webnovel

Murah and his wondrous bag (มุราห์กับระบบกระเป๋าพิศวง)

ไม่มีใครรู้และอาจทราบได้ว่า อะโกล ดินแดนของเหล่าสิ่งมีชีวิตเริ่มมี ‘สัตว์สร้าง’ เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกมันเป็นสัตว์ที่ผ่านการวิวัฒนาการจนลักษณะทางกายภาพแตกต่างออกไปจากเดิม พวกมันแข็งแกร่ง ทรงพลัง ว่องไวและก้าวขึ้นมาเป็นผู้ล่าสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในทันทีที่ปรากฎตัว แต่มนุษย์คือสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว มนุษย์เริ่มก่อตั้งกลุ่ม 'นักล่า' พวกเขากำเนิดขึ้นเพื่อออกล่าสัตว์เหนือธรรมชาติเหล่านั้น บ้างก็เพื่อปกป้องมนุษย์ด้วยกัน บ้างก็เพื่อทรัพย์สินและชื่อเสียง หรือบางคนแค่เพียงต้องการความสุขเมื่อได้เห็นเลือดของสัตว์เหล่านั้นหลั่งริน "มุราห์" หนุ่มกำพร้าผู้เรียกขานตัวเองว่านักล่า ก่อนที่เขาจะเริ่มต้นออกเดินทางโดยลำพัง เขาได้รับกระเป๋าหนังใบหนึ่งที่มีพลังลึกลับบางอย่างซึ่งกำลังจะเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาและอะโกลไปในทางที่เขาคาดไม่ถึง

DoubleT_T · Fantasy
Not enough ratings
6 Chs

ตอนที่ 1

ใบไม้สีเขียวอ่อนนับร้อยใบได้แผ่กระจายออกมาจากต้นไม้ใหญ่นับร้อยต้น ใบไม้เหล่านั้นโอนเอนมาชิดกันจนดูคล้ายเป็นกระเบื้องแผ่นใหญ่ที่วางอยู่เหนือหัวสองพ่อลูก และเป็นเหมือนก้อนเมฆที่ทิ้งตัวลงต่ำเพื่อปกคลุมแสงแดดที่สาดลงมาไม่ให้ดินที่อยู่ข้างล่างร้อนฉ่า กลิ่นของดินชื้น ๆ ผสมปนเปกับกลิ่นของเห็ดหลากพันธุ์ ดอกไม้ป่าและวัชพืชที่โตแทรกตามรากและลำต้นลอยมาตามกระแสลมที่พัดโบกจนกิ่งไม้เอนเอียง แต่ถึงแม้ผืนป่าแห่งนี้จะถูกคลุมด้วยหลังคาใบไม้จนเหมือนปิดทึบ แต่แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ก็ยังสามารถเล็ดลอดมาตามรอยแตกและรอยห่างของใบไม้ ทำให้บริเวณของพรานน้อยและพรานผู้เป็นพ่อก้าวเท้าเดินมีแสงสว่างที่เพียงพอ

เอลมิคคือชื่อของเขา เด็กหนุ่มที่พึ่งจะย่างเข้าปีทิ่สิบเอ็ดของชีวิต และนั่นคือเหตุผลที่ตอนนี้เขากำลังเดินตามหลังพ่อของเขาในป่าอันรกทึบ เมื่อวานซืนเขายังทำได้แค่มองพ่อของเขานำธนูพาดไว้กับตัวพร้อมคาดกระเป๋าหนังสัตว์ข้างเอวแล้วเดินเข้าป่าเพียงลำพัง แต่คราวนี้เขาได้ทำเช่นเดียวกันบ้างแถมด้วยหน้าอกที่ดูนูนยืดออกมากว่าปกติ

แต่ด้วยความที่เขาทั้งสองเริ่มออกเดินทางกันมาตั้งแต่ก่อนรุ่งสางจนตอนนี้พระอาทิตย์กำลังลอยค้างอยู่เหนือหัว หน้าอกของเอลมิคก็เริ่มงุ้มเข้า หลังงอคล้ายกับตัวอักษรและไหล่ก็ห่อตกลงตามเวลา อาการเหล่านั้นไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความเหน็ดเหนื่อยแต่เป็นเพราะความเบื่อหน่ายจากบรรยากาศและทิวทัศน์ของป่ารอบข้างที่เขาเดินและมองผ่านมันซ้ำ ๆ มาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ตัวเขาเองควรรู้ดีว่าการเข้าไปในป่าไม่ใช่เรื่องน่าสนุกหรือน่าตื่นเต้นอะไร เพราะเกือบทุกครั้งที่พ่อกลับมาจากป่าหลังหายไปเป็นเวลาค่อนวัน ก็มักจะกลับมามือเปล่าเสมอ (มือเปล่าที่เอลมิคหมายถึงไม่ได้นับรวมเห็ด พืชสมุนไพร ผลไม้อีกนับไม่ถ้วนที่มีอยู่ล้นฟูเกินกระเป๋า) หากวันไหนโชคดีก็จะกลับมาพร้อมกับกระต่ายป่าตัวบักเอ้บที่เขาโปรดปราน ไม่ใช่ว่าพ่อของเอลมิคจะเป็นพรานไร้ฝีมือ การจะได้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านเทวานัตจำเป็นจะต้องมีฝีมือการทำพรานที่ดีและพ่อของเขาก็นับว่าเป็นพรานมือฉกาจของหมู่บ้าน แม้ว่าจะไม่ได้มีพรานในหมู่บ้านให้เทียบฝีมือมากมายก็ตามที

หากแต่ว่าพ่อของเขามีกฎบางอย่างที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นปู่และดูเหมือนว่าพรานในหมู่บ้านทุกคนก็มีกฎแบบนั้นเช่นเดียวกัน พวกเขาไม่ออกล่าสัตว์ใหญ่และไม่ล่าสัตว์เล็กพร่ำเพรื่อ เอลมิคสังเกตได้ทุกครั้ง เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาต้องการเนื้อสัตว์ พวกเขาก็จะมีพร้อมเสมอ และเมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเขาต้องการยูกยาเพื่อรักษาคนในหมู่บ้านที่มีอาการเจ็บไข้ พวกเขาก็จะมีพร้อมเสมอ แม่ของเอลมิคมักจะพูดกับเอลมิคทุกครั้งว่านั่นเป็นเพราะหมู่บ้านเรามีพรานมากฝีมือ

แต่อย่างไรก็ตาม ครั้งแรกนั้นสำคัญเสมอและวันนี้ก็เป็นครั้งแรกที่เขาอายุสิบสองปี ครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาในป่าลึกที่ซึ่งเขาและเพื่อนแอบเฝ้ามองอยู่ตลอด มันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรหากเขาจะรู้สึกตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นเมื่อได้ทำในสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด จริงไหม… และมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเช่นกันที่เขาจะรู้สึกผิดหวังเมื่อสิ่งที่เขาเคยเฝ้ามองและจินตนาการถึงนั้นไม่เป็นดั่งที่คิด

หลังจากการเดินทางอันแสนน่าเบื่อเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งการใช้สายตาสอดส่องหาของป่าตามพื้นและต้นไม้ที่ก็ไม่ได้มีมากมายจนต้องตกตะลึงนั้นไม่ได้มีความท้าทายหรือตื่นเต้นพอจะทำให้เอลมิคพึงพอใจ เด็กหนุ่มหน้าตาเบื่อหน่ายที่กำลังใฝ่หาความสนุกก็เอ่ยกระซิบขึ้นมาในป่าที่เงียบสงัด

"พ่อ" ระยะห่างระหว่างตัวเขาและพรานผู้เป็นพ่อนั้นเพียงหนึ่งก้าว หากใครสักคนกลืนน้ำลายก็สามารถได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจน

"หืม" ชายผู้เป็นพ่อไม่เปิดปาก เขาส่งเสียงทุ้มหนาเล็ก ๆ ออกมาจากลำคอ

"เราจะเดินไปจนถึงเมื่อไหร่" เด็กน้อยถามด้วยเสียงที่บางแหลม

ชายผู้เป็นพ่อไม่ตอบอะไรกลับมา เขาปล่อยให้ความเงียบทำงานต่อไป เสียงเดียวที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่องคือเสียงของใบไม้กับกิ่งไม้แห้งกรอบที่ถูกเหยียบย่ำเป็นจังหวะ พรานน้อยไม่อยากจะซักไซ้เพิ่มเติมเพราะเขารู้ดีว่ามันไม่มีประโยชน์อะไร เขาเดินต่อสลับกับมองไปรอบข้างเพื่อแก้เบื่อแม้ว่ามันจะทำให้เขาเบื่อมากขึ้นก็ตาม แต่เขาก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นให้ทำไปนอกจากนั้นแล้ว

แต่ด้วยเสียงของความเงียบงันที่รบกวนผนวกกับเสียงในหัวที่ดังกระหึ่ม จึงทำให้ความสงสัยและอารมณ์ต่าง ๆ ที่อัดแน่นอยู่ในอกระเบิดออกมา พรานน้อยไม่สามารถเก็บอั้นมันไว้ได้อีกต่อไป

"ผมไม่เห็นเข้าใจเลย" เอลมิคกระซิบด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้น หูของชายที่อยู่ข้างหน้ากระดิกเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น "ทำไมเราถึงไม่ไปล่าสัตว์ ทำไมพ่อต้องพาผมมานั่งเก็บเห็ด เก็บสมุนไพรพวกนี้ด้วย ผมอยากออกล่าสัตว์เหมือนพรานคนอื่นบ้าง เจ้าพวกนั้นก็เคยล่าสัตว์กันหมดแล้ว เมื่อวานเจ้าเอ็ดวินก็เอากระต่ายที่มันล่าได้มาอวดใหญ่แถมยังคุยโม้ทั้งวัน ผมล่ะหมั่นไส้เจ้านั่นเป็นบ้า" พรานน้อยพ่นลมหายใจฟึดฟัด ชายผู้เป็นพ่อยังคงนิ่งเงียบเช่นเคย "พ่อก็เก่งกว่าคนพวกนั้นตั้งเยอะ ทำไมถึงพาผมมาทำอะไรแบบนี้ด้วย พ่อของเจ้าเดชก็ไม่ใช่พรานแต่เจ้านั่นก็ยังได้ล่าสัตว์ แถมยังเคยตกปลาแล้วด้วย"

พรานวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง

"เอลมิคเอ๋ย…ก่อนจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ จำที่พ่อบอกก่อนจะพามาได้ไหม" แม้ว่าเสียงของชายผู้เป็นพ่อจะไม่ได้ดังสนั่นและน้ำเสียงก็ดูนุ่มลึกใจดี แต่เสียงนั้นกลับทำเอาเอลมิคสะอึกจนหน้าซีด คอของเขาตกลงเล็กน้อยและพยักหน้ารับให้กับแผ่นหลังของพ่อ แม้อายุจะน้อยแต่ท่าทางของเขาในตอนนี้ก็ดูสุขุมเกินวัย "หากเข้าใจแล้ว ก็เงียบซะก่อน เราไม่มีทางรู้ว่าในป่านี้จะมีอะไรที่เราคิดไม่ถึงหรือเปล่า เดี๋ยวไปหลบพักที่ร่มไม้ข้างหน้าแล้วเราค่อยคุยกัน" เอลมิคไม่ชะโงกหน้ามองหาร่มไม้ที่พ่อของเขาพูดถึง เขารู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่พ่อเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมา คำพูดเหล่านั้นมักเด็ดขาดและสิ้นสุด

ไม่กี่ก้าวพวกเขาก็เข้ามาอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงอยู่เหนือหัวในทีแรกถูกกลบจนมิดเหลือเพียงแค่เงาของใบไม้ พ่อของเอลมิคมองหาตำแหน่งที่จะไม่นั่งทับรากไม้ที่ปูดนูนขึ้นมาเหนือพื้นให้เจ็บก้น เมื่อได้ที่เขาก็ทิ้งตัวลงไปแล้วเอนหลังพิงกับลำต้นที่อวบหนาพร้อมดึงแขนลูกชายเขาเบา ๆ ให้ลงมานั่งข้าง ๆ

พ่อของเอลมิคล้วงมือลงไปในกระเป๋าที่คาดไว้ข้างเอวพร้อมยกขนมปังกับเนื้อตากแห้งขึ้นมา เขาหักขนมปังแข็ง ๆ ออกเป็นสองส่วนแล้วแบ่งให้กับลูกชาย เอลมิคพยายามจะแสดงอาการไม่พอใจและปั้นหน้าขึงขัง แต่เมื่อมือที่หยาบกร้านและมากไปด้วยรอยแผลเป็นยื่นอาหารมาให้ เขาก็เผลอพยักหน้าและรับมันมาด้วยความเคยชิน ก่อนจะรู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อขนมปังก้อนและเนื้อแห้งได้หายไปในปากเขาจนหมด

"เอลมิค" เสียงอันนุ่มทุ้มดังขึ้นในขณะที่พรานน้อยกำลังขบนิ้วอยู่ เอลมิคหันไปหาชายที่นั่งอยู่ข้าง ๆ พร้อมเงยหน้าขึ้นไปมอง ชายวัยกลางคนที่กำลังเหม่อมองข้างหน้าพร้อมกับขนมปังที่ยังคงมีรอยหักอยู่ในมือค่อย ๆ อ้าปากพูด "เจ้าคิดว่าทำไมพ่อถึงนำเจ้ามาด้วย" ดวงตาสีน้ำตาลเข้มหันลงมามองเอลมิคหลังพูดจบ เอลมิคไม่กล้าสบตา เขาก้มหัวมองลงไปที่พื้นสักครู่ก่อนจะตอบ

"เพราะผมโตพอจะเป็นพรานได้แล้ว พ่อเลยนำผมมาสอนวิถีพราน"

พ่อของเขายิ้มและพ่นลมหายใจหัวเราะเล็ก ๆ ก่อนที่เขาจะอ้าปากงับขนมปังในมือจนเล็กลงเหลือแค่เพียงนิ้วโป้ง

"แล้วเจ้าอยากเป็นพรานงั้นหรอ"

เอลมิคพยักหน้า

"ทำไมหล่ะ"

ผมสีดำขลิบที่ยาวเกือบจะประบ่าปลิวไร้น้ำหนักไปด้านหน้าตามแรงลม เอลมิคมองดูเส้นผมที่ลอยไปมาสลับกับใบหน้าที่มีผิวสีเข้ม สันจมูกโด่งและปลายจมูกที่ชี้พุ่งไปข้างหน้าคือสิ่งที่เห็นเด่นชัด รองลงมาคือผิวหน้าอันหยาบด้าน พ่อของเขาสวมชุดคลุมหนังสัตว์สีน้ำตาลเข้มแขนยาว แต่ด้วยความหลวมจึงทำให้ชายเสื้อห้อยตกลงไปจนถึงข้อศอก เผยให้เห็นผิวหนังด้าน ๆ บนแขนที่มีรอยแผลเป็นเล็ก ๆ มากมาย ทั้งรอยกิ่งไม้บาดและรอยขีดข่วนที่แม้แต่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร แต่รอยแผลเป็นที่น่าหวาดเสียวเหล่านั้นก็ช่วยบ่งบอกอะไรบางอย่างเกี่ยวกับชายคนนี้

"เพราะว่าพ่อเป็นพรานที่ล่าสัตว์ได้ พ่อเลยแข็งแกร่งและแข็งแรงกว่าคนอื่น ๆ ผมก็อยากเป็นชายที่แข็งแกร่งแบบนั้น… และผมก็อยากล่าสัตว์" เอลมิคยังคงก้มมองปลายเท้าของตัวเอง เขาตอบคำถามด้วยความกลัวแต่ก็เป็นคำตอบที่จริงใจ ซึ่งพ่อของเขาก็รับรู้ได้และแสดงออกด้วยมุมปากที่ฉีกกว้าง

"ถ้าหากพ่อไม่ได้เป็นพรานหล่ะ เจ้าจะอยากเป็นอะไร" ชายผู้เป็นพ่อถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม เขายืดคำพูดออกให้ช้าและยานขึ้น

"ผมก็คงอยากเป็นพราน เพราะพรานได้ล่าสัตว์" เอลมิคเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงไปข้างหน้า

"ถ้าพ่อบอกว่าจริง ๆ แล้วพรานไม่ได้ล่าสัตว์หล่ะ เจ้าเชื่อไหม"

เอลมิคหันไปหาพ่อของเขาและพยักหน้ารับหนึ่งทีก่อนตอบ "ก็พ่อไม่ได้กลับมาพร้อมกับกระต่ายทุกครั้ง แต่พ่อกลับมาพร้อมกับผักใบเขียว" น้ำเสียงของเอลมิคที่ใสซื่อทำเอาชายวัยกลางคนเผลอยิ้มและหัวเราะออกมาเบา ๆ

"อย่างนั้นลูกยังคิดว่าพ่อเป็นพรานอยู่หรือเปล่า"

"ทุกคนในหมู่บ้านก็บอกอย่างนั้น หัวหน้าหมู่บ้านคือพรานมือหนึ่ง พวกเขาพูดกันอย่างนั้น" พ่อของเอลมิคใช้มือลูบหัวเขาไปมา ดวงตาสีน้ำตาลเข้มกำลังลุกวาวอยู่บนผิวหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย

"แล้วถ้าไม่ใช่ล่าสัตว์หล่ะ ถ้าสิ่งที่เราทำกันเมื่อเช้าและตอนนี้คือสิ่งที่นายพรานทำเป็นประจำ ลูกยังคงอยากเป็นพรานอยู่หรือเปล่า" ริมฝีปากของเขายังคงฉีกกว้าง เอลมิคก้มลงไปมองที่พื้นอีกครั้ง เขาพันนิ้วชี้ของตัวเองทบไปมาแล้วใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหัว เสียงหัวเราะเล็ก ๆ ดังขึ้นมาจากพ่อของเขา

"พวกเราเป็นพราน…ไม่ใช่นักล่า พวกเรา… และเขาล่าสัตว์ที่อาศัยอยู่ในป่าเพื่อประทังชีวิตเหมือนกัน ต่างกันตรงสัตว์ที่ล่า พวกคนเหล่านั้นออกล่าแค่เพียง 'สัตว์สร้าง' ซึ่งสัตว์พวกนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ป่าแบบที่เราล่า แต่เจ้ารู้อะไรอย่างหนึ่งไหม เอลมิค… ต่อให้วิธีการของเราและเขาจะแตกต่างกัน แต่พวกเราก็มีกฎที่เหมือนกัน" เอลมิคเงยหน้าขึ้นมามองพ่อของเขาในขณะที่นิ้วชี้ทั้งสองข้างยังคงพันกันแน่น ชายวัยกลางคนกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเริ่มพูดต่อ "สัตว์ทุกตัวถูกสร้างด้วยพระผู้สร้าง เราก็เช่นกัน เรา… นักล่าและนายพรานจะล่าก็เพียงเพื่อประทังชีวิต พวกเราไม่ได้ล่าเพราะกระหายในความสนุกหรือตื่นเต้น เราล่าเพราะจำเป็น เข้าใจไหม เอลมิค"

ดวงตาสีน้ำตาลเทาของเอลมิคใสแจ๋ว เขาพยักหน้าให้กับพ่อของเขาเบา ๆ ก่อนจะก้มลงไปมองที่พื้นอีกครั้ง

"แต่ถ้าหากลูกอยากล่าสัตว์และอยากแข็งแกร่ง นักล่าเหล่านั้นก็แข็งแกร่งและแข็งแรงมากกว่าพ่อหลายเท่าตัวนัก"

"นักล่าคืออะไรหรอครับ?" เอลมิคถาม เขาคลายนิ้วที่พันกันแน่นแล้วเริ่มหยิบใบไม้ขึ้นมาฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ

"พวกเขาเป็นคน เช่นเดียวกับพวกเรา แต่สิ่งที่พวกเขาเลือกที่จะทำคือการท้าทายกับธรรมชาติ ปู่ของเจ้าเคยเล่าให้พ่อฟัง แต่ก่อนที่นักล่าจะเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติ พวกเราทุกคนต่างหวาดกลัวกับสิ่งมีชีวิตที่ท่านเทพผู้สร้างสร้างขึ้น ในป่าลึกไม่มีใครกล้าย่างกราย ในหุบเขาไม่มีมนุษย์กล้าอาศัย สัตว์สร้างพวกนั้นไม่เพียงแต่เปลี่ยนวิถีชีวิตของมนุษย์ แต่ยังเปลี่ยนวงจรชีวิตของธรรมชาติ สัตว์ป่าบางตัวที่เคยพบเห็นได้ทั่วก็หายไปจากผืนป่า สัตว์ที่เคยแอบซ่อนอยู่ในป่าลึกก็ออกมาให้พบเห็นได้ง่ายดาย และสัตว์ป่าบางตัวยังเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้อยู่รอด พ่อแอบเคยเห็นค้างคาวที่มีปีกสั้นคมเขี้ยวยาวและยังออกมาเดินเผ่นผ่านในตอนกลางวัน

แต่เมื่อผู้คนเริ่มคุ้นเคยกับการเปลี่ยนแปลงและเริ่มผันตัวเองมาเป็นนักล่ามากขึ้น ความหวาดกลัวเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ลดลง พวกเราเริ่มกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง แม้จะไม่ได้เป็นเพราะนักล่าแต่พวกเขาก็มีส่วนสำคัญ จริงอยู่ที่ว่าพวกเขาก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรมากมาย พวกเราเป็นแค่เพียงมนุษย์ตัวจ้อย ไม่มีทางจะไปล้างบางสัตว์ยักษ์ที่สูงเท่าต้นไม้ได้หรอก แต่นักล่าก็คอยสร้างบาดแผลและส่งคืนความหวาดกลัวกลับไปให้พวกมัน ไม่มากก็น้อย จนมนุษย์กล้าที่จะยึดคืนพื้นที่ของตนกลับมาแม้จะได้กลับมาแค่เพียงน้อยนิดแต่ก็ส่งผลกับเรามาก

"แล้วทำไมพ่อถึงไม่เป็นนักล่า แล้วเลือกมาเป็นพรานหล่ะครับ" เอลมิคถาม

พ่อของเอลมิคหัวเราะร่าเมื่อได้ยินก่อนจะตอบกลับ "พรานหน่ะ ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นได้หรอกนะ เอลมิค ต่างกับเหล่านักล่า พวกนักล่าสามารถฝึกหัดได้ พรานก็จำเป็นต้องฝึกหัดแต่การจะเป็นพรานหรือไม่ นั่นคือหน้าที่ นักล่าน่ะ ไม่ว่าใครก็เลือกเป็นได้ เพียงแค่ขอความกล้าสักนิดและผ่านการฝึกฝนเล็กน้อยก็สามารถเรียกตัวเองว่านักล่าได้แล้ว แต่คนที่จะยอมทิ้งชีวิตของตัวเองแล้วไปเป็นนักล่า ก็จะมีแค่คนที่อยากจะแสวงโชคในห้วงสุดท้ายหรือไม่ก็หมดอาลัยตายอยากกับชีวิตเท่านั้นแหละ"

เอลมิคหยุดฉีกใบไม้ไปชั่วขณะพร้อมกับหัวที่หมุนติ้ว คำพูดมากมายที่ยากจะเข้าใจไหลพรั่งพรูผ่านเข้ามาในหัว

"ไปต่อกันเถอะ เดี๋ยวพอมืดค่ำแล้วจะมองหาสัตว์ป่ายาก" พรานวัยกลางคนลุกขึ้นยืนอย่างฉับไว การเคลื่อนไหวของเขานั้นยังคงคล่องแคล่วผิดกับร่างกายภายนอกที่บ่งบอกอายุ

คำพูดจากพ่อของเขาทำเอาคิ้วของเอลมิคขมวดเป็นปม เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัย ในขณะที่ปากของเขากำลังอ้าออก คำตอบที่ทำให้หายคาใจก็ดังขึ้น

"พ่อพาเจ้ามาล่าสัตว์ นั่นคือเหตุผลที่พ่อพาเจ้ามาด้วย"