ตอนที่ 865 สถานการณ์ที่คาดไม่ถึง
กู่ฉิงซานไม่อยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลานานนัก
การต่อสู้อันดุเดือดกำลังใกล้เข้ามา เขากำลังเผชิญหน้ากับแรงกดดันอันมหาศาล
นอกจากนั้น เขากล่าวกับลั่วปิงหลีก่อนหน้านี้ว่าต้องทำความเข้าใจกับปัญหาในการฝึก หากกลับไปทันทีนั้นมันจะดูไม่ดีนัก
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ
เขาไปดูร่างของราชามารกระดูกชั่วร้ายเพื่อยืนยันตัวตนของมารผู้โชคร้ายตนนี้
หากราชามารกระดูกชั่วร้ายตนนี้ถูกแอบอ้างเช่นกัน นั่นหมายความว่ามีราชามารกระดูกชั่วร้ายปลอมสองตนอยู่ในโลกนี้ จากนั้นการคาดเดาของเขาจะผิดพลาดทั้งหมด
แน่นอนว่าสถานการณ์นี้ไม่มีทางเป็นไปได้
แต่ก่อนที่ศพจะถูกตรวจสอบ ความเป็นไปได้จำนวนมากยังคงอยู่ กู่ฉิงซานตัดสินใจที่จะตรวจสอบ
เขาต้องทำให้แน่ใจว่าข้อสันนิษฐานทั้งหมดมาจากความจริงที่ไม่มีพิษภัย
นี่จะไม่ส่งผลกับทางเลือกกลยุทธ์สุดท้าย
ขณะสวมฮู้ดของชุดคลุมเหนือศีรษะ กู่ฉิงซานหายไปจากถิ่นทุรกันดาร
เขาเริ่มก้าวพริบตาก่อนมาถึงปราสาท
ศพของราชามารกระดูกชั่วร้ายยังกองอยู่กับพื้น ศีรษะถูกเหยียบย่ำจนเป็นกองเนื้อ สมองจำนวนมากไหลไปตามพื้น
“หยุด”
“คนในชุดคลุมดำคนนั้นน่ะ!”
“เจ้าเป็นใคร!”
อารักขามารตะโกนด้วยความแตกตื่น
ราชามารกระดูกชั่วร้ายตาย เหลืออีกหนึ่งตน ตอนนี้ทั่วปราสาทจึงปั่นป่วนไปหมด
มารที่อาจหาญบางตนเข้าสู่ปราสาทก่อนส่งสารไปทั่วโลกวิญญาณมารผ่านความว่างเปล่าทุกหนแห่ง
“ข้ามีสารมาบอก”
“ลูกพี่ ใช่ พวกมันเละแล้ว”
“คราวนี้ไม่มีใครในโลกวิญญาณมารแล้ว”
…
พวกมารกลับสู่โลกมารจำนวนมากเพื่อรายงานสถานการณ์ที่นี่ให้ฟัง
ขณะไม่สนใจอีกฝ่าย กู่ฉิงซานก้มต่ำ ชักมีดแล่เนื้อออกมาก่อนเริ่มผ่าศพของราชามารกระดูกชั่วร้าย
การเคลื่อนไหวของเขาเร็วมาก ไม่มีความพิเศษใดๆ เขาแทบจะจัดการกับราชามารกระดูกชั่วร้ายได้ในเพียงไม่กี่อึดใจ
“อืม นี่คือร่างของเผ่าพันธุ์มารกระดูกชั่วร้าย ไม่ผิดแน่นอน”
ขณะใช้มีดเพื่อเลือกอวัยวะทรงสามเหลี่ยมที่ยังเต้นอยู่ ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ได้ข้อสรุป
ตอนนี้ไม่มีอุบัติเหตุอื่นแล้ว ไม่มีปัจจัยรบกวนใหม่ตามการคาดเดาของเขา
ทุกสิ่งเสร็จสิ้น ถึงเวลากลับสวรรค์ดึกดำบรรพ์แล้ว
กู่ฉิงซานหยิบมีดแล้วมองรอบข้าง
เขาเห็นมารจำนวนมากพุ่งมาที่นี่ บางตนเพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน
ต่อให้โลกวิญญาณมารจะเป็นเศษเสี้ยวของโลกมาร แต่ค่าของมันก็น่าทึ่งนัก
เป็นไปได้ว่าพวกมันจะต่อสู้เพื่อเศษเสี้ยวดินแดนนี้อย่างแน่นอน
กู่ฉิงซานส่ายหน้า
พวกนี้ไม่ได้ข้องเกี่ยวอะไรกับเขา
เขายืนขึ้นและเตรียมจะทะยานขึ้นสู่ท้องนภา
ทันใดนั้นก็เกิดความเจ็บปวดคมปลาบขึ้นมา
กู่ฉิงซานโซซัดโซเซ
แย่แล้ว!
ในตอนนั้น พลังของมังกรมารกลับรุนแรงขึ้นมาก่อนกระจายไปทั่วร่างอย่างต่อเนื่อง
พวกมันจะกัดกร่อนร่างกายและวิญญาณของกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานรู้สึกแน่นหน้าอกก่อนเริ่มทำการร่ายรำอย่างไม่ลังเล
ไม่มีชายชราหัวล้าน
ไม่มีดนตรี
เขาทำได้เพียงจับจังหวะด้วยตัวเอง
การร่ายรำเริ่มขึ้นท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่อึกทึกและโกลาหล
ตึกๆๆ !
หมุน
สไลด์
กระโดด!
ร่างกายร่ายรำ!
กู่ฉิงซานร่ายรำอย่างพิถีพิถัน
เขาฝึกการร่ายรำนี้จนช่ำชอง ทุกการเคลื่อนไหวแม่นยำขณะร่ายรำ ระหว่างกระโดด มีความงดงามราวหมู่เมฆและสายน้ำไหลที่ไม่อาจกล่าวเป็นคำพูดได้
พวกมารนั้นโง่เขลา
เดิมที หมอนี่ผ่าราชามารกระดูกชั่วร้าย ทั้งหมดจึงคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนนิสัยโหดเหี้ยม
แถมหลังจากนั้น หมอนี่ก็เริ่มทำการร่ายรำอยู่ข้างศพอีก
นี่มันโง่ชัดๆ
ถ้าเช่นนั้น...
“ไป จัดการเจ้าคนขวางหูขวางตานี่” มารร่างใหญ่สั่ง
ลูกน้องของมันพุ่งเข้าใส่พร้อมรอยยิ้มกว้าง
ทว่าครั้งนี้ กฎเกณฑ์แปลกประหลาดและลี้ลับกลับเข้ามาเยือน
พวกมารที่พุ่งเข้าหากู่ฉิงซานพลันล้มไปกองกับพื้น จากนั้นก็ลุกขึ้นร่ายรำตามกู่ฉิงซานด้วยความหวาดกลัว
“ลูกพี่ ร่างกายข้า... ข้าควบคุมไม่ได้!”
มารตนหนึ่งกล่าวด้วยความหวาดกลัว
ลูกพี่หรี่ตามองสักพัก
มันเห็นผู้ชายในชุดคลุมสีดำยังกระโดดอยู่
ดูท่าความสามารถของหมอนี่คือการควบคุมให้คนอื่นมาเต้นด้วยกัน
“ความสามารถไร้สาระ”
มารร่างใหญ่หยิบง้าวยาวออกมา มันทุ่มกำลังทั้งหมดก่อนพลันขว้างใส่กู่ฉิงซาน
สิ่งนี้ทำให้กฎเกณฑ์ลี้ลับนับไม่ถ้วนในความว่างเปล่าเกรี้ยวกราด
ระบำสังเวยชีพคือระบำสังเวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝั่งแปลกประหลาด สิ่งมีชีวิตที่เล็กจ้อยและอวดดีอย่างเจ้านั่นถึงกับอยากขัดขวางการร่ายรำงั้นหรือ
ง้าวหายไปทันทีที่พุ่งออกไป
ฉึก!
หมอกโลหิตสาดกระเซ็น!
มารร่างใหญ่แข็งทื่อขณะมองหน้าอกตัวเอง
มันเห็นง้าวแทงมาที่ร่างกาย คมง้าวแทงมาที่หัวใจก่อนยื่นออกไปไกล
“ไม่”
มารร่างใหญ่คุกเข่าลง ร่างกายโอนเอนก่อนถึงแก่ความตาย
พวกมารใจสั่นเมื่อเห็นเช่นนั้น
ทว่า การพัฒนาของเรื่องเหล่านี้เกินกว่าความคาดหมายของพวกมัน
มารที่ตายไปแล้วลุกขึ้นจากพื้น ด้วยสีหน้าเหม่อลอย มันดึงง้าวออกจากร่างก่อนขว้างลงกับพื้น
มันเดินเข้าไปหาพวกมารที่กำลังร่ายรำอยู่ก่อนกระโดดตามการเคลื่อนไหวของกู่ฉิงซาน
ทั่วทั้งปราสาทตกอยู่ในความเงียบ
พวกมารทั้งหมดกลั้นหายใจขณะมองฉากตรงหน้าอันเหลือเชื่ออย่างเงียบงัน
การร่ายรำที่เดิมน่าขันกลับกระจายไปทั่ว ณ ตอนนี้
มารบางตนอดที่จะเริ่มถอยไม่ได้
ตอนนี้ ราชามารเพิ่งมาถึงที่นี่
“ฮ่าๆๆๆ ช่างโง่เขลานัก ไม่เห็นต้องร่ายรำต่อหน้าศพของราชามารกระดูกชั่วร้ายเพื่อแสดงความยินดีเลยนี่” มันกล่าวพลางหัวเราะ
ลูกน้องของราชามารรออยู่ที่นี่มาก่อนแล้ว พวกมันจึงรีบเดินไปบอกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ราชามารเผยสีหน้าสงสัยก่อนกล่าวว่า “ข้าเหมือนจะเคยได้ยินความสามารถนี้มาก่อน น่าจะเป็นการร่ายรำแห่งเสน่หาอย่างหนึ่งของนักบวชศักดิสทธิ์”
พวกมารพลันเข้าใจ
จ้าวแห่งการบิดเบือนทุกสรรพสิ่ง นักบวชศักดิสทธิ์ ดยุคมารโลหิต สามมารยิ่งใหญ่ในโลกมาร
พลังของนักบวชศักดิสทธิ์คือการร่ายรำแห่งเสน่หา
เมื่อคิดแบบนี้ หัวใจของทุกคนค่อยๆ กลับสู่ที่ที่เคยอยู่
นักบวชศักดิสทธิ์คือหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทรงพลังที่สุด ตอนนี้ลูกน้องของนางอยู่ที่นี่ ดูท่าภายในโลกมารนี้จะไม่มีความคิดอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
แต่เมื่อรู้รากฐานของมารนี้ในท้ายที่สุด เมื่อรู้ถึงความสามารถจากรากฐานนั่น ความหวาดกลัวในใจก็ถูกกำจัดทิ้ง
วินาทีต่อมา
มารตนหนึ่งพลันแผดเสียงคำรามออกมา
“ไม่”
ด้วยเสียงร้องแห่งความเศร้าโศกและสำนึกผิด เลือดเนื้อบนร่างขนาดใหญ่ยังคงล้มลงไปกองกับพื้นราวโคลน
ไม่นานนัก เลือดเนื้อของราชามารหายไป เหลือไว้เพียงโครงกระดูกของราชามารที่ยืนอยู่ตรงนั้น
ในสายตาของมารทั้งหมด โครงกระดูกคุกเข่ากับพื้นช้าๆ ทำท่าสวดอ้อนวอนเพื่อสารภาพด้วยภาษามาร “ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่ควรดูถูกการร่ายรำนี้ที่เป็นตัวแทนแห่งเสน่หาเลย”
“ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่ควรดูถูกการร่ายรำนี้ที่เป็นตัวแทนแห่งเสน่หาเลย”
“ข้าสำนึกผิดแล้ว ข้าไม่ควรดูถูกการร่ายรำนี้ที่เป็นตัวแทนแห่งเสน่หาเลย”
โครงกระดูกของราชามารคุกเข่ากับพื้นขณะท่องประโยคนี้ซ้ำไปมาอย่างต่อเนื่อง
พวกมารมองฉากดังกล่าว จากนั้นมองชายในชุดคลุมสีดำที่ยังคงร่ายรำ
ไม่มีเสียงรอบข้าง
ชายที่ยืนอยู่ท่ามกลางมารที่เป็นและตายยังคงร่ายรำไม่หยุด
ราวกับไม่มีสิ่งใดสามารถส่งผลกับการร่ายรำได้
พวกมารเพียงรู้สึกถึงไอเย็นเยือกที่ยากจะอธิบายจากส้นเท้าลามไปถึงแผ่นหลัง ทำให้ลำคอไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้
ฉากตรงหน้าเกินกว่าจะจัดอยู่ในหมวดแปลกประหลาด มันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและน่าหวาดกลัวที่ไม่รู้จัก
ทั่วทั้งปราสาทเงียบ
ทันใดนั้น เสียงผู้หญิงแหบแห้งที่แทบจะจางหายไปในความว่างเปล่าดังขึ้น
“เจ้าพวกวิญญาณที่แสนน่าเบื่อไม่สมควรที่จะดูการร่ายรำนี้หรอก”
ประโยคนี้คล้ายกับเป็นสัญญาณบางอย่าง
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่ส่งเสียงร้องดังลั่นออกมา
“วิ่ง”
พวกมารแยกตัวก่อนวิ่งหนีออกจากปราสาทด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้
พวกมันวิ่งและก็วิ่งอย่างสิ้นหวัง สุดท้ายก็ออกจากปราสาทเพื่อไปยังสถานที่อื่นแทน
พวกมันค่อยๆ ลดฝีเท้าลง ยินดีกับชีวิตที่ยังเหลือรอด จากนั้นหยุดนิ่งเพื่อสงบสติที่ยังไม่เข้าร่องเข้ารอยเล็กน้อย
…อะไรกัน
พวกมันพลันพบเจอสถานการณ์แปลกประหลาด
ร่างกายของพวกมันโปร่งแสง
ไม่นานนักก่อนที่พวกมารจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ใช่แล้ว พวกมันคุ้นเคยกับฉากนี้
วิญญาณคือสกุลเงินสากลของพวกมัน ตอนนี้ พวกมันล้วนกลายเป็นร่างวิญญาณแล้ว
ร่างของพวกมันยังอยู่ในปราสาท
พวกมันตายไปแล้ว
อีกด้าน
กู่ฉิงซานยังทำการร่ายรำระบำสังเวยชีพเพื่อยับยั้งพลังของมังกรมารที่เดือดพล่านในร่างกาย
พวกมารรอบข้างกลายเป็นรูปปั้นหิน ไม่ทำตามเขาเพื่อร่ายรำอีกต่อไป
โครงกระดูกของราชามารยังคุกเข่ากับพื้นขณะสารภาพและสวดภาวนาไม่หยุด
มีเพียงเขา
ที่ร่ายรำเพียงลำพัง
…………………………………………..