webnovel

Murah and his wondrous bag (มุราห์กับระบบกระเป๋าพิศวง)

ไม่มีใครรู้และอาจทราบได้ว่า อะโกล ดินแดนของเหล่าสิ่งมีชีวิตเริ่มมี ‘สัตว์สร้าง’ เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกมันเป็นสัตว์ที่ผ่านการวิวัฒนาการจนลักษณะทางกายภาพแตกต่างออกไปจากเดิม พวกมันแข็งแกร่ง ทรงพลัง ว่องไวและก้าวขึ้นมาเป็นผู้ล่าสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในทันทีที่ปรากฎตัว แต่มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มนุษย์เริ่มก่อตั้งกลุ่ม 'นักล่า' พวกเขากำเนิดขึ้นเพื่อออกล่าสัตว์เหนือธรรมชาติเหล่านั้น บ้างก็เพื่อปกป้องมนุษย์ด้วยกัน บ้างก็เพื่อทรัพย์สินและชื่อเสียง หรือบางคนแค่เพียงต้องการความสุขเมื่อได้เห็นเลือดของสัตว์เหล่านั้นหลั่งริน "มุราห์" หนุ่มกำพร้าผู้เรียกขานตัวเองว่านักล่า ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นออกเดินทางโดยลำพัง เขาได้รับกระเป๋าหนังใบหนึ่งที่มีพลังลึกลับบางอย่างซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาและอะโกลไปในทางที่เขาคาดไม่ถึง

DoubleT_T · Fantasia
Classificações insuficientes
6 Chs

ตอนที่ 2

ทั้งสองเดินออกห่างจากร่มเงานั้นมาประมาณร้อยก้าว ดวงอาทิตย์ห้อยย้อยตกลงมาเคลื่อนไปตามทิศที่เขาทั้งสองกำลังมุ่งตรงไป เอลมิคที่แม้จะยังคงคาใจในคำตอบนั้นก็เดินตามพ่อของเขาอย่างว่าง่าย เขาไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรมากกว่านั้น ข้างในตัวเขากำลังสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นผสมปนเปกับความกังวลใจบางอย่าง บางอย่างที่เขาก็อธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้เช่นกัน อาจจะเป็นความกังวลหากต้องเจอกับสัตว์ป่า ความกังวลเมื่อเขาต้องจ้องลึกลงไปในดวงตาของมัน ความกังวลที่จะต้องยกคันธนูขึ้นมาสังหารชีวิตแรก ความกังวลว่าสิ่งที่เขาคิดอาจจะไม่เกิดขึ้นจริงสักอย่างเลยก็ได้…

แต่สิ่งที่เขาได้พบเจอมันเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้มาก สองพ่อลูกเดินทางมาจนเจอเข้ากับบางสิ่งที่มีรูปลักษณ์งดงามและอาจจะงดงามที่สุดในผืนป่านี้ก็เป็นไปได้ ขาทั้งสี่ที่เรียวยาวของมันวางจรดพื้นอย่างสง่า คอยรับน้ำหนักตัวที่ไม่ได้เล็กและใหญ่จนเกินไปได้อย่างพอดี ลวดลายบนตัวช่างสวยงาม จุดสีขาวเล็ก ๆ ถูกแต้มอยู่บนหนังสีน้ำตาลอ่อนอันเรียบลื่นนับร้อยจุด ใบหน้าที่ถูกปั้นแต่งมาอย่างพอดีกำลังก้มลงแทะเล็มหญ้าอย่างละเมียดละไม เขาที่ดูคล้ายกิ่งไม้ไม่ได้ยาวมากไปกว่าข้อแขนหนึ่งข้อแต่ก็ดูคงทนแข็งแรงและรูปทรงอันโค้งเว้าและกิ่งที่แตกออกนั่นก็ทำให้เกิดรูปร่างที่งดงามอย่างพิลึก

เอลมิคไม่ได้มองเห็นรูปร่างของมันชัด ๆ เขาเห็นเพียงหางสั้น ๆ ที่มีขนปุกปุยกับบั้นท้ายเล็ก ๆ ของมันก่อนที่จะถูกพ่อของเขาฉุดไปหลบอยู่ที่พงหญ้าข้างต้นไม้ใหญ่ ทันทีที่เขากำลังจะเอ่ยปากถาม พ่อของเขาก็ยกนิ้วชี้จรดริมฝีปากพร้อมพ่นลมออกมาเบา ๆ ชายวัยกลางคนส่ายหัวแล้วก้มลงมากระซิบที่ข้างหู

"ข้างหน้ามีกวางป่า เราจะไม่รบกวนมัน" คำพูดของพ่อเขาช่วยกระตุ้นหัวใจของเด็กหนุ่มให้เต้นถี่มากขึ้นเมื่อได้รับรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดไว้เป็นเรื่องจริง เอลมิคจ้องมองใบหน้าพ่อของเขาที่ลดตัวลงมา หน้าผากที่เปียกชื้นและเหงื่อที่ไหลลงมาอยู่ข้างแก้มที่เต็มไปด้วยรอยหยักนั้นพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง แต่ในตอนนี้หัวของเขาเองกำลังจินตนาการถึงสิ่งที่อยู่ถัดไปตรงหน้า

ชายวัยกลางคนเหลียวมองกวางที่กำลังยืนอยู่ไม่ห่างนัก เขายอมรับกับตัวเองว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นเกินความคาดหมายในวันนี้ไปมาก แม้กวางป่าที่หลงฝูงจะไม่ใช่สิ่งที่เขาพบเห็นได้บ่อยและแน่นอนว่าไม่ใช่ในป่าแถวนี้ซึ่งยังนับว่าใกล้กับหมู่บ้านของพวกเขาอยู่นัก แต่ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเจอกวางป่ามาก่อนหากว่าตัวที่อยู่ข้างหน้าเขาในตอนนี้นั้นต่างออกไป

'ใหญ่…ตัวใหญ่อะไรเช่นนี้' เขากล่าวในใจพลางเชยชมสิ่งมีชีวิตที่งดงามราวกับรูปปั้น ใช่แล้ว สัตว์ใหญ่ในป่าลึก สัตว์เหล่านี้มีความสำคัญต่อผืนป่าอย่างมาก ชาวเมืองบางคนเคยพูดกับพ่อของเอลมิคเอาไว้และใบหน้าของชายคนนั้นมักจะลอยขึ้นมาเสมอเมื่อนึกถึงคำพูดนี้ 'หากเราไม่ใช่คนล่า เดี๋ยวเจ้าพวกนี้ก็ถูกล่าด้วยสัตว์ที่ตัวโตกว่าอยู่ดี ชิงล่ามันเสียก่อนย่อมดีกว่า' แต่การเข้าไปแทรกแซงวงจรชีวิตของสัตว์ในป่าคือการทำลายสมดุลของธรรมชาติอันทรงพลัง ซึ่งยากเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจและเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือบทลงโทษได้ พ่อของเอลมิคและเหล่าพรานรับรู้เรื่องนั้นดีและสืบทอดเป็นขนบต่อกันมารุ่นสู่รุ่น พวกเขายึดมั่นและตระหนักสิ่งนั้นเอาไว้เสมอเมื่อเริ่มสาวเท้าเดินเข้าไปในป่ารกชัฎ

ชายวัยกลางคนดึงตัวเอลมิคออกมาจากพงหญ้าแล้วค่อย ๆ ให้เขาชะโงกหัวออกไป เมื่อเอลมิคได้เห็นร่างเต็มตัวของเจ้ากวางป่าก็ทำเอาวิญญานเขาหลุดลอยออกไปไกล การที่ได้เห็นกวางป่าตัวเป็น ๆ นับว่าเป็นความโชคดีครั้งใหญ่และตัวเขาสามารถนำไปคุยโวอวดเพื่อนในหมู่บ้านได้เป็นวัน ๆ หมู่บ้านเทวานัตที่เอลมิคเติบโตมีวัฒนธรรมความเชื่อในเรื่องของเทพทั้งสามอย่างเคร่งครัด ซึ่งเรื่องที่แม่ของเอลมิคเล่าให้ฟังเกี่ยวกับท่านเทพผู้คุ้มครองนิมิตร่างของตนเป็นกวางป่านั้นได้ฝังความศรัทธาลึกลงไปในใจของเอลมิคอย่างแน่นหนา และเรื่องเล่านั้นก็ไม่เพียงแต่จะถูกเล่าแค่ในหมู่บ้านเท่านั้น มันได้ถูกเล่าออกไปทั่วราวกับนิทานกล่อมเด็กที่ผู้ใหญ่ชอบฟัง ไม่เพียงแต่ชาวบ้านในหมู่บ้านที่ห่างไกลจากตัวเมืองเท่านั้น แต่คนในแคว้นกุษาต์จำนวนไม่น้อยก็มีความเชื่อในเรื่องของเทพทั้งสามและนับถือกวางเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน พวกเขาไม่บังอาจคิดจะออกล่าหรือตามหา แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาได้พบเจอก็จะนับว่าเป็นความโชคดีครั้งใหญ่และพวกเขาจะละเว้นการอาบน้ำหนึ่งวันเต็ม บ้างก็ละเว้นถึงหนึ่งสัปดาห์

แต่กวางป่าตัวนี้ไม่เหมือนกับที่เด็กหนุ่มเคยได้ยินจากเรื่องเล่าที่พ่อและแม่เล่าให้ฟังเท่าใดนัก แค่สีผิวก็ต่างกันมากราวกับคนละชนิด สีผิวของมันเมื่อต้องกับแสงสว่างก็นวลผ่องเหมือนกับถูกเคลือบด้วยอำพันทั้งตัว ขนของมันเรียบเนียน กล้ามเนื้อเด่นชัดเป็นมัดตามสัดส่วน และรูปร่างที่สูงใหญ่ยิ่งทำให้เอลมิคใจเต้นระรัวทุกองศาของใบหน้าที่ขยับ

'กึก'

เสียงบางอย่างดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ กิ่งไม้ที่แห้งจนกร่อนถูกเหยียบหัก แม้เสียงนั้นจะเบาบางแต่ด้วยสัญชาตญาณของผู้ถูกล่าจึงทำให้พวกมันระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ เจ้ากวางป่าไม่คิดแม้แต่จะหันกลับไปมองแหล่งกำเนิดเสียงด้วยซ้ำ ราวกับว่ามันรู้อยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร… เจ้ากวางรีบพาตัวเองหนีออกมาจากจุดที่มันยืนอยู่ทันที มันกระโจนพุ่งตรงมายังทิศของพรานทั้งสอง การเคลื่อนไหวของมันรวดเร็วและดุดันอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ทันที่พวกเขาทั้งสองจะได้กะพริบตาและเพียงไม่กี่จังหวะก้าวกระโดดของมัน ขาทั้งสี่ก็ลอยข้ามหัวของสองพ่อลูกไปโดยที่พวกเขาแทบจะไม่รู้สึกตัว

"เฮือก" เด็กหนุ่มอุทานด้วยความตกใจพร้อมกับร่างของเขาที่ถูกดึงหลบลงมาโดยไม่รู้ตัว โชคยังดีที่ประสาทสัมผัสของพรานผู้เป็นพ่อนั้นยังคงเฉียบแหลม การกระโจนที่รวดเร็วราวกับม้าศึกผนวกกับรูปร่างที่ใหญ่โต หากในจังหวะการก้าวกระโดดนั้นพวกเขาเผลอเรอถูกเหยียบด้วยมัดขาทั้งสี่ที่ไม่ต่างอะไรกับท่อนซุงไม้นั่น ศพของพวกเขาคงไม่เหลืออวัยวะภายในเอาไว้ประดับร่างเป็นแน่

เมื่อทั้งสองเริ่มคืนสติก็ลุกขึ้นแล้วหันมองกลับไปยังทิศที่กวางตัวนั้นกระโจนหนีไป แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงหรือเห็นร่องรอยอะไรที่มันทิ้งเอาไว้ ชายวัยกลางคนถอนหายใจพรืดด้วยความโล่งใจ แต่ความเสียดายก็ยังสะท้อนดังอยู่ในอกเมื่อรู้ว่าจะไม่ได้เห็นเจ้ากวางสีอำพันตัวนั้นอีกแล้ว แต่พวกเขากลับไม่รู้เลยว่าเจ้ากวางตัวนั้นไม่ใช่ของขวัญที่ท่านเทพส่งมาให้เมื่อเอลมิคอายุสิบเอ็ด ของขวัญชิ้นนั้นได้มายืนแทนที่กวางตัวนั้นแล้ว ของขวัญที่จะทำให้เอลมิคไม่มีวันลืม…

การเคลื่อนที่อันเงียบเชียบสวนทางกับรูปร่างอันใหญ่โตของมันอย่างผิดธรรมชาติ หากพวกเขาคิดว่าเจ้ากวางตัวเมื่อกี้นั้นมีขนาดที่ใหญ่แล้ว เจ้าสิ่งนี้คือมหึมา ความสูงของมันเทียบเท่ากับชายสองคนยืนต่อกัน ลำตัวยาวเหยียดเกือบเท่าไม้ยืนต้น ที่น่ากลัวกว่าสัดส่วนของมันคือรูปร่างและสิ่งที่คอยปกคลุมผิวหนัง ปุ่มกระดูกทรงสามเหลี่ยมที่ดูแข็งพิลึกยื่นออกมาเป็นก้อนตามแนวกระดูกสันหลังและยังถูกหุ้มด้วยเกล็ดหนา ๆ ที่ดูต่างจากเกล็ดบนผิวปลาหรือผิวงู หากจะบอกว่าลำตัวทั้งหมดถูกหุ้มด้วยก้อนหินก็คงไม่ผิดนัก แม้ขาทั้งสี่จะดูเหมือนเพียงเสาค้ำร่างที่ไม่ได้ดูหนาและแข็งเหมือนกับลำตัว มีเพียงผิวหนังหย่น ๆ หุ้มเนื้อของมันเอาไว้ แต่ตรงบริเวณปลายเท้านั้นมีช่องซ่อนกรงเล็บเล็ก ๆ ที่ถูกหดเก็บไว้อยู่ กล้ามเนื้ออันคมชัดมัดโตบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่วและปราดเปรียวและยิ่งเห็นได้ชัดเพราะผิวกายของมันนั้นเตียนเรียบและไร้ขน

พรานผู้เป็นพ่อเริ่มจับได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จ้องมองมาที่เขา เขาหันไปมองดวงตาคู่นั้นช้า ๆ ดวงตาคู่ที่เขาจะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต ดวงตาที่ส่งความกลัวอันแสนสะท้านเข้าไปทั่วร่างของเขา ดวงตาที่ทำให้หัวใจของเขาตกลงลึกไปใต้สุดของแกนโลก ดวงตาที่ทำให้ภาพในอดีตย้อนกลับมาฉายอีกครั้งช้า ๆ เป็นฉาก ๆ ดวงตาที่ทำให้เขาได้เห็นแสงสว่างบางอย่าง ดวงตาสีดำนั่น น่ากลัวเหลือเกิน…

"หมา…ป่า" นี่คงเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาคิดว่าจะได้พูดในชีวิตนี้ เขาไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้แม้แต่น้อยเมื่อเห็นร่างของมัน วินาทีนี้เขาไม่สามารถนำสมาธิไปนึกถึงสิ่งอื่นใดได้เลย ความเย็นยะเยือกไหลผ่านจากคอลงไปถึงก้นกบ สติของเขาเป็นอัมพาต สมองของเขาหยุดนิ่ง ลูกชายเขาก็เช่นกัน เจ้าสิ่งนั้นค่อยๆขยับจมูกที่ยื่นยาวของมันเข้ามาใกล้พร้อมกับสืบขาก้าวย่างช้า ๆ มันยังคงดูท่าทีการตอบโต้ของเหยื่อก่อนจะลงมือทำสิ่งที่มันถนัด แต่ต่อให้การตอบสนองจะแปลกพิสดารอย่างไรสุดท้ายผลลัพธ์ก็ยังคงเดิม

มันเริ่มเบื่อหน่ายเหยื่อทั้งสองที่เอาแต่นิ่งเฉย มันยกขาหน้าข้างหนึ่งขึ้นเตรียมตวัดสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กจ้อยบนสายตาของมัน ภายในสติห้วงสุดท้ายของชายวัยกลางคนที่,uใบหน้าอาบเหงื่อและมือที่ชุ่มแฉะ สายตาอันว่างเปล่าของเขาเหลือบไปเห็นกรงเล็บขนาดเกือบเท่าแขนที่เคยถูกเก็บซ่อนไว้อยู่ข้างใน ตอนนี้มันงอกยาวออกมาจากปลายนิ้วแล้วกำลังจะพุ่งตัดผ่านร่างของเขาและลูกชายหากเขาไม่คิดจะทำอะไรสักอย่างภายในเสี้ยววินาทีนี้

เขาขยับตัวเพื่อหลุดออกจากภวังค์หนึ่งครั้งและเริ่มขยับตัวอีกหนึ่งครั้งในโลกความเป็นจริง เจ้าสิ่งนั้นสัมผัสได้ ร่างของมันหยุดชะงักโดยยังมีขาหน้าข้างหนึ่งยกค้างเอาไว้ เขาดึงลูกชายของเขาแล้วโยนลูกชายพร้อมตัวเขาออกไปด้านข้าง แม้ท่าทางจะดูเก้ ๆ กัง ๆ เพราะร่างกายที่แข็งเกร็งไปทั้งร่าง แต่เขาก็พยายามสุดชีวิตในการจะเอาตัวเองหนีออกไปให้ไกลจากจุดนั้นมากที่สุด และสิ่งที่เขาคิดไว้ก็เป็นจริง เขี้ยวเล็บอันน่าสยดสยองวาดผ่านหัวของเขาไปอย่างฉิวเฉียด เขาไม่ได้มองเห็นมันโดยตรง แต่ลมที่ถูกเขี้ยวตัดผ่านพร้อมกับเสียงที่เกิดขึ้นอยู่เหนือหัวทำเอาหัวใจเขาแทบหยุดนิ่ง เขาไม่ได้รับรู้ว่าเส้นผมบางส่วนของเขาถูกตัดออกไปด้วยแต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วที่ทำให้สติของเขาแตกกระเจิง แต่การล่ายังไม่จบ

ถึงแม้กรงเล็บกรงโตนั่นจะไม่ได้โดนพวกเขาโดยตรงแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันพลาด ต้นไม้ทรงผอมที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาถูกเฉือนจนขาดเหลือแต่ตอด้วยแรงตัดเพียงครั้งเดียว ลำต้นเหล่านั้นลอยเคว้งอยู่กลางอากาศสักพักก่อนจะตกลงมาตามแรงโน้มถ่วง ร่วงหล่นทับลงไปใส่พรานทั้งสองที่พึ่งกระโจนลงมานอนกลิ้งอยู่บนพื้น สัญชาตญาณของความเป็นพ่อสั่งบังคับให้เขารีบกระโดดพรวดขึ้นไปคร่อมร่างของลูกชายเอาไว้ ก่อนที่ท่อนไม้เหล่านั้นจะทับแก้วตาของเขาจนแหลกไป แต่โชคดีที่ลำต้นเหล่านั้นไม่ได้อวบใหญ่ มันหนาแค่เพียงต้นไผ่สองต้นมัดติดกัน แต่ก็ไม่ได้น้ำหนักเบาเช่นปุยนุ่น เพียงแค่แรงกระแทกแรกที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาเผลอร้องออกมาเสียงหลง

"อ่อก" เมื่อสิ้นสุดเสียงชายวัยกลางคนก็สิ้นสติลงในทันทีแต่กฎของธรรมชาติไม่มีความปราณี แรงโน้มถ่วงยังคงดึงลำต้นเหล่านั้นให้ตกลงมากระแทกใส่แผ่นหลังของเขาราวกับห่าฝน เสียงที่อึกทึกคึกโครมราวกับพายุช่วยดึงสติของลูกชายให้กลับมาอีกครั้ง เขายกมือทั้งสองป้องดวงตาของตนเอาไว้เพื่อกันเศษใบไม้ไม่ให้เข้าไปในดวงตา แม้การมองเห็นของเขาจะหายไปแต่นั่นกลับเป็นเรื่องที่ดีเสียมากกว่า เพราะสิ่งที่เขาจะได้เห็นหากเขาลืมตาคือต้นไม้นับสิบ ๆ ต้นที่กำลังกระแทกใส่หลังพ่อของเขาอย่างบ้าคลั่ง เอลมิคสวดอ้อนวอนต่อพระผู้เป็นเจ้าทุกองค์ที่เขาเคยภาวนาถึง เทพผู้สร้าง เทพผู้คุ้มครอง เทพผู้ทำลาย และเหล่าร่างจำแลงทั้งหลายที่มนุษย์เคยเห็น แม้เขาจะไม่เคยเข้าใจถึงเหตุผลที่คุณย่าบังคับให้เขาสวดภาวนาต่อท่านเทพทั้งหลายเหล่านั้นในทุก ๆ คืน แต่ในตอนนี้เขาเริ่มจะเข้าใจมันมากขึ้นเมื่อแสงแห่งความหวังเริ่มริบหรี่ลงและพายุที่อยู่นอกจิตใจกำลังโหมกระหน่ำ เขาสวดท่องทุกบทที่เคยเขาเคยสวดอย่างคล่องแคล่วและเต็มใจ โดยหวังว่าสิ่งที่เขากำลังสื่อไปจะมีผู้รับฟังอยู่ที่ดินแดนใดดินแดนหนึ่ง

ในที่สุดพายุก็สงบลงแต่ภัยพิบัติยังคงไม่สิ้นสุด เจ้าหมาป่าเกล็ดหินจ้องเหยื่อของมันอย่างใจเย็น มันเอียงคอพลางสาวเท้าก้าวมาอย่างช้า ๆ ราวกับบริเวณนี้มีมันเพียงผู้เดียวที่เป็นผู้ครอบครอง ซากของต้นไม้กลม ๆ มากกว่าสิบต้นเทระเนระนาดเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น แต่ด้วยสายตาอันคมกริบก็ยังทำให้มันมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจน มันดูท่าทีของเหยื่อที่นอนแผ่นิ่งโดยหวังว่าสองพ่อลูกคู่นั้นจะยังไม่กลายเป็นซากศพไปเสียก่อน เพราะความสนุกและความตื่นเต้นของการได้ล่าพึ่งกำลังพุ่งพล่านอยู่ในตัวของมัน แต่มันไม่รู้ตัวเลย…

*ฟิ้ว* *ฉึก* เสียงของลมถูกตัดด้วยบางสิ่งที่พุ่งมาด้วยความเร็ว

เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมาก็พบว่าดวงตาข้างหนึ่งของเจ้าหมาป่านั้นถูกปิดลงและมีอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายแท่งไม้บาง ๆ ที่มีขนนกติดตรงปลายอีกด้านประดับอยู่ เขาตกใจและไม่คาดคิดว่าการสวดภาวนาของเขาจะออกผลรวดเร็วเช่นนี้ เขาเร่งบทสวดให้เร็วยิ่งขึ้นโดยหวังให้มีศรอีกนับพันสาดลงมา แต่ไม่ทันจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น สติของเขาก็แตกกระเจิงด้วยเสียงคำรามอันน่าสยดสยองของสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มันเค้นคำรามสุดเสียงด้วยความโกรธเกรี้ยวจากภายใน เสียงที่เปล่งออกมาดังสนั่นลั่นไปทั่วป่า เขาแอบได้ยินเสียงของนกที่อยู่ห่างจากเขาไปไกลโขตีปีกบินหนีออกไป เอลมิครีบยกมือขึ้นมาปิดหูก่อนที่วิญญาณของเขาจะแตกสลายไปเสียก่อน

*ฟิ้ว* *ปุ้ป* เสียงของลมดังขึ้นอีกครั้ง แต่เสียงในตอนสุดท้ายเปลี่ยนไป

ลูกศรที่ถูกยิงออกมาเป็นครั้งที่สองกระเด็นเด้งออกไปเมื่อกระทบเข้ากับเกล็ดหินที่ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ เด็กหนุ่มจ้องมองลูกศรที่หักครึ่งหมุนลอยอยู่กลางอากาศก่อนที่จะเหลือบไปเห็นเงา ๆ หนึ่งซึ่งเขาอาจจะเห็นแค่เพียงเส้นผมแต่นั่นก็ทำให้หัวใจของเด็กหนุ่มพองโตในชั่วขณะที่โลกกำลังพังทลาย

"ท่านเทวดา…"