ตอนที่ 178 แชมป์เปียนส์
เหลียวฮังกล่าวอย่างจริงจัง “ แต่ฉันคงต้องบอกแกก่อนนะ ว่าไอ้การเคลื่อนย้ายโดยการจัมป์ขนาดย่อยน่ะ กระบวนการของมันค่อนข้างซับซ้อน แถมนี่แกยังต้องการยัดมันลงไปในสร้อยข้อมืออีก แบบนี้คงต้องใช้เวลาทำสักพักเลยล่ะ”
“คุณแค่พยายามในส่วนของคุณให้ดีที่สุดก็พอแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “การจัมป์เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดในเกม เพราะของรางวัลทั้งหมดจะถูกส่งผ่านทางมัน ดังนั้น ถึงจะใช้เวลานานไปบ้าง แต่ผมอยากจะให้คุณใช้ความพยายามอย่างเต็มที่”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง แต่ฉันมีข้อแม้ ถ้าเกมสร้างเสร็จแล้ว แกจะต้องมอบตำแหน่งดีๆ ยศสูงๆ ให้แก่ฉันด้วยล่ะ”
“นั่นไม่เป็นปัญหา” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาหันไปมองเย่เฟย์หยู
เย่เฟย์หยูเงียบลงไปช่วงหนึ่งแล้ว เขากำลังคิดไตร่ตรองจนกระทั่งสัมผัสได้ว่าถูกจ้องมองจึงหลุดจากภวังค์ และกล่าว “เนื่องจากระบบเกมก็คิดกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างงั้นฉันว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่น่าจะสำคัญเหมือนกันนะ แต่ฉันคิดว่าพวกนายอาจจะไม่ทันได้เอะใจถึงมัน”
กู่ฉิงซานกับเหลียวฮังมองไปยังเขา
เย่เฟย์หยูที่ถูกจ้องมองโดยสองคู่สายตาเริ่มรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย เขากระแอมไอ และกล่าว “พอดีว่าก่อนที่วันสิ้นโลกจะมาถึง ฉันเคยเป็นนักเล่นเกมแบบกึ่งๆ มืออาชีพมาก่อนน่ะ พวกเกมที่เกี่ยวข้องกับการสวมใส่เครื่องเล่นบนหัวแล้วส่งผ่านข้อมูลผ่านทางคลื่นสมองนั่นแหละ”
“ก็ดีนี่ ถ้าอย่างงั้นความคิดเห็นของนายคงจะเป็นประโยชน์ไม่น้อยเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“ฉันคิดว่าระบบหรืออะไรก็ตามที่เรียกกันว่าเกมน่ะ จุดหนึ่งที่สำคัญมากๆ เลยของมันก็คือ ‘ชื่อเกม” เย่เฟย์หยูกล่าว
“ชื่อเกมเนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานกับเหลียวฮังหันมองหน้ากันอย่างโง่งม
“ใช่แล้ว” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง “เกมน่ะ ถ้าชื่อมันฟังดูไม่ดี ความประทับใจแรกพบก็จะลดทอนไปหลายส่วน และมันจะไม่กระตุ้นหรือน่าสนใจสำหรับหลายๆ คน”
“ตัวอย่างเช่น ช่วงก่อนหน้านี้ที่จะเกิดวันสิ้นโลก มีเกมๆ หนึ่งพึ่งเปิดตัวไปโดยใช้ชื่อว่า ‘ทรราชท้องถิ่นออนไลน์’ ซึ่งมันเป็นเกมแนวๆ สร้างเมืองเหมือนกันกับเกมของบริษัทคู่แข่งที่พึ่งเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ได้ไม่นานที่ชื่อว่า ‘จัดสรรเมืองออนไลน์’”
“และผลที่ตามมาก็คือ เมื่อทรราชท้องถิ่นเปิดตัว จำนวนของผู้เล่นที่เข้าร่วมเกมกลับมีมากกว่าอีกเกมถึงห้าเท่า”
ขณะที่เขากำลังอธิบาย อีกสามคนก็พยักหน้ารับฟัง
“นายกำลังจะบอกว่า” ซางหยิงฮ่าวกล่าว “ไอ้เจ้าเกมที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์อะไรนั่น ก็เปรียบเหมือนเป็นคู่แข่งฝ่ายตรงข้ามของเรา อย่างน้อยตั้งแต่แรกเริ่ม พวกเราก็ควรที่จะใช้ชื่อเท่ๆ แล้วให้ความรู้สึกแข็งแกร่ง น่าดึงดูดยิ่งกว่าอีกฝ่ายงั้นสินะ”
“งั้นพวกเราลองมาช่วยกันคิดหน่อยสิ” กู่ฉิงซานตัดสินใจ
ทั้งสี่คนจมลงสู่ห้วงความคิด
“เกม ‘มาช่วยกันปกป้องสาวน้อยผู้งดงามในวันสิ้นโลก’ ชื่อนี้เป็นไง?” เหลียวฮังกล่าว
“ชื่อโคตรอุบาทว์อย่างกับอึหมา” เย่เฟย์หยูเบ้ปาก “แบบนั้นคงไม่มีผู้หญิงคนไหนเลือกที่จะเล่นเกมนี้แน่นอน”
“ถ้าเอาเป็นชื่อเท่ๆ ฉันคิดว่าชื่อเกม ‘ระบบนักล่า ฆ่าสังหารผู้เลือดเย็น’ เป็นไง” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยแนะ
“นั่นก็ชื่ออย่างกับอึหมาไม่ต่างกัน ชื่อนี้มันจะทำให้ผู้คนจำนวนมากหวาดกลัว และรู้สึกไม่กล้าที่จะเล่น” เย่เฟย์หยูส่ายหัวรัวๆ
“ด่ากันแรงขนาดนี้ งั้นไหนนายลองบอกมาซักชื่อซิ” ซางหยิงฮ่าวหักคอจนเกิดเสียงแกร๊กๆ เอ่ยถามอีกฝ่าย
“เกม ‘สังหารพระเจ้า’” เย่เฟย์หยูชูกำปั้น เอ่ยปากด้วยความตื่นเต้น
“ชื่ออย่างกับอึหมา!” ซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังเอ่ยพร้อมกัน
กู่ฉิงซานฟังมานานก็เริ่มปวดหัว สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ สองมือประกบเข้าหากันจนเกิดเสียง “งั้นเรียกมันว่า ‘สตาร์กาเดี้ยนผู้พิทักษ์ดวงดาว’ เป็นไง”
“ชื่อนี้ก็คงไม่ต่างกับพวกเรามากเท่าไหร่นักหรอก” ซางหยิงฮ่าวกล่าวเย้ย
“แต่มันเป็นชื่อที่สื่อความหมายได้ดีนะ ประมาณว่าทุกคนมีพลังที่จะพัฒนาความสามารถของตนเองได้อย่างไม่รู้จบ และในที่สุดก็จะกลายมาเป็นผู้พิทักษ์โลกใบนี้ หยุดยั้งวันสิ้นโลก” กู่ฉิงซานกล่าว
“ถ้านายคิดว่าชื่อนี้โอเค งั้นพวกเราก็เหลืออีกแค่ปัญหาเดียว” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“ปัญหาอะไรงั้นเหรอ?”
“ปัญหาที่ว่าพวกเราเริ่มลงมือสายเกินไปเล็กน้อยอย่างไรล่ะ” ซางหยิ่งกล่าวต่อ “นายลองหลับตาดูสิ เกมแห่งชีวิตนิรันดร์รอบแรกได้จบลงแล้ว”
ขณะนั้นเอง น้ำเสียงชราภาพก็กังวานขึ้นในจิตใจของทุกผู้คน
“ท่านผู้ชมที่กำลังเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ทั้งหลาย เกมแห่งชีวิตนิรันดร์รอบแรกก็จบลงแล้ว”
หลายคนหลับตาลงทันที เพื่อเข้าไปดูภายในเกมแห่งชีวิตนิรันดร์
เห็นแค่เพียงตัวตนที่เหลือเพียงหนึ่งเดียว ยืนอยู่ท่ามกลางซากศพที่สภาพไม่ครบสามสิบสอง นอนเรียงรายกระจายไปทั่วทั้งสังเวียน
ผู้ที่ยืนหยัดเป็นคนสุดท้าย คือชายแก่ผมขาว
แขนข้างหนึ่งของเขาหัก ตาข้างหนึ่งบอด และบริเวณแผ่นหลังถูกกริชเล่มหนึ่งปักลึกลงไปจนเกือบมีดด้าม
เลือดยังคงไหลซึมออกมาจากแผ่นหลังของชายแก่อย่างต่อเนื่อง หยดลงบนพื้นส่งเสียงแหมะๆ ไม่หยุด
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานเขาก็คงจะตกตายลงจากการเสียเลือด
ทว่าในขณะนี้ ทั่วทั้งสังเวียน หลงเหลือเขาเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงมีชีวิตอยู่
เสียงชราภาพเอ่ยสรรเสริญ “แชมป์เปียนส์ของเราถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว! และในฐานะแชมป์เปียนส์ พวกเราจะหยิบยื่นน้ำใจเล็กน้อยๆ โดยการรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดให้แก่เขา”
ครืน…ปรากฏโลงศพสีดำผุดขึ้นมาจากใต้พื้นของสังเวียน
“เจ้าจงเข้าไปในโลงนั่น แล้วอาการบาดเจ็บของเจ้าจะถูกฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว แลจักหายดีในไม่ช้า” เสียงชรากล่าว
มืออาชีพคนนั้นลังเลเล็กน้อย ทว่าสุดท้ายก็เลือกที่จะเดินเข้าไปโลงศพ
เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วในตอนนี้
ฝาโลงค่อยๆ ปิดลง จากนั้นตัวโลงก็ค่อยๆ หมุนวนอย่างช้าๆ
“ท่ามกลางชีวิตและความตาย มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะได้รับเกียรติยศแห่งชีวิตได้” เสียงชราภาพเอ่ยเป็นท่วงทำนอง
และหลังจากนั้นไม่นาน ฝาโลงก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
พร้อมกับร่างของมืออาชีพคนนั้นกระโจนออกมา
เขาก้มหน้าลง ยกแขนข้างที่หักขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นมา และสำรวจรอบตัวเขา แต่พบว่ากลับไม่หลงเหลือบาดแผลใดๆ เลย
แผลฉกรรจ์บนแผ่นหลังของเขาหายไป แม้กระทั่งเสื้อผ้าตัวเดิมที่ขาดวิ่น ก็ยังกลับคืนมาดังเดิม
เขายืนนิ่งอยู่กับที่ ทั้งคนทั้งร่างเต็มไปด้วยพลัง มีชีวิตชีวา อยู่ในสภาพมั่นคงสมบูรณ์แบบ
“ราชาโอวหยางเฟยหยู เจ้าฆ่าสังหารผู้ท้าทายไปแล้วทั้งหมดหกพันเจ็ดร้อยสามสิบแปดคน และเจ้าจะได้รับรางวัลจากเกมแห่งชีวิตนิรันดร์นี้!”
หีบสมบัติใบหนึ่ง ค่อยๆ ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า
เย่เฟย์หยูที่กำลังหลับตา เอ่ยกล่าวขึ้นทันใด “นายเห็นนั่นไหม แม้กระทั่งช่วงเวลาที่รางวัลใหญ่ปรากฏตัว ก็ยังดูหรูหรา น่าจดจำ”
“แต่นั่นมันเป็นเพียงรางวัลสำหรับคนเดียว ทว่าพวกเราน่ะจะมอบรางวัลให้กับมนุษย์ทุกผู้คน นอกจากนี้ มันก็ไม่ได้ดูหรูหราอะไรเลย ก็แค่กล่องโง่ๆ ที่ตกลงมาพร้อมกับการใช้มุมมองของแสงและเงาเท่านั้นเอง” เหลียวฮังกล่าว
“แต่มันดูยิ่งใหญ่มากเลยนะ เพราะผู้คนทั้งโลกเพียงหลับตาลง ก็สามารถมองเห็นมันได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“ถ้าอย่างงั้น สิ่งที่ฉันจะทำก็คือ ต่อให้ทุกคนยังลืมตาอยู่ ก็ยังสามารถเฝ้ามองเกมของฉันได้” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างนุ่มนวล
ขณะนั้นเอง บนสังเวียนก็ปรากฏเสียงชราภาพดังขึ้นอีกครั้ง “จงเปิดหีบสมบัติดูสิโอวหยางเฟยหยู จงเปิดมันเพื่อรับรางวัลของเจ้า”
มืออาชีพยื่นมือออกไป และเปิดฝากล่องสมบัติอย่างระมัดระวัง
บังเกิดประกายแสงสดใสระยิบระยับขึ้นจากภายในหีบสมบัติ
รังสีแสงได้กระจายตัวออกไป ก่อนจะเผยให้เห็นถึงคทาสีแดงเพลิงขนาดยาวเท่าครึ่งตัวมนุษย์ ลอยอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบๆ
คทาเล่มนี้ ให้ความรู้สึกลึกลับอันยากจะพรรณนา ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองไปยังมัน
ส่วนบนของคทา ถูกแกะสลักไว้ด้วยกะโหลกมารที่กำลังอ้ากว้างอยู่
ข้างๆคทา ปรากฏซึ่งเม็ดยาสีดำเข้ม กำลังลอยนิ่งอยู่เงียบๆ
เสียงชราภาพดังกึกก้อง “ขอแสดงความยินดีกับ โอวหยางเฟยหยู รางวัลที่เจ้าได้รับก็คือ เม็ดยาชีวิตนิรันดร์ และคทาราชันแห่งภูตเพลิงทมิฬ”
“สำหรับชีวิตอันเป็นนิรันดร์ เจ้าจะได้รับมันหลังจากกินเม็ดยานั่นเข้าไป กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอันทรงเกียรติ ที่ไม่มีวันตาย”
“สำหรับคทามนตรา” เสียงชรากล่าวต่อ “มันคือคทามนตราของราชันแห่งภูตเพลิงทมิฬ ซึ่งเป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดในโลกเพลิงทมิฬ”
“และสำหรับมืออาชีพผู้ใช้ธาตุไฟ หากครอบครองคทาราชันแห่งภูตเพลิงทมิฬไว้กับตัวแล้วล่ะก็ มันจะสามารถช่วยหนุนเสริมความแข็งแกร่งของผู้ใช้ได้ โดยจะเพิ่มพลังโจมตีธาตุไฟของเทคนิคมนตราให้รุนแรงขึ้นกว่าเดิมถึง สองร้อยเปอร์เซ็นต์!”
สีหน้าของโอวหยางเฟยหยูตกตะลึง
นั่นเพราะรางวัลนี้ราวกับเกิดมาเพื่อเขา เขาที่เป็นมืออาชีพที่สามารถปลดผนึกพลังวิญญาณธาตุไฟจากธาตุทั้งห้าได้
อย่างไรก็ตาม สายตาของเขามิได้มองไปยังคทามนตรา ทว่ากลับจดจ้องอยู่กับเม็ดยาชีวิตนิรันดร์สีทะมึนไม่วางตา
“ฉันจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปจริงๆ น่ะเหรอ?” เขาเอ่ยถามอย่างลังเล
“ย่อมไม่ผิดพลาด หลังจากที่เจ้าไปกินมันลงไป เจ้าก็จะได้รับชีวิตอันเป็นนิรันดร์!” เสียงชราภาพเอ่ยขึงขัง
โอวหยางเฟยหยูกัดฟันแน่ ก่อนจะอ้าปาก โยนเม็ดยาชีวิตนิรันดร์ลงไป
ณ ตอนนี้ มนุษยชาติทั้งหมดทั้งมวลในโลกใบนี้ ได้ละซึ่งทุกความสนใจและการกระทำ ทุกสายตาหลับลง เฝ้ามองเหตุการณ์เบื้องหน้าที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ
“ฉันรู้สึกแบบว่า…” เขาเอ่ยงึมงำ
อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องเอ่ยอธิบายใดๆ เนื่องเพราะท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน ผมขาวของเขาบัดนี้ค่อยๆ กลับกลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว
ริ้วรอยยับย่นบนใบหน้าของเขาก็มลายหายไป จนเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่า
ร่างกายที่โค้งงอค่อยๆ เหยียดตรง ขึ้นทีละน้อย
การเหยียดตรงขึ้นนี้ โดยทั่วไปแล้วผู้คนธรรมดาจะไม่อาจมองเห็นได้ ทว่าสำหรับเหล่ามืออาชีพ พวกเขาถึงขั้นเบิกตากว้าง
นั่นเพราะนี่คือการเปลี่ยนแปลงของความแข็งแกร่งและความยาวของกระดูก บ่งบอกให้เห็นว่าชายแก่ได้หลุดพ้นจากวัยชราแล้ว
และไม่กี่ลมหายใจต่อมา โอวหยางเฟยหยูก็ได้แปรเปลี่ยนจากคนแก่ กลับกลายเป็นชายหนุ่มที่เปล่งประกายสะพรั่งในพริบตา
พร้อมกับแผ่นกระจกเงาที่ปรากฏขึ้นฝั่งตรงข้ามเขาในช่วงเวลาพอเหมาะพอเจาะ
โอวหยางเฟยหยูมองไปยังคนที่สะท้อนอยู่ภายในกระจก ก่อนจะเอื้อมมือขึ้นมาแตะลงบนใบหน้าตน สักพักจึงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นออกมา
“ฮ่าๆๆ มันเป็นความจริง ในที่สุด! ในที่สุดฉันก็ทำได้! ฉันได้ชีวิตนิรันดร์มาครอบครองแล้ว!”
เขาเอ่ยแต่คำนี้ซ้ำๆ ไม่หยุด กระโดดขึ้นไปมากลางอากาศ หมุนตัวไปมา เริงระบำและร้องเพลง
ทว่ากลับไม่มีผู้ใดหัวเราะเยาะกับการกระทำอันบ้าบอนี้ของเขา
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความปีติยินดีในหัวใจของเขา
เมื่อต้องเผชิญกับชีวิตนิรันดร์ ใครบ้างเล่าที่จะไม่แสดงท่าทีคลุ้มคลั่งเช่นนี้
แม้ว่าเกมนี้มันจะแปลกๆ ไปบ้าง ผู้คนทั้งหมดจะต้องฆ่าฟันกัน ทว่าในตอนนี้ โอวหยางเฟยหยูไม่คิดเก็บเรื่องพวกนี้มาใส่หัวอีกต่อไป
โลกได้มาถึงจุดสิ้นสุด มนุษยชาติต้องเผชิญหน้ากับอสูรทะเลที่บ้าคลั่ง แถมยังมีผีดิบกินคนและผีดิบนักฆ่าที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน มันเป็นสถานการณ์ที่สิ้นหวังโดยแท้จริง
ทว่าตอนนี้ พวกเขากลับมีโอกาสที่จะไขว่คว้าชีวิตอันเป็นนิรันดร์ได้
ณ ตอนนี้ เปลวไฟในจิตใจของทุกผู้คนได้ถูกจุดประกายขึ้นแล้ว
ชีวิตนิรันดร์!
มันคือชีวิตนิรันดร์จริงๆ ด้วย!
เหล่ามืออาชีพที่ทรงพลังมากมายเริ่มรู้สึกเสียใจ
บ้าจริง ทำไมในตอนนั้นตัวเขาถึงไม่เลือกตอบว่า ‘ตกลง’ กันนะ!
ถ้าหากตัวเขาไปอยู่ในสังเวียนรอบแรกนี้แล้วล่ะก็ ด้วยความแข็งแกร่งของตน ย่อมที่จะสามารถล้มโอวหยางเฟยหยูลงได้อย่างแน่นอน
แล้วสิทธิ์ในการได้ครอบครองชีวิตนิรันดร์ก็จะเป็นของตัวเขาเอง
ในขณะนี้ ทั่วทั้งดวงดาว ไม่อาจบอกกล่าวได้เลยว่าเลือดลมของผู้คนพลุ่งพล่านขนาดไหน
โอวหยางเฟยหยูที่ระบายความอัดอั้นตันใจมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็พึงระลึกได้ว่าเขายังหลงเหลือรางวัลที่ได้รับอีกหนึ่ง
เขาก้าวเดินไปยังเบื้องหน้า คว้าคทาสีแดงมาไว้ในมือ
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง โอวหยางเฟยหยูก็วาดคทาออกไป ปลดปล่อยเทคนิคมนตราตามพลังธาตุของเขาออกมา
นี่เป็นเพียงเทคนิคลูกบอลไฟที่ง่ายที่สุด ซึ่งสามารถปลดปล่อยลูกไฟขนาดเท่าชามข้าวโจมตีศัตรูได้
มืออาชีพทุกคนที่สามารถปลดผนึกธาตุไฟได้ ไม่ว่าใครก็สามารถใช้งานมันได้ทั้งนั้น
ทว่าวิสัยทัศน์เบื้องหน้าของโอวหยางเฟยหยู กลับปรากฏให้เห็นเป็นก้อนเปลวเพลิงที่แลคล้ายบั้งไฟที่มีขนาดเท่าตัวคน หวีดเสียดผ่านสายลมคำรามคำรณไปยังทิศทางตรงหน้า
เมื่อศพที่นอนเรียงรายตามเส้นทางถูกกลืนหายเข้าไป พอลูกไฟผ่านพ้น มันก็หลงเหลือทิ้งไว้เพียงเพียงสีดำคล้ำเท่านั้น
ลูกไฟยักษ์ยังคงลอยต่อไป ก่อนจะระเบิดลงในจุดหนึ่งของสังเวียน แปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นหลุมลึก
มืออาชีพทั่วทั้งโลกที่กำลังเฝ้าดูฉากนี้อยู่พลันเงียบงันโดยพร้อมเพรียง
“ฮ่าๆๆ คทาที่ดี!”
โอวหยางเฟยหยูเมื่อได้เห็นถึงพลานุภาพของมัน เขาก็ตะโกนออกมาอย่างมีความสุข
เสียงชราภาพกล่าว “รางวัลได้ถูกส่งมอบออกไปแล้ว และโอวหยางเฟยหยูจะถูกส่งตัวกลับไปในโลกจริง ทุกท่านที่กำลังรับชม โปรดปรบมือต้อนรับให้แก่ตัวตนเยี่ยงวีรบุรุษเช่นเขาด้วย!”
สิ้นคำกล่าว ร่างของโอวหยางเฟยหยูก็หายวับไปจากสังเวียน
ทั่วทั้งสังเวียนยามนี้ หลงเหลืออยู่แค่เพียงซากศพมนุษย์นับหมื่นที่นอนเรียงรายแน่นิ่งอยู่ตามพื้นอย่างเงียบๆ
“เกมแห่งนิรันดร์ในรอบต่อไปจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ ในช่วงเวลาเดียวกัน”
“ต้องการมีชีวิตนิรันดร์กันหรือไม่เล่า? หากใช่ ก็จงเร่งมามีส่วนร่วมสิ ทางเราคาดหวังว่าจะมีผู้เข้าร่วมเล่นมากขึ้นจากในครั้งก่อนนะ”
“แล้วพบกันใหม่ในวันพรุ่งนี้”
สิ้นเสียงชราภาพ วิสัยทัศน์ในสังเวียนก็มืดดับลง และภาพของมันก็หายไปจากสายตาของมนุษย์ทุกผู้คน
หลังจากที่มนุษย์มิอาจเฝ้ามองเห็นถึงมันได้แล้วนั่นเอง
ท่ามกลางสังเวียนที่เงียบสงัด
พลันปรากฏเสียงขบเคี้ยวที่แม้จะเพียงแค่ได้ยินก็ทำให้ขนทั่วทั้งร่างต้องลุกชูชัน
ตามมาด้วยเสียงร่ำไห้คร่ำครวญและเสียงกรีดร้องมากมายนับไม่ถ้วน
เสียงดังเหล่านี้โหวกเหวกปะปนกันไป หากมีผู้ใดได้รับฟังจะให้ความรู้สึกราวกับตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางท้องถนนที่มีผู้คนจอแจ
อย่างไรก็ตาม เสียงเคี้ยวหงับๆ ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง และเสียงจอแจทั้งหมดก็ค่อยๆ แผ่วเบาลง จนสุดท้ายหลงเหลือเพียงเสียงเล็กๆ และไม่อาจได้ยินได้ฟังมันอีกต่อไป
........................................