" พี่ชาย ท่านพาข้าไปส่งที่บ้านสกุลอู่ด้วยเถิด รับรองว่าท่านจะได้เงินทองไม่น้อยแน่ "
คุณหนูอู่พูดเสียงแผ่วผิดแปลกไป เพราะการแนบชิดกับบุรุษเพศเช่นนี้ โยกคอนให้ใจนางสั่นสะท้านไม่น้อย
" ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ข้าไม่อาจไปส่งเจ้าได้หรอกน้องชาย เอาไว้ถึงที่ปลอดภัย แล้วเจ้าคงต้องหาทางกลับบ้านเองแล้ว "..
เสียงกังวาลใสที่ระบายมากับลมหายใจอบอุ่นสัมผัสใบหน้า ทำเอาเด็กสาวระทกระทวยอยู่ในอ้อมแขนที่รัดกาย
ทว่าถ้อยคำของมัน กลับพลิกให้อารมณ์นางแง่งอนขึ้นมาทันใด
" เหตุใดไปไม่ได้ ท่านคิดทอดทิ้งข้าพเจ้าอย่างนั้นรึ ! "
น้ำเสียงเคืองขุ่นของนาง ลอยล้อไปกับท่าร่างท่องนภา ล่อนกายแผ่วเบาลงเชิงผาสูงตระหง่าน
ทันทีที่เท้าแตะพื้น ชายหนุ่มพลันปล่อยแขนออกจากเอวบาง แล้วเดินเบี่ยงไปเชิงผา เหม่อมองลงไปยังหุบเหวอันลึกล้ำดั่งไร้ที่สิ้นสุด
" อาจารย์สั่งให้ข้ารอคอยอยู่ที่นี่ หากข้าไปส่งเจ้า ย่อมกลับกลายเป็นคนตระบัดสัตย์ เจ้าปราถนาให้คนเลวทรามไปเยี่ยมเยือนบัานเจ้ารึ ? "
" โฮ้ !...พี่ชายพูดขนาดนี้ ข้าก็อับจนถ้อยคำแล้ว คงต้องอยู่คอยอาจารย์เป็นเพื่อนท่าน รอจนท่านเสร็จธุระแล้วคงไปส่งข้าพเจ้าได้ใช่หรือไม่ " เด็กสาวชะโงกหน้ามามองด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากล
ทำเอาชายชุดเขียวต้องระบายยิ้มเฝื่อนๆตาม
" น้องชาย เจ้ามีสติปัญญาว่องไวนัก หากฝากตัวเป็นศิษย์กับอาจารย์ข้า รับรองว่าบรรลุเป็นเซียนได้ไม่ยากเย็นเลย "
" ชิ !...เป็นนักพรตมีอันใดดี ไม่ได้กินเนื้อ ไม่ได้ดื่มสุรา ต่อให้มีชีวิตอมตะก็นับว่าเป็นความจืดชืดอันยืนยาวสิ้นดี " นางกล่าวฉอดๆ แสดงสิ่งที่อยู่ในใจโดยไม่กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย
" เซียนไม่ได้แค่มีชีวิตยืนยาวหรอกน้องชายแซ่อู่ " มันกล่าวพร้อมเป่าลมลงไปในกังหันลมในมือ ให้ใบสี่แฉกหมุนวนไป
" วิถีเซียนเป็นดั่งเมฆหมอกเฉื่อยฉิวอย่างเจ้างั้นเหรอ ? " นางเริ่มเย้ยหยันหยอกล้อ คล้ายเห็นมันเป็นสหายรู้ใจแล้ว
" แค่บางส่วนเท่านั้นล่ะ ส่วนที่เหลือคือวิถีแห่งธรรมชาติ … เมื่อมีลมหายใจทั้งเจ้าและข้าจึงมีชีวิต มีชีวิตจึงมีโลก มีโลกจึงมีสายลม และเมื่อมีลมเจ้ากับข้าจึงหายใจได้ ความสัมพันธ์ชนิดนี้แหละคือวิถีแห่งเซียน "
เด็กสาวกอดอกโยกตัวไปมาเหมือนล้อเลียนมัน
" ข้าเพียงหยอกเย้าเจ้าเล่นๆ เหตุใดต้องพูดยืดยาว ข้าไม่ได้ยากเป็นเซียนสักหน่อย "...
ชายหนุ่มได้แต่ลูบท้ายทอย หัวเราะคิก คิกแก้เก้อ เหมือนมันไม่รู้จักการละเล่นเช่นเด็กน้อยมาเนินนาน
ทว่าทั้งคู่หาได้นิ่งสงัดกับความขวยเขินนานนัก เพราะเบื้องหลังเกิดลมปราณแกร่งกล้าพวยพุ่งมากับคำเสียดเย้ยแหบพร่า
" น้องอู่จ้าว !...อย่าไปเสียเวลาสนทนากับนักพรตจืดชืดเลย มันไม่มีอารมณ์เริงเล่นเช่นปุถุชนหรอก "
คุณชายหยวนวิ่งขึ้นเนินผามาพร้อมเสียงตะโกนดังลั่น ด้านหลังมันยังตามติดมาด้วยยี่สิบคุณชายที่ถือกุมกระบี่ กับเก้าขอทานร่ายไม้เท้ามาไม่ห่าง
" ท่านตามข้าพเจ้ากลับไปรับทานอาหาร ร่ำสุราให้สำราญเถิด วิถีของท่านสมควรเสวยสุขในเมืองนู้น หาใช่ป่าดงพงไพรหรอกคุณหนู "... คุณชายหยวนยังคงหว่านล้อมด้วยแววตาเจ้าเล่ห์ พร้อมกับขวางกระบี่ไว้หว่างอก อีกมือผายให้พวกพ้องควงกระบี่ แกว่งไม้เท้าเข้ารายล้อม
" แย่แล้ว !...แย่แล้ว พี่ชายทำอย่างไรดี ? "
ดรุณีน้อยสะดุ้งตัวเข้าไปเกาะแขนชายหนุ่ม พร้อมเหลียวมองไปทางหุบเหวลึกอย่างอับจนหนทางรอด
" ไม่มีทางถอยหนีอีกแล้วน้องชาย เจ้าสมควรส่งมอบคุณหนูอู่มาเถิด อย่าให้ต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันเลย " ขอทานเฒ่าข่มขู่ตามต่อ เหมือนมันจะหยามใจที่เห็นชายชุดเขียวไม่ตอบโต้ จึงทำลายขวัญซ้ำซ้อนอีก
" จิตใจคนนี่ช่างประหลาดพิกล ใช้อาวุธไล่ฆ่าฟันอยู่ดีๆ ก็มาหว่านล้อมให้ยอมจำนน คงเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือแล้วกระมั้ง " ชายชุดเขียวระบายคำอย่างเอื้อมระอา พลางเอื้อมมือไปจับเอวเด็กสาวอีกครั้ง
" พี่ชาย !..นี่ท่านจะทำอะไร เราหมดหนทางหนีแล้วนะ "
เด็กสาวไม่ทันกล่าวจบความ ร่างนางก็พลันลอยละล่องไปกับชายชุดเขียว ร่วงละลิ่วลงจากเชิงผา ตกดิ่งรวดเร็วจนนางกรีดเสียงร้องลั่น
ก รี๊ ด ด ด ด…..
ระหว่างร่างทั้งคู่ร่วงละลิ่วลงจากอากาศ ชายหนุ่มพลันแผดเสียงกู่ร้องยืดยาวเสียดเย้ยไปกับเสียงกรีดร้องของเด็กสาว ดั่งร่วมประสานโทนเสียงก็ไม่ปาน
แตกต่างเพียงเสียงกู่ร้องของชายหนุ่มแฝงไว้ซึ่งพลังวัตรแกร่งกล้า สะท้อนสะท้านแรงให้พวยพุ่งสู่หุบเหว ที่ซึ่งมีเพียงม่านหมอกปกคลุมจนมองไม่เห็นพื้นเบื้องล่าง
ในพริบตาที่เสียงสะท้อนก้อง ม่านหมอกขาวหม่นที่เบื้องล่างได้เกิดแยกเป็นโพลงแหวกออกหลายสิบสาย พลันนั้นหมู่นกกระเรียนปีกขาวนวลสิบกว่าตัวได้บินทะยานฝ่าสายหมอก พวยพุ่งสวนทางกับทั้งคู่ขึ้นสู่เบื้องบน
" เกาะข้าไว้แน่นๆน้องชาย "
" ไม่ต้องบอก ข้าก็เกาะเจ้าไม่ปล่อยอยู่แล้ว วู้ ว ว ว ว ! "... นางร้องเสียงหลง ตัวเกร็งกระตุกโอบรัดวงแขนกับลำคอชายหนุ่มไว้แน่น
นางสัมผัสถึงไออุ่นระอุแผ่ออกจากกายชายหนุ่ม ขณะมันพลิกผันท่าร่างกลางฟ้า แล้วางเท้าแตะสัมผัสกับหลังนกกระเรียนที่บินสวนมา ส่งให้เกิดแรงลอยขึ้น ลดทอนแรงตกให้เชื่องช้าลง มันกระทำท่าร่างเช่นนี้อีกสี่ครากับนกสี่ตัว จนร่างทั้งคู่ฝ่าม่านหมอกลงลึก จากนั้นมันจึงเปลี่ยนท่าร่างเป็นหมุนวน จนอาภรณ์ทั้งคู่สยายไหวดั่งปีกกังหันลมกรูเกรียวลงสู่พื้น
" โ ว้ ว ว ว…. นี่เจ้าทำได้อย่างไรเนี่ย อย่างกับเซียนเหยียบเมฆเลย ? "...เด็กสาวร้องลิงโลดเริงร่า กระโดดเร้าๆทั้งที่ยังกอดคอชายหนุ่มไว้แน่น
" ถ้าเจ้าชอบ ลองเล่นอีกรอบดีหรือไม่ "
" เอะ !.. นี่เจ้าพูดจริง หรือพูดเล่นเนี่ย ? "
" ข้ากำลังฝึกหัดล้อเล่น เจ้าชื่นชอบหรือไม่ ? "
เด็กสาวหัวเราะคิก คิก ชอบใจ ขณะปล่อยแขนออกจากลำคอมัน
" นับว่ามีความพยายามเริงเล่นอยู่บ้าง แต่ต้องฝึกหน้าตาให้ยิ้มแย้มกว่านี้นะ " นางกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย ขณะสบตากับดวงตาสีเทาอ่อนด้วยความไว้วางใจดั่งรู้จักคบหากันมาเนินนาน
นางสัพยอกเบิกบาน หากเพียงครู่เดียวกลับมองเห็นใบหน้าชายหนุ่มพร่าเลือนไป เพราะหมอกหนาเข้าปกคลุม จนละอ่องขาวหม่นมัวอบร่ำทั่วทั้งบริเวณ
" ประหลาดจริง นี่เที่ยงวันแท้ๆเหตุใดยังมีหมอกปกคลุมหนาขนาดนี้ " นางยกฝ่ามือขึ้นมองทั้งที่ปากยังพร่ำความสงสัย
" วิชาหมอกมายาของนักพรตไท้ซาน …เจ้าสมควรขึ้นมาขี่บนหลังข้าไว้นะน้องชาย "
" นี่เจ้าล้อเล่นอีกแล้วรึ ? "
เด็กสาวเอ่ยทักไม่ทันจบ ก็ต้องมีอันสะดุ้งจนตัวโยน เมื่อรู้สึกว่าตรงข้อเท้าถูกมือเยียบเย็นสัมผัสต้อง
" อุ๊ย !...นี่ใครกัน "...
นางร้องแตกตื่น พลางถอยร่นมาเกาะแขนชายหนุ่มไว้มั่น
ที่นางเห็นนอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น คือนักพรตวัยกลางคนร่างเล็กสันทัด มันนอนหอบหายใจถี่ ยื่นแขนสั่นระริกมาขอความช่วยเหลืออย่างน่าเวทนา
" พี่ชายท่านเป็นไรหรือไม่ ? " ชายหนุ่มรีบเข้าไปช่วยประคองมันขึ้นนั่ง แล้วประกบฝ่ามือยังแผ่นหลัง ถ่ายทอดพลังวัตรช่วยชุบชีพจรมันให้ฟื้นขึ้น
" แค๊ก แค๊ก แค๊ก…พ่อหนุ่มน้อยอย่าได้เปล่าเปลืองพลังวัตรเลย พวกลัทธินอกรีตมันยังอยู่แถวนี้มากมายนัก " นักพรตร่างเล็กไอแห้งๆ พูดเสียงแผ่วราวลอยละเมอมาจากแดนปรโลก
" เกิดเหตุอันใดขึ้นท่านพี่ " ชายหนุ่มกล่าวพลางย้อนพลังวัตรคืนสู่กาย แล้วตรงเข้าประคองไหล่มันขึ้น
" แค๊ก แค๊ก แค๊ก…ลัทธินอกรีตมันใช้เล่ห์กลหลอกลวงพวกเราทั้งสี่ธรรมบรรพต ให้มาติดกับดักแล้ว "
" เป็นไปได้อย่างไรทั้งสี่เซียนล้วนมาชุมนุมกันที่นี่ จะมีผู้ใดกล้าทำร้ายพวกท่านได้ "
" เจ้าดูสภาพเราเถิด ดูหมอกมายานี่เถิด ทั้งหมดเป็นการลงมือของลัทธิมณีกีทั้งสิ้น "
เมื่อได้ยินคำว่าลัทธิมณีกี เด็กสาวพลันขมวดคิ้วขุ่น เพราะบิดานางเคยตอนรับแขกจากลัทธินี้อยู่หลายครา นางเห็นว่าพวกมันล้วนฉลาดเฉลียว ชอบร้องรำทำเพลง ไม่ได้มีท่าทีอำมหิตจะทำร้ายใครได้
" แล้วทั้งสี่ปรมาจารย์อยู่ที่ใดแล้วพี่ชาย ท่านพอบอกหนทางได้หรือไม่ ? " ชายหนุ่มยังคงถามตามต่อด้วยสีหน้าสุดห่วงใย
" อยู่ในถ้ำม่านน้ำ ทางตะวันออกนู้น…"
ไม่ทันสิ้นเสียง อาวุธมีคมพลันพวยพุ่งฝ่าอากาศเข้าใส่คนทั้งสาม
ก รี๊ ด ด ด ด….
คุณหนูอู่กรีดร้องลั่น พร้อมเพรียงกับที่ชายหนุ่มกระโดดเข้าขวางตัวนาง พานางหลบเลี่ยงอาวุธมีคมที่พุ่งโฉบเฉี่ยวฝ่าอากาศ
" ยังไม่รีบขึ้นมาบนหลังข้าอีก ! " ชายหนุ่มรีบย่อตัว เร่งกระตุ้นนางอีกครั้ง
ทันทีนั้นเด็กสาวรู้แล้วว่ามันไม่ได้กล่าววาจาล้อเล่น นางรีบกระโดดขึ้นไปเกาะหลังมัน สองแขนโอบรัดคอชายหนุ่มแน่น และเพียงอึดใจนางก็พลันพัดพลิ้วไปตามท่าร่างอันเลื่อนไหล
ชายหนุ่มเคลื่อนขยับดั่งสายลมวูบไหว หลบเลี่ยงอาวุธคมวาวที่พุ่งผ่านสายหมอกดัง เฟี้ยว เฟี้ยว เฟี้ยว…
อาวุธบินระดมพุ่งใส่ดั่งปักษาปีกเหล็ก โผผินกระหายโลหิต
แม้ชายหนุ่มจะมีวิชาตัวเบาเลิศล้ำ หากอาวุธบินมีมากเกินไป พุ่งมารวดเร็วเกินไป จนชายหนุ่มต้องคว้ากระบี่ที่ตกอยู่ข้างกายนักพรตร่างเล็ก ขึ้นมาตวัดกวัดแกว่งปะทะกับอาวุธบินดัง กร๊อง แกร๊ง กร๊อง แกร๊ง
" เจ้ายังไม่ลงมือจู่โจมอีกหรือพี่ชาย หากตั้งรับอยู่แบบนี้ คงไม่ได้มีชีวิตไปกราบอาจารย์เจ้าแล้ว " เด็กสาวร้องเสียงหลง ทั้งหวาดกลัวทั้งหงุดหงิด ที่เห็นชายหนุ่มเอาแต่ควงกระบี่ปกป้องกาย
" ศิษย์เลวทรามนัก ไม่อาจทำตามคำสั่งอาจารย์ได้แล้ว ! " ชายหนุ่มกล่าวก้องไปพร้อมร่ายกระบี่สวนทางไปกับอาวุธบินที่โฉบใส่
อ๊ า ก ก ก ก !
เพียงพริบตากระบี่คมกริบพลันทะลวงแทงเข้าใส่ลำคอคนสัดอาวุธ ลงไปล้มขมำกับพื้น
แต่ยังมีคนใส่ชุดดำปิดหน้าตาอีกสามคนอยู่ไม่ห่าง พวกมันต่างกำอาวุธโจนเข้าใส่
โดยชายหนุ่มเพียงบิดกายหลบเลี่ยง แล้วพลิกข้อมือตวัดกระบี่สวนกลับ เข้าที่คอหอยคนทางซ้าย จนมันถอยถลาไปด้วยเลือดทะลักนองลำคอ
อีกสองคนแตกตื่นกับเพลงกระบี่ชายหนุ่มจนถอยล้นไปหลายก้าว ถึงกระนั้นพวกมันยังไม่วายสัดอาวุธเข้าใส่ ก่อนจะวิ่งเตลิดหายลับไปในสายหมอก
ส่วนกระบี่ในมือชายหนุ่มพลันแกว่งไกว แทงสวนอาวุธบินที่โจนมา เกี่ยวมันให้ควงหมุนเข้าไว้ในคมกระบี่ยาว
ที่แท้อาวุธบินที่พวกมันใช้ เป็นห่วงทรงกลมแบนแหลมดั่งคมมีดเป็นวง เป็นอาวุธที่ชาวต้าถังไม่คุ้นเคยนัก
" ชาร์แครม ! "...เด็กสาวร้องบอกด้วยดวงตาเหลือกกว้าง ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้เห็นอาวุธต่างแดนในสถานการณ์เช่นนี้
" เจ้ารู้จักอาวุธประหลาดนี่หรือ " ชายหนุ่มถามงงๆ ขณะหยิบห่วงคมออกจากตัวกระบี่ ออกมาพลิกมองไปมองมา
" ย่อมต้องรู้จักอยู่แล้ว เคยมีคาราวานพ่อค้าเปอร์เซียเอาอาวุธนี้มาให้ข้าเล่น พวกมันว่าเป็นอาวุธที่ใช้ได้ยากเย็น มีอันตรายกับคนใช้มากกว่าคนที่ต้องการโจมตีเสียอีก " เด็กสาวอธิบายพร้อมปล่อยแขนจากคอชายหนุ่ม แล้วก้าวลงไปยืนกับพื้น
นางล้วงมือเข้าอกเสื้อ หยิบเอาผ้าเช็ดหน้าเนื้อแพรสีชมพูออกมาคลุมฝ่ามือ ก่อนจะยื่นไปรับห่วงใบมีดจากมือชายหนุ่ม
เด็กสาวพลิกมองไปมา ดูเนื้อโลหะที่หนาหนักกว่าชาร์แครมที่นางเคยเห็น คมมีดก็บิดขึ้นๆลงๆ คล้ายของทำเลียนแบบมากกว่า
แต่นางไม่ทันได้เอ่ยปากบอกชายหนุ่ม มันกลับพลันร้องเสียงดังเหมือนนึกอะไรขึ้นได้
" แย่แล้ว !...พี่ชายร่างเล็กนั้นเป็นไรหรือไม่ ! " มันรีบผลุนผลันไปยังนักพรตชุดเทาที่นอนร้องด้วยความเจ็บปวด
ชายหนุ่มรีบเข้าไปช่วยห้ามเลือดสมานแผล ปล่อยให้เด็กสาวยืนเคว้งคว้าง ค้างคาใจกับเหตุการณ์ที่เกิด
ใจนางสั่นระรัวขณะเดินเข้าไปใกล้ศพชายชุดดำทั้งคู่ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นคนตกตายกับตา มือนางเย็นเฉียบตอนที่ดึงผ้าปิดหน้าชายชุดดำออก เผยให้เห็นใบหน้าซีดเผือก ตาเหลือกค้าง
" เอะ !...เหตุใดมันเป็นชาวต้าถังเล่า ? "
เสียงร้องของนางกวักเรียกให้ชายหนุ่มช่วยพยุงนักพรตร่างเล็กเข้ามาหานาง
" เจ้าหมายความว่ายังไง ? ทำไมมันจะเป็นชาวต้าถังไม่ได้เล่า ? "
" เจ้านี่ถามพิกล ก็มันบอกมิใช่รึว่าพวกลัทธิมณีกีลอบทำร้ายพวกเรา ข้ายังไม่เคยพบเจอชาวต้าถังอยู่ในลัทธินี้สักคน "
คำกล่าวของนางทำเอาชายหนุ่มทั้งคู่หันมองหน้ากัน ด้วยแววตาเกลื่อนล้นคำถาม แล้วพวกมันต้องตื่นตะลึงกว่าเก่า เมื่อเด็กสาวบอกความคิดอ่านที่อยู่ในใจ
" ในหมู่พวกท่านทั้งสี่ธรรมบรรพต มีใครสักคนหักหลังเข้าแล้ว ซ้ำมันยังโยนบาปให้ลัทธิมณีกีด้วย "
" แค๊ก แค๊ก แค๊ก เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด ท่านทั้งสี่เซียนล้วนหลุดพ้นโลกีย์วิสัย ไม่มีผู้ใดมีจิตใจกลับกลอกทำร้ายคนหรอก " นักพรตเตี้ยกล่าวเคืองขุ่น ทั้งที่เสียงแหบโหยเต็มที
ทว่าเด็กสาวยังลอยหน้าลอยตาตอบ โดยไร้ความหวั่นเกรงใดๆ
" เป็นเซียนนั้นล่ะอันตรายที่สุด เมื่อไร้จิตใจอย่างคนสามัญ จึงไม่อาจคาดเดาการกระทำมันได้ ! "...
นางโต้แย้งไปด้วยความไวปัญญา โดยไม่เฉลี่ยวใจสักนิด ว่าเซียนวิเศษพวกนั้นได้กระทำเรื่องเกินคาดคิดไปไกล
ไกลเกินผู้คนจะเข้าถึงได้ท่องแท้นัก…