน! มาเอาตัวคนพวกนี้ไปตัดหัวทิ้งให้หมด รวมทั้งลูกเมียของพวกมันก็อย่าให้เหลือรอดชีวิตสักคน!"
น้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดและเดือดดาลของเยี่ยอ๋องได้ออกคำสั่งประหัตประหารชีวิตของผู้อื่นอย่างง่ายดายราวกับพวกเขาเป็นผักปลา แววตาของเขานั้นไร้ซึ่งความเมตตาปรานี ไม่มีแม้แต่พระเดชพระคุณต่อคนของตน ความโลภที่ต้องการครอบครองในอำนาจ ทำให้เขากลายเป็นคนไร้หัวใจไปแล้ว
เหล่าบ่าวไพร่ได้ยินเช่นนั้น ทุกคนถึงกลับเข่าอ่อนจนหมดแรง ทั้งหมดนั่งทรุดลงบนพื้น วินาทีต่อมาเสียงร้องวิงวอนขอความเมตตาจากผู้เป็นนาย
"ฮือ...นายท่านอ๋องพวกข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้ากับลูกเมียด้วย"
"ท่านอ๋องโปรดเมตตาด้วย ฮือ ฮือ..."
แต่ก็ดูเหมือนเสียงอ้อนวอนขอความเมตตาเหล่านั้นจะไร้ผล เยี่ยอ๋องเดินสะบัดตัวออกไปจากห้องหนังสือด้วยอารมณ์ที่บันดาลไปด้วยความโกรธไม่ต่างจากเปลวไฟที่กำลังแผดเผาทุกสิ่งที่รอบตัว
และนาทีต่อมา พ่อบ้านใหญ่ก็ได้วิ่งเข้ามาพร้อมกับเหล่าทหารจำนวนหนึ่งเหมือนรู้งาน
พวกเขาได้ลากตัวบ่าวไพร่ทั้งหมดที่อยู่ในห้องนั้นออกไปลงโทษตามคำสั่งของเยี่ยอ๋องทันที
ด้านฟ่งหลันหลั่น หลังจากที่หนีรอดออกมาจากเยี่ยอ๋องและคนของเขาได้ นางก็เจอเรื่องซวยเข้าอีกแล้ว เพราะทันทีที่นางกระโดดลงจากกำแพงของจวนเยี่ยอ๋อง และฝ่าเท้าทั้งสองข้างแตะลงบนพื้น ก็ได้มีกลุ่มคนชุดดำจำนวนหนึ่งบุกเข้ามาจู่โจม
เมื่อสตรีน้อยปัดป้องตนเองจนหลบพ้นคมดาบและการจู่โจมที่ไม่ทันตั้งตัวนั้นได้ นางก็หันไปเผชิญหน้ากับพวกเขาและชี้ปลายมีดสั้นพร้อมกับตะคอกถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เพราะนางมั่นใจว่ากลุ่มคนพวกนี้ไม่ใช่คนของเยี่ยอ๋องอย่างแน่นอน
"พวกแกเป็นใครกัน ใครส่งพวกแกมา!"
ฝ่ายตรงข้ามไม่ตอบคำถาม แต่พวกเขาได้พุ่งเข้าจู่โจมนางพร้อมกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทำให้สตรีที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์ไม่มีโอกาสที่จะชนะในการโจมตีครั้งนี้ของศัตรูได้
ตุบตับ! ตุบตับ! เสียงชกต่อยตบตีดังขึ้นอยู่ครู่หนึ่ง และจังหวะหนึ่ง หนึ่งในคนชุดดำผู้หนึ่งก็เข้าโจมตีนางจากทางด้านหลัง โดยใช้สันมือฟาดลงที่ท้ายทอยของฟ่งหลันหลั่น
ผลัก! จนเจ้าตัวสลบไปทันที
นาทีต่อมา พวกเขาก็มองหน้าและส่งสัญญาณให้กัน ก่อนจะพาตัวฟ่งหลันหลั่นออกไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
....
เซียงไค 盛開