ในมุมหนึ่งหลังจากที่โฮสต์ตัวน้อยหลับใหล ระบบก็ตามติดชีวิตของหลงจือหยางผู้เป็นเป้าหมายของภารกิจต่อเนื่อง เจ้าตัวลอยไปมาประหนึ่งอากาศมองสนามประลองและพื้นที่ฝึกซ้อมเข้าสู่สงคราม โดยสายตาจับจ้องไปที่เป้าหมายเสียส่วนใหญ่
ในมือของหลงจือหยางยังคงถือแก้วกาแฟเอาไว้ เสี้ยวหนึ่งใบหน้าหล่อเหลาย่นหัวคิ้วราวกับคิดถึงเรื่องบางอย่าง
"สนใจเหรอ"ทายาทตระกูลจ้าว จ้าวจือหรงผู้มีจิตวิญญาณอาวุธแส้สายฟ้าเอ่ยถาม เมื่อเห็นหลงจือหยางมองกาแฟแล้วคิ้วขมวดเข้าหากัน
"แค่รู้สึกว่าคุ้นเคย"เจ้าตัวกล่าว อย่างแรกคงเป็นดวงตาสีน้ำตาลอ่อนทอประกายยามต้องกับแสงไฟ อย่างที่สองคงเป็นจิตวิญญาณที่เป็นจิ้งจอกหิมะสีขาว
"อาจจะเคยพบพ่อแม่ของเด็กคนนั้นก็ได้"หลงจือหยางพยักหน้า
"ก็คงเป็นเช่นนั้น"
ระบบหรี่ตาลงเล็กน้อย ข้อมูลของโฮสต์คือบิดามารดาเป็นเกอทั้งคู่ คนหนึ่งเป็นจิ้งจอกขนแดง อีกคนเป็นแมวเปอร์เซียร์ขาวล้วน ต่างก็เสียชีวิตในดันเจี้ยนเมื่อหลายปีก่อน
หากใครก็ตามเสียชีวิตในหอคอยหรือดันเจี้ยน ทางภาครัฐจะมอบเงินส่วนหนึ่งให้กับครอบครัว ทางสภาก็ด้วย แต่หากคนที่ตายมาจากตระกูลใหญ่ นอกจากเงินก็เป็นสิ่งของที่อยู่ในถ้ำหรือหอคอย
และน่าเสียดายที่สองสามีภรรยาเป็นเพียงคนธรรมดาที่ต่างก็สูญเสียครอบครัวไปแล้ว มีเพียงลูกจิ้งจอกตัวน้อยวัยกำลังซน จึงตั้งมั่นหาเงินให้ได้มากๆ ไปซื้อเพชรพลอยให้เจ้าจิ้งจอกน้อยเอาไว้เล่น
ระบบค่อยๆ สอดแทรกไปตามความทรงจำของหลงจือหยางก่อนจะประหลาดใจ อย่างที่ทราบกันดีว่าหอคอยปรากฏออกมาสามปีและช่วงสามปีนี้ไม่มีดันเจี้ยนปรากฏออกมา แต่หลงจือหยางกลับเคยเข้าดันเจี้ยนมาแล้วครั่งหนึ่ง
และตอนนั้นอายุเพียงสิบห้าปี อายุมากกว่าเยว่ชิงถึงห้าปี เป็นช่วงเดียวกับเยว่ชิงกำพร้าทั้งพ่อและแม่
[น่าเสียดายจัง พลังงานระบบจะหมดแล้ว ไว้ยกระดับเมื่อไหร่ คงจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในดันเจี้ยน] ระบบถอนตัวอย่างเงียบๆ ก่อนจะหลับไป
เยว่ชิงหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อแสงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้า ตามปกติของคนขี้เกียจและระบบไม่ได้มีภารกิจไปวิ่ง เจ้าตัวเลยน้อยเอกเขนกรอเวลาไปเรียน การเรียนก็เป็นทฤษฎีของดันเจี้ยนและหอคอยทั่วไป ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายไปตามสาขาที่ต้องการ
อย่างเยว่ชิงที่เป็นเกอก็ไปสาขาทำอาหาร เพื่อหางานรองรับในอนาคต อีกส่วนหนึ่งทุกสัปดาห์จะต้องมีการเข้าใช้ห้องฝึกอย่างต่ำสามชั่วโมง เพื่อรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างสัตว์อสูรที่อยู่ด้านในออกมาไล่ล่าสังหารคนข้างนอก
วันนี้คือวันสุดท้ายของสัปดาห์เยว่ชิงจึงต้องใช้เวลาช่วงบ่ายไปกับการฝึกซ้อมอย่างเช่นจิตวิญญาณสัตว์ควรมี จมูกที่ไวต่อกลิ่น สัญชาตญาณนักล่าเพื่อหลบซ่อนเหล่านักล่าต่างๆ เรียกง่ายๆ ว่าจะมีสัตว์เดินกันควักไขว่เลยละ ยกเว้นคนที่เก็บรายชั่วโมงครบแล้ว
ช่วงเช้าคลาสแรกยังเป็นการบรรยายเกี่ยวกับชั้นที่สิบถึงแม้บางคนจะไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ก็ต้องสร้างความตื่นตระหนกต่อทุกคนให้รู้ว่าในอนาคตหากเข้าร่วมจะต้องเตรียมรับมือแบบไหนบ้าง
จากทีมสำรวจที่เข้าไปกลุ่มแรกมีอาวุธจิตวิญญาณประเภทการเคลื่อนที่อย่างรองเท้าหนาม การเคลื่อนที่พวกเขาถูกจัดอันดับว่าเร็วที่สุดในโลก ส่วนใหญ่มาจากตระกูลเบลซจากประเทศA
การลงสำรวจพบว่าในชั้นที่สิบยังคงเป็นกระต่ายที่เป็นบอสอยู่และมีบอสประจำชั้นตั้งแต่หนึ่งถึงเก้าอีกด้วย
จากที่ระบบบอกเขามา เยว่ชิงมีความเข้าใจว่าในสี่สิบชั้นแรกเป็นการเริ่มต้นเพื่อพัฒนาผู้คนแต่หลังจากนั้นความยากจะเพิ่มมหาศาลเพราะบอสหลักแต่ละชั้นจะเป็นสัตว์ในเทพนิยาย
อย่างเสือขาวประจำชั้นที่50 เต่าดำ60 อสรพิษทมิฬ70 หงส์เพลิง80และมังกรทอง90
ส่วนสี่สิบชั้นแรกก็เป็นกระต่าย หมาป่า วานรและสิงโต
"ถึงแม้จะเป็นกระต่ายก็จริง แต่ให้รู้ไว้ว่าบอสกระต่ายแต่ละชั้นจะมีความสูงราวๆ สามเมตร แต่บอสกระต่ายชั้นที่สิบมีเขาบนหัวถึงสามเขาและมีความสูงราวๆ เจ็ดเมตร
การจะจัดการกับมันจะต้องผ่านบอสกระต่ายชั้นหนึ่งถึงเก้า นั่นหมายความว่ามีเก้าตัวที่สูงสามเมตร และนังมีองครักษ์กระต่ายที่สูงสองเมตร และพลทหารกระต่ายราวๆ สองแสน
พวกมันมีนิสัยดุร้าย เสียงกรีดร้องทำให้เลือดไหลออกมาจากหู จมูก ในสงครามครั้งนี้จึงมีท่านหญิงโจวหรงหรง ดอกกระดิ่งของท่านมีส่วนช่วยในการสะท้อนของเสียงกรีดร้องกระต่าย
อาจจะคิดว่าเราลงทุนจนเกินไป แต่ขอให้รู้ว่ากระต่ายหนึ่งตัวที่ส่งเสียงร้องอาจจะทำอะไรพวกเรามากไม่ได้ แต่ถ้าร้องพร้อมกันสองแสนกว่าตัว อย่าว่าแต่บุกเข้าไปจัดการบอสเลย บางคนอาจจะเสียชีวิตทันที
วันนี้คงพอแค่นี้ก่อน พรุ่งนี้อาจารย์จะบรรยายเรื่องบรรยากาศและสถานที่ของกระต่ายชั้นสิบ อ๋อ ที่สำคัญระบบของหอคอยให้มีการถ่ายทอดสดทั่วโลกด้วย"พูดจบอาจารย์ประจำคลาสก็เดินออกไป เยว่ชิงนั่งท้าวคางเงียบๆ รอคอยเวลาคลาสต่อไปของตัวเอง
"หูยยยย ไม่ใช่ว่าพวกเราจะได้เห็นคนอื่นๆ ในหอคอยหรอก ใช่ไหม ไหนจะท่านหลงจือหยาง ท่านมุราซากิ"
"นั่นสินะ อยากเห็นจังว่าเวลาอยู่ท่ามกลางสงครามพวกเขาจะหล่อเหลาแค่ไหน"
"น่าเสียดายคนที่คู่ควรกับท่านหลงจือหยางคงมีเพียงท่านโจวหรงหรง"
"จิ๊ เป็นไปไม่ได้ต้องเป็นเจ้าหญิงจากโซราเฟียเท่านั้น"
เยว่ชิงเลิกคิ้วข้างหนึ่งก่อนจะออกจากห้อง ดูเหมือนที่นี่จะไม่เหมาะแก่การนั่งพักสักเท่าไหร่ เจ้าตัวเลยเดินเข้าห้องประจำสาขาที่เลือกเอาไว้
ด้วยจำนวนคนที่หลั่งไหลเข้ามาในทุกๆ สามสี่เดือนร้านอาหารจึงขาดแคลนพ่อครัว ซึ่งส่วนใหญ่ร้านอาหารก็มีเหล่าเกอคอยดูแล โดยมีกลุ่มสตรีไม่กี่คนที่ออกมาทำร้านอาหาร ร้านขายน้ำดื่มก็เกอ พนักในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเกออีกเช่นกัน
เพราะแบบนั้นเมื่อเขาเกิดเป็นเกอ ก็แค่เลือกอะไรสักอย่างไว้หาเงินในอนาคต ซึ่งเยว่ชิงเลือกที่จะทำอาหารอยู่หน้าเตามากกว่าจะไปยืนต้อนรับหรือคิดเงิน เพราะตอนที่ยังไม่มีระบบเขาคิดแค่ว่าอยู่แบบนี้ก็ดี สบายใจดีถึงไม่มีเพื่อนก็ไม่วุ่นวาย
ใช้ชีวิตเอื่อยเชื่อยไปวันๆ จนตายตอนอายุหนึ่งพันปี ก็นะทุกระดับจิตวิญญาณจะทำให้อายุขัยยืดยาวหนึ่งพันปี ยกเว้นระดับศักดิ์สิทธิ์ที่ทางหอคอยแจ้งว่าเป็นนิรันดร์
ระบบจากทางหอคอยจะขึ้นแจ้งเตือนเป็นกระดานสี่เหลี่ยมเล็กๆไม่ใหญ่มาก ทุกคนต่างก็มองเห็นของใครของมัน โดยมีการแจ้งเตือนหรือกล่าวรายละเอียด เหมือนตอนที่มันปรากฏครั้งแรก
ว่าถ้าพิชิตหอคอยในแต่ละชั้นตามกำหนดไม่ได้ มนุษยชาติจะต้องล่มสลาย
ทางหอคอยสามารถให้กลุ่มคนสำรวจชั้นถัดไปโดยมีข้อกำหนดไว้ว่า ถ้าไม่โจมตีพวกมันก่อน พวกมันจะไม่โจมตีเช่นกัน ยกเว้นเจ็ดวันสุดท้ายก่อนการพิชิต เพราะสัตว์อสูรในนั้นจะอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง
จนบางครั้งอาจจะทะลักออกมาข้างนอกแล้วฆ่ามนุษย์ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เกอยังคงต้องต่อสู้เป็นและมีการพัฒนาจิตวิญญาณเสมอ แม้จะไม่เป็นที่ต้องการของคนกลุ่มอื่น
เกอหลายคนทยอยเข้ามาในห้อง โดยมีบางคนสนใจเยว่ชิงเพราะแต่ก่อนเจ้าตัวเน้นมืดมนราวกับหมอผีที่มักจะมีบรรยากาศราวกับว่า ห้ามเข้ามาใกล้นะไม่งั้นฉันจะสาป ประมาณนี้พอเปลี่ยนทรงผมเปลี่ยนบุคลิกภาพเล็กน้อยก็ทำให้ดูแปลกตา
ไม่นานหลังจากนั้นอาจารย์ประจำสาขาของนักศึกษาปีสองก็เข้ามาก่อนจะแจ้งข่าว
"เนื่องจากสถานการณ์ใกล้สงครามตัดสิน คณะอาหาร ขนมและเครื่องดื่มจะย้ายไปยังถนนที่แปด เขตสงคราม นักศึกษาปีหนึ่งถึงปีสี่มีหน้าที่รับผิดชอบในการทำอาหาร ขนมและน้ำดื่มประจำคลาสนั้นๆ เดี๋ยวยังไงเตรียมเดินทางกันเถอะ"
นักศึกษาราวๆ สามสิบชีวิตเดินลงบันไดก่อนจะเดินไปด้านหน้าเขตวงเวียนใหญ่จากนั้นก็เดินไปยังถนนเขตแปด โดยมีสาขาอื่นๆ ราวๆ ร้อยกว่าชีวิตมุ่งไปที่เดียวกัน
ในส่วนสาขาการต่อสู้ตั้งแต่ชั้นปีแรกถึงปีสี่ต่างก็รวมตัวในเขตสนามพลัง ด้านนอกยังมีกลุ่มนักศึกษาจากประเทศอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ลูกหลานในตระกูลจะได้รับการสั่งสอนจากตระกูลแทน เนื่องจากพวกเขาเป็นต้นแบบอาวุธและคลุกคลีจนชำนาญ เช่นตระกูลดาบซามูไร ตระกูลจอมเวทย์ผู้ใช้คทา
เมื่อเยว่ชิงเห็นสิ่งมีชีวิตหลายพันคนรวมตัวกันจนทำให้ตาลายก็ยกมือคลึงขมับก่อนจะแยกตัวไปทำแซนวิซง่ายๆ ยืนประกอบไปมากับสมาชิกเกอราวๆ สี่สิบคน
โดยส่วนใหญ่เป็นเด็กปีหนึ่ง โดยมีปีสอง สี่ห้าคนและปีสามปีสี่อย่างละคนที่คอยยกไปตั้งด้านนอก
"เร่งมือเร็วเข้า"เสียงตะโกนจากทั่วทุกสารทิศเป็นอันเข้าใจว่าผู้คนล้นทะลักที่ด้านนอก ต้องการของกินเข้าไปด้านใน เพราะนอกจะมีการฝึกฝนแล้วยังมีการประชุมต่างๆ อีกด้วย
"หวา"เสียงแผ่วเบาเรียกสายตาของเยว่ชิงให้มองเด็กปีหนึ่งที่ยืนข้างๆ เจ้าตัวหยิบจับของล่าช้าแถมดูเงอะงะเป็นพิเศษ เยว่ชิงเลยเอาของเจ้าตัวมาประกบกันก่อนจะใส่ลงกล่องยื่นไปด้านหน้าให้คนแพ็ค
"อย่าลน ไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น เราอยู่ด้านในไม่มีใครเห็นหรอก ขนาดฉันยังไม่เห็นใครเลย"เกอปีหนึ่งหลายสิบคนหันมามองพร้อมกัน พวกเราดูไม่มีตัวตนในสายตาพี่ปีสองคนนี้เลยสินะ
"ขอบคุณครับพี่"เจ้าตัวฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
[ตรวจพบว่าที่พันธมิตรผู้ที่ไม่คิดทรยศหักหลัง
จิวอิง ผู้มีจิตวิญญาณปลากลืนวิญญาณหยินหยาง
แนะนำโฮสต์ผูกมิตร เด็กหนุ่มคนนี้เชื่อถือได้]
"เยว่ชิง ฉันชื่อเยว่ชิง"เจ้าตัวเอ่ย มือทั้งสองข้างเป็นระวิงจากการทำแข่งกับเวลา
"ครับพี่เยว่ชิง ผมจิวอิงครับ"
[ปลากลืนวิญญาณหยินหยางมักจะปรากฏเหนือน่านน้ำสวรรค์ ดินแดนสามพิภพ ภพสวรรค์ นรก มนุษย์ น่าแปลกใจที่ปรากฏตัวที่นี่ แถมปรากฏในฐานะ อสูรกายประจำนรก มีดวงตาที่สามไว้คอยดูกลืนชีวิตด้วยพลังหยิน มีพลังป้องกันระดับสูงจากพลังหยาง]
ระบบเอ่ยบอกแถมเล่าเรื่องราวของคุน อสูรกายแห่งนรก เยว่ชิงได้แต่รับฟังไว้มองคนข้างๆ ถึงแม้หน้าตาจะน่ารักน่าเอ็นดูแต่ร่างกายกลับผอมเพรียวความสูงแค่ไหล่ของเยว่ชิงเท่านั้น
เอาเถอะ บางครั้งการมีเพื่อนคุยก็อาจจะดีกว่าอยู่คนเดียวก็ได้