ตอนที่ 94 ความใจป้ำเป็นต้นเหตุของความร่ำรวย
แต่สิ่งที่ซางหยิงฮ่าวไม่รู้ก็คือ กู่ฉิงซานนั้นมิใช่แค่เพียงปล่อยจิตสังหารใส่ฝ่ายตรงข้าม แต่ด้วยหัวใจที่อยากจะขอโทษ และเห็นว่าเธอยังคงหวาดกลัว แถมเขาก็เกรงว่าจะเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้นกับอีกฝ่าย จึงใช้ออกด้วยเทคนิคหล่อเลี้ยงพลังวิญญาณจากสุญญากาศ ช่วยปลอบประโลม มอบความอบอุ่นแก่จิตวิญญาณเทวะและเส้นชีพจรลมปราณของเธอ
ทว่าสิ่งที่แม้กระทั่งกู่ฉิงซานเองก็ไม่ทราบเช่นกันก็คือ ฉินเซี่ยวโหลวคิดค้นเทคนิคนี้ขึ้นมาเพื่อใช้กับผู้ฝึกยุทธหญิงโดยเฉพาะ เขามักจะใช้มันเพื่อช่วยสร้างความประทับใจครั้งแรกแก่พวกเธอ
มันเป็นเทคนิคมนตราที่ไร้สรรพเสียง ขณะเดียวกันมันก็เป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะไม่ถูกขัดขวางโดยสมบัติมนตราหรือม่านคุ้มกันใดๆ สามารถซึมซับเข้าสู่ร่างของผู้ฝึกยุทธหญิงได้โดยตรง ส่งผลลัพธ์ให้เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงได้รับประโยชน์ทั้งทางกายใจ และก่อเกิดความรู้สึกประทับใจขึ้นจากจิตใต้สำนึก
ยิ่งประกอบไปด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาจนเกือบที่จะเรียกได้ว่างดงามของฉินเซี่ยวโหลวที่คอยใช้เทคนิคนี้และยืนหยัดข้างกายผู้ฝึกยุทธหญิง ก็ยิ่งทำให้พวกเธอราวกับตกอยู่ในบรรยากาศของห้วงฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่น อารมณ์ผันแปรไปเป็นสดชื่นสดใส
โดยทั่วไป ยามเมื่อพบเจอกับฉินเซี่ยวโหลวครั้งแรก เหล่าผู้ฝึกยุทธหญิงต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า บักห่านี่มันหลงตัวเอง หากแต่เมื่อเขาใช้ออกเทคนิคมนตราดังกล่าว หญิงทั้งหมดก็มีท่าทีเปลี่ยนไป
เมื่อรู้สึกได้ว่าห้วงอารมณ์ของตนเปลี่ยนไป พวกเธอก็ทำการตรวจสอบสมบัติมนตราหรือสภาวะร่างกายของตน แต่ทว่าก็มิพบความผิดปกติใดๆ
เมื่อค้นพบว่าตัวเองไม่ได้ถูกโจมตี ผู้ฝึกยุทธหญิงก็ผ่อนคลายลง เบนสายตาจับจ้องไปยังหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาและสุภาพอ่อนโยนผู้นี้อีกครั้ง
‘เอ๊ะ? เกิดอะไรผิดปกติขึ้นกับข้า?’
‘เหตุใดข้าจึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าเขา?’
ในขณะนั้นเอง ฉินเซี่ยวโหลวก็จะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มอันเจิดจรัสดั่งแสงอาทิตย์ “ศิษย์พี่หญิงหรือศิษย์น้องหญิง ข้าใคร่จะรู้ถึงนามของเจ้านัก ว่ามันจะงดงามอ่อนหวานดั่งเช่นรูปโฉมบนใบหน้าเจ้าหรือไม่”
เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทหญิงที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์สุขสมก็มักจะไม่ปฏิเสธที่จะพูดคุยกับเขา
ดังนั้นด้วยเทคนิคมนตราดังกล่าว ที่ช่วยปลอบประโลมให้ความอบอุ่น บำรุงปราณและเลือดลมเทคนิคนี้ จึงมักจะถูกใช้เกี้ยวหญิงโดยพ่อมดชั่วร้ายอย่างฉินเซี่ยวโหลว
นั่นจึงเป็นที่มาของการที่ห่านขาวไม่อนุญาตให้เขาสอนเทคนิคดังกล่าวนี้ให้แก่กู่ฉิงซาน เพราะเกรงว่ามันจะเป็นการสอนสั่งสิ่งไม่ดีให้แก่เขา
ส่วนสำหรับตัวฉินเซี่ยวโหลว เขาคิดแค่ว่าเทคนิคเต๋าชนิดนี้ช่างเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบยิ่งนักทว่าแม้กระทั่งตัวเขาเองก็คงจะไม่คาดคิดเช่นกัน ว่ากู่ฉิงซานจะเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็วและใช้มันออกไปอย่างกะทันหัน
ในช่วงเวลาสั้นๆ ดู่กู้ฉงที่สั่นกลัวโดยจิตสังหารของกู่ฉิงซาน ภายใต้การปลอบประโลมจิตวิญญาณด้วยกระแสอันอบอุ่น ส่งผลให้ทั้งร่างกายและจิตใจเต้นครึกโครมถึงขีดสุด ป้อมปราการอันแข็งแกร่งในหัวใจก็พลันปรากฏร่องรอยแตกร้าว สุดท้ายก็เปิดออก
กระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นเพียงเรื่องบังเอิญโดยสิ้นเชิง ตัวกู่ฉิงซานเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงมันเช่นกัน
ซางหยิงฮ่าวไม่ได้เข้าใจถึงต้นตอของเหตุดังกล่าว ดังนั้นเขาจึงเข้าใจบางส่วนผิดไป
และเขาก็เริ่มกล่าวแนะนำตนเอง
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับมิสดู่กู้ ผู้งดงาม ส่วนกระผมมีชื่อว่าซางหยิงฮ่าว”
“ยินดีที่ได้รู้จัก แล้วเขาล่ะ? ฉันอยากจะรู้ว่าเขามีชื่อเรียกว่าอะไร?”
คู่ดวงตาของดู่กู้ฉงเปล่งประกาย มันเลื่อนตกลงไปบนร่างของกู่ฉิงซานที่ยืนหยัดอยู่บนแพใจกลางทะเลสาบ จ้องค้างอย่างไม่วางตา
ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจและรับรู้ด้วยตนเองว่าเขาคงไม่มีโอกาสอย่างแน่นอนแล้ว
“เขาน่ะเหรอ เขาก็คือหุุ้นส่วนของผม เรียกว่ากู่ฉิงซาน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
ดู่กู้ฉงประสานสองมือ วางคางแหลมเข้ารูปลงบนมัน ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสนใจ “แล้วพวกคุณทำธุรกิจอะไรอยู่ล่ะ?”
“ฆ่าสังหาร” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างจงใจ
ดู่กู้ฉงจ้องอีกฝ่ายอย่างรอบคอบจึงกล่าว “ไม่น่าแปลกใจเลย”
ไม่น่าแปลกใจเลยจริงๆ ที่เมื่อครู่นี้เขาถึงได้สามารถทำให้เธอรู้สึกหวาดหวั่นได้ถึงขนาดนี้
“ฉันเห็นว่าเมื่อครู่คุณน่าจะชนะนี่?” เธอกล่าว
ซางหยิงฮ่าวเหยียดขาข้างหนึ่งและเอ่ยกล่าว “คาสิโนไม่มีทางยอมรับชัยชนะโดยวิธีผิดธรรมชาติแบบนั้นได้หรอก แล้วยิ่งพวกเขามีบรรพชนนักสู้คอยหนุนอยู่แล้วด้วยก็ยิ่งไปกันใหญ่ ”
“ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะลงไปจัดการด้วยตัวเอง?” ดู่กู้ฉงกล่าว
ซางหยิงฮ่าว “เจ้าหมอนั่นน่ะแข็งแกร่งก็จริง แต่หากคิดเปรียบเทียบกับบรรพชนนักสู้ก็เกรงว่ายังคงไม่สมควร การเลือกที่จะลงไปต่อสู้กับจระเข้ยักษ์กลายพันธุ์หลายตัวย่อมยังดีซะกว่า”
“นั่นก็จริงนะ” ดู่กู้ฉงเห็นด้วย
หากไม่นับรวมกับทางกองทัพ บรรพชนนักสู้แต่ละคนล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ย่ำไปที่ใด ก็สามารถสั่นสะเทือนได้ทั่วทุกสารทิศ
หวูเต๋านั้นจะแตกต่างจากพวกมืออาชีพประเภทอื่นๆ ทุกครั้งที่พวกเขาก้าวข้ามขอบเขตใหญ่ ความสามารถทางการต่อสู้ทางกายภาพจะพุ่งสูงขึ้นก้าวกระโดดกว่าเดิมถึงสองเท่า และนั่นทำให้ไม่มีใครกล้าล่วงเกินเขาโดยง่าย
บรรพชนนักสู้เป็นหนึ่งในตัวอย่างของคนที่กล่าวได้ว่า มีพลังมากพอที่จะฆ่าสังหารตัวตนดั่งเช่นพวกเราเมื่อไหร่ก็ได้
ดังนั้น ประการแรกกู่ฉิงซานจึงหวั่นเกรงที่จะยั่วยุหรือสร้างความรำคาญใจให้แก่อีกฝ่าย กลัวว่าหากยังดื้อรั้น เขาไม่คิดส่งมอบซากชิ้นส่วนมอนสเตอร์เอกภพให้ ประการที่สอง ลืมเรื่องการขอส่วนแบ่งชิ้นเนื้อจากบรรพชนนักสู้ไปได้เลย กู่ฉิงซานจะต้องกระทำทุกกระบวนการให้สอดคล้องกับกฎข้อกำหนดของคาสิโนเท่านั้น
ในหัวใจของกู่ฉิงซานตระหนักดี ว่าตนต้องการแค่เพียงสิ่งเดียว นั่นคือสายพันธุ์เอกภพ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งอื่นใดสำคัญอีก
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกัน การเดิมพันของคนอื่นๆ ก็ได้รับการจดบันทึกเรียบร้อยแล้ว
บังเกิดคลื่นสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่องเบื้องล่างของทะเลสาบ
ร่างเงาทะมึนสามร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้นภายใต้ทะเลสาบ มันแหวกว่ายอย่างเอื่อยเฉื่อยและเกียจคร้าน
แต่ละเงาหากเปรียบเทียบกับตัวก่อนหน้า พวกมันล้วนมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าจระเข้ยุคก่อนประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก
ในระหว่างนั้นเอง กู่ฉิงซานก็สัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างเล็กน้อย ก่อนจะหยิบสมองควอนตัมขึ้นมาดู
“นี่คุณเชื่อมต่อมาในสมองควอนตัมทำไมกัน?” เขาเอ่ยอย่างสงสัย
“ก็ช่วงการใช้ชีวิตของมนุษย์น่ะช่างเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ฉันก็เลยอยากจะเฝ้าสังเกตมัน” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
จู่ๆ เทพธิดากงเจิ้งก็เชื่อมต่อกับสมองควอนตัมส่วนบุคคลของกู่ฉิงซานโดยอัตโนมัติโดยมิได้มีการแจ้งเตือนใดๆ ต่างฝ่ายต่างนิ่งงัน สบสายตาจ้องมองกันและกันอย่างเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง เสียงออกอากาศก็ดังขึ้น “เริ่มต้นจับเวลาได้!”
‘กริ๊งๆ’
นี่คือเสียงเรียกพวกสัตว์ยักษ์ เป็นการสื่อสารว่าอาหารของพวกแกกำลังจะตกถึงท้องแล้วนะ
สามเงาเบื้องล่างเริ่มตื่นตัวทันที พวกมันเริ่มหันมองไปรอบๆ ทะเลสาบ
ใครบางคนได้โยนชิ้นส่วนแขนที่ชุ่มไปด้วยเลือดลงไปยังผิวน้ำไม่ไกลจากแพ
สามเงาทะมึนเมื่อได้กลิ่นเลือด มันก็แหวกว่ายไปยังทิศทางดังกล่าวอย่างเร็วรี่
ไม่นาน พวกมันก็พบร่างของกู่ฉิงซานและแหวกว่ายขึ้นไป
กู่ฉิงซานไม่มีเวลามามัวคิดเกี่ยวกับเรื่องของเทพธิดากงเจิ้งอีกต่อไป เขาเก็บสมองควอนตัม ก่อนจะเหวี่ยงมือคว้าจับไปยังอากาศที่ว่างเปล่า
พร้อมกับดาบพิภพที่ปรากฏขึ้นในมือของเขา
กู่ฉิงซานขบคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกับตัวเอง “นับว่าโชคดีจริงๆ ด้วยขอบเขตความแข็งแกร่งของฉันในตอนนี้ จะทำให้ฉันสามารถฟาดฟันดาบพิภพได้ด้วยน้ำหนักสามหมื่นจิน! ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องใช้เทคนิคดาบอย่างเผยขุนเขา เพียงแค่เหวี่ยงมันออกก็จะเหมือนกับคำกล่าวที่ว่า”
นักล่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์ทะยานขึ้นเหนือผืนน้ำ บนหัวของมันเต็มไปด้วยดวงตากว่าสิบดวง และเฝ้าสังเกตกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิด ชนิดที่เรียกได้ว่าหัวชนฝา
บนชายฝั่ง บังเกิดเสียงเชียร์ดังสนั่นขึ้นจากฝูงชน
กู่ฉิงซานพลิกดาบ หันส่วนสันดาบออกไปยังเบื้องนอก เอนเอียงมันลงในแนวนอน ขนานเข้ากับตัวใบดาบ และเหวี่ยงมันเข้าใส่หัวของสัตว์ยักษ์
‘ฉึก!’
บังเกิดเสียงหนักทึบ และจระเข้ยักษ์ที่ถูกเหวี่ยงกระแทกก็ลอยม้วนขึ้นไปกลางอากาศ
ด้วยกล้ามเนื้อและไขมันในร่างกายของมันที่หนักราวกับขุนเขา ส่งผลให้ร่างของมันหงายลงกระแทกผืนน้ำอย่างรุนแรง ลอยกระเด้งกระดอนอย่างต่อเนื่องบนผิวน้ำ น้ำในทะเลสาบสาดกระจายไปทั่ว
ตัวมันบัดนี้แลดูคล้ายหินก้อนแบนๆ ที่มันจะถูกโยนเด็กๆ โยนเล่นออกไปเพื่อวัดฝีมือว่าใครจะสามารถทำให้มันกระเด้งบนผิวน้ำได้มากกว่ากัน!
“ความใจป้ำเป็นต้นเหตุของความร่ำรวย”
สิ้นคำกล่าวของกู่ฉิงซาน
ฝูงชนโดยรอบก็พลันเงียบงัน
‘ตูม!’
ร่างของจระเข้ยักษ์ไม่เด้งกระดอนอีกต่อไป ทว่าเสียงกระแทกกับผิวน้ำครั้งสุดท้ายของมันบังเกิดเสียงหนักทึบประหนึ่งฟ้าร้อง
อีกสองจระเข้นักล่าในยุคก่อนประวัติศาสตร์พลันชะงักงัน พวกมันเกิดความลังเลใจและไม่กล้าที่จะแหวกว่ายมายังเบื้องหน้า
ส่วนจระเข้ยักษ์ที่ถูกตี ร่างที่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวของมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากใต้ผิวน้ำอย่างช้าๆ และไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เลย
มันสลบไปแล้ว
กู่ฉิงซานพอใจเป็นอย่างมากกับสกิลติดตัวของดาบเล่มนี้
หากสัตว์ยักษ์ไม่ตาย คาสิโนก็จะไม่เกิดการสูญเสีย และนี่ก็จะไม่เป็นอุปสรรคต่อตัวเขาเองที่จะได้รับรางวัลมอนสเตอร์สายพันธุ์เอกภพ
“เห็นนั่นไหม? มิสดู่กู้ ดูเหมือนอารมณ์ของเขาจะยังไม่ค่อยดีนัก เขาคงไม่อยากจะคุยกับคุณหรอก ยังพอมีเวลาเหลือที่จะเดินกลับไปยังแท่นเวทีของคุณได้นะในตอนนี้” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“ไม่จำเป็น” ดู่กู้ฉงกล่าวด้วยรอยยิ้ม สายตายังคงจับจ้องมุ่งความสนใจไปยังกู่ฉิงซานไม่วางตา “ดาบของเขา หากเปรียบเทียบกับดาบธรรมดาๆ แล้วมันยาวกว่าปกติถึงหนึ่งนิ้ว คุณทราบถึงเหตุผลของมันหรือเปล่า?”
ซางหยิงฮ่าวตั้งใจมองไปยังมันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ในห้วงความคิดเกิดความประหลาดใจกับคำถามนี้ขึ้น
รายละเอียดเช่นนี้ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่ทันสังเกตเห็นมันเลย
เขากล่าวอย่างซื่อตรง “ขอโทษนะ เรื่องอาวุธของเขา ผมก็ไม่รู้รายละเอียดของมันได้อย่างชัดเจนเหมือนกัน”
ดู่กู้ฉงหรี่ตาแคบลง จ้องมองไปยังดาบในมือของกู่ฉิงซานและเอ่ยพึมพำ “ดาบนี้ช่างดูแตกต่างและมีเสน่ห์ ชั่วชีวิตของฉันก็พึ่งเคยเห็นมันแค่ครั้งนี้เท่านั้น”
หลังจากนั้นไม่นาน จระเข้นักล่าก่อนประวัติศาสตร์อีกตัวก็ทนต่อสิ่งยั่วยุอย่างอาหารอันโอชะไม่ไหว มันเลือกที่จะทะยานขึ้นไป แต่สุดท้ายมันก็ถูกกระแทกกระเด็นออกไปอยู่ดี
‘ปัก!’
แรงกระแทกของดาบนี้ ดูเหมือนจะหนักหน่วงยิ่งกว่าดาบเมื่อครู่อยู่หลายส่วน
จระเข้ยักษ์ราวกับว่าวที่สายป่านขาด ทั้งตัวทั้งร่างของมันถูกเป่าลอยขึ้นไปกลางอากาศ ก่อนจะม้วนไปกระแทกเข้ากับแท่นเวทีมุมทะเลสาบ และค่อยๆ ไถลร่วงกลับลงไปในผืนน้ำ
จระเข้ยักษ์ส่งเสียงครวญครางอย่างโศกสลด ก่อนที่มันจะมุดลงไปใต้ทะเลสาบ และไม่อาจเห็นได้แม้กระทั่งเงาของมันอีกต่อไป
ส่วนจระเข้ยักษ์ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ เมื่อเห็นสภาพน่าสังเวชของเพื่อนๆ ของตน มันก็ม้วนหัวลง และมุดหนีหายลงไปในน้ำมิอาจมองเห็นได้อีกเลย
ทั้งหมดเลือกที่จะหลบหนีไปซ่อนตัว
กู่ฉิงซานเก็บดาบ สองมือประสานที่กลางอก โค้งคำนับพอเป็นพิธี
“นั่นมันวิธีคำนับแบบโบราณ…สมัยนี้ไม่มีใครเขาทำแบบนั้นกันแล้วนี่นา”
ดู่กู้ฉงกล่าวอย่างเงียบๆ ในจิตใจบังเกิดความรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างเต็มไปด้วยความลึกลับ และบังเอิญว่าตัวเธอเองก็เป็นคนชอบเรื่องลึกลับเสียด้วยสิ!
………………………………….