webnovel

หมอหญิงกับลูกลิงทั้งสาม

เธอคือหมอ(รักษาสัตว์)เทวดาคนแรกของอาณาจักร เริ่มจากข้ามมิติมาอยู่ในร่างของเด็กสาวชาวบ้านผู้แสนยากจน ทางซ้ายมีท่านแม่ที่ป่วยกระเสาะกระแสะ ทางขวาก็มีน้องชายตัวน้อยคอยให้ป้อนข้าว ที่แย่ไปกว่านั้นคือ เธอถูกผู้ชายเฮงซวยยกเลิกการแต่งงาน… ให้ตายเถอะ! เสือไม่โอ้อวดพลังก็จริง แต่เห็นเธอเป็น HelloKitty หรืออย่างไร ถึงมารังแกกันแบบนี้?! สั่งสอนผู้ชายเฮงซวย รักษาอาการป่วยของท่านแม่ เลี้ยงดูน้องชายที่ผอมแห้งแรงน้อย บุกเบิกที่นารกร้าง ปลููกพืชบนที่ดินว่างเปล่า นั่งดูความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข วันเวลาอันแสนสุขค่อยๆ ผ่านไป... วันหนึ่งก็ได้ยินว่าเทพแห่งความตายผู้น่าสะพรึงกลัวจะมาเยือนถึงหน้าบ้าน บังคับขู่เข็ญให้เธอแต่งงานด้วย? ถึงเธอจะชอบผู้ชายหน้าตาดีก็เถอะ แต่ได้ยินว่าท่านอ๋องผู้นี้… “ท่านอ๋อง พวกเราไม่ได้สนิทกันเสียหน่อย!” หญิงสาวพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เหอะๆ” ท่านอ๋องยกยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย แล้วคว้าเด็กน้อยตัวอ้วนจ้ำม่ำสามคนออกมาจากด้านหลัง “เรียกแม่สิ” เธอล่ะอยากจะเป็นลม...

เพียนฟางฟาง · História
Classificações insuficientes
946 Chs

006 อาหวั่นนางเปลี่ยนไป

บทที่ 6 อาหวั่นนางเปลี่ยนไป

“ท่านพี่! ท่านพี่! ท่านนำไก่กลับมาแล้ว! ท่านกลับมาแล้วจริงๆ ท่านเก่งอะไรเช่นนี้!”

เถี่ยตั้นน้อยที่เศร้าสร้อยก่อนหน้านี้ ได้เปลี่ยนเป็นเด็กน้อยจอมเจื้อยแจ้วที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปมาทันที

อวี๋หวั่นอุ้มน้ำแกงไก่แล้วเดินเข้าไปในครัว

เถี่ยตั้นน้อยวิ่งวนไปมารอบตัวอวี๋หวั่น

เขาวิ่งจนอวี๋หวั่นเวียนหัว เธอจึงชี้ไปที่เก้าอี้เตี้ยๆ ด้านข้าง พร้อมกล่าวว่า “นั่งลง”

“อื้อ” เถี่ยตั้นน้อยนั่งลงอย่างว่าง่าย

อวี๋หวั่นเปิดฝาโถออก

อันที่จริง เนื้อไก่ต้มสุกแล้ว ทั้งยังตักใส่โถไว้สักพัก ทำให้เนื้อไก่ดูดซับกลิ่นหอมของหน่อไม้ ราวกับหมักเอาไว้ก็มิปาน สองรสเลิศผสมผสานกัน ทำให้น้ำแกงไก่ส่งกลิ่นหอมยิ่งกว่าเดิม

เถี่ยตั้นน้อยอยากกินจนน้ำลายไหล

อวี๋หวั่นป้อนเนื้อไก่ชิ้นสีเหลืองทองเข้าปากเถี่ยตั้นน้อย

“อร่อยไหม” อวี๋หวั่นเอ่ยถาม

เถี่ยตั้นน้อยน้ำตาคลอเบ้า เขาผงกหัว อร่อย! อร่อยจนเขากลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

“ยังเจ็บแก้มอยู่ไหม” อวี๋หวั่นถามต่อ

เถี่ยตั้นน้อยส่ายหัวไปมา ได้กินเนื้อ ก็หายเจ็บเสียสนิท

อวี๋หวั่นเห็นรอยแดงบนหน้าของเขาจางลงบ้างแล้ว จึงพยักหน้า ไม่ถามอะไรต่อ

ทันใดนั้นเอง เธอก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงหันไปถามเถี่ยตั้นน้อย “เมื่อวานเจ้าบอกว่า ไปกินข้าวที่บ้านใครนะ?”

“บ้านท่านย่า” เถี่ยตั้นน้อยกล่าวจบ ก็มองอวี๋หวั่นอย่างกล้าๆ กลัวๆ

อวี๋หวั่นคิดในใจว่า ‘ฉันยังไม่ได้ห้ามเธอไม่ให้ไปกินข้าวที่บ้านคนอื่น ทำไมทำหน้าเหมือนกลัวฉันขนาดนั้น?’

แต่ว่า ท่านย่าหน้าตาเป็นอย่างไร ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ไม่มีบุคคลอันดับหนึ่งผู้นี้อยู่เลย

“เจ้าบอกว่ากินไม่อิ่ม” อวี๋หวั่นเอ่ยถามอีก

เถี่ยตั้นน้อยอ้าปากค้าง และตอบว่า “นั่น...นั่นเพราะ...”

“อยู่ที่บ้านท่านย่าไม่สนุกสินะ” อวี๋หวั่นกล่าวเสียงเบา

“เอ๋?” เถี่ยตั้นน้อยทำตาโต

อวี๋หวั่นเปิดตู้เก็บถ้วยชาม หยิบชามใบใหญ่ออกมาหนึ่งใบ เธอตักเนื้อไก่และหน่อไม้ครึ่งหนึ่งใส่ชาม และบอกว่า “เจ้าเอาไปให้ท่านย่า พี่จะไปผัดผัก”

“ท่าน...ท่านย่าตายไปนานแล้ว มีแต่ท่านลุงใหญ่” เถี่ยตั้นน้อยทำหน้าราวกับเห็นผี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอวี๋หวั่นไม่รู้ว่าท่านย่าเสียไปแล้ว หรือเพราะอวี๋หวั่นให้นำอาหารไปให้บ้านนั้นกันแน่

อวี๋หวั่นกล่าวเสียงเรียบว่า “แน่นอน พี่รู้ว่าท่านย่าตายไปนานแล้ว แต่พี่บอกว่าให้เอาไปให้ที่บ้านท่านย่า”

เมื่ออวี๋หวั่นตักน้ำแกงไก่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็วางชามครอบไว้ด้านบน และนำผ้ามาผูกไว้ให้แน่น พร้อมกับบอกเถี่ยตั้นน้อยว่า “ไม่ร้อนแล้ว อุ้มไปเถอะ”

เถี่ยตั้นน้อยรับน้ำแกงไก่มา และเดินออกไปอย่างร่าเริง

……

ระยะทางไปบ้านลุงใหญ่เป็นกึ่งหนึ่งของระยะทางจากบ้านของอาหวั่นถึงแปลงผัก และอยู่ทิศตรงกันข้ามกับทางไปบ้านสกุลจ้าว

เมื่อเถี่ยตั้นน้อยอุ้มชามน้ำแกงไก่ไปถึงนั้น ลุงใหญ่กำลังนั่งรับแสงแดด และกอดไม้เท้าหนึ่งอันไว้ในอ้อมอก

ทันทีที่ลุงใหญ่เห็นเถี่ยตั้นน้อย ใบหน้าอันเต็มไปด้วยความวิตกกังวลก็แปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มใจดี “เถี่ยตั้นมาแล้วรึ เหตุใดวันนี้จึงมาช้านักเล่า ป้าสะใภ้ใหญ่ของเจ้าออกไปข้างนอก มีโจ๊กอยู่ในหม้อ ลุงจะไปอุ่นให้”

เขาพูดพลางใช้ไม้เท้าพยุงตนเองยืนขึ้น

เถี่ยตั้นน้อยพยักหน้า เขาส่งชามที่อุ้มไว้ให้ลุงใหญ่ และกล่าวว่า “ท่านลุงใหญ่ วันนี้ข้าไม่ได้มากินข้าว ข้านำน้ำแกงไก่มาให้ท่าน ในน้ำแกงมีเนื้อไก่เยอะมาก! ทั้งยังมีหน่อไม้อีกด้วย! ท่านพี่เป็นคนทำเอง! นางให้ข้านำมาให้ท่าน!”

ได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของลุงใหญ่ก็หายไปทันที

…...

ฟ้าในเหมันตฤดูมืดเร็วยิ่งนัก ทว่าท้องฟ้าสายันต์กลับสีจางลง เกล็ดหิมะเล็กๆ ปลิวเย้าไปกับสายลม

ป้าสะใภ้ใหญ่พาบุตรชายทั้งสามคนกลับมาแล้ว

วันนี้ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านข้างๆ จัดงานเลี้ยง พวกเขาจึงไปช่วย งานนี้ไม่ได้เงิน แต่ได้แป้งข้าวโพดห้าจิน และข้าวกล้องสองจิน อีกทั้งยังได้กากหมูติดไม้ติดมือกลับมาอีกครึ่งชาม แม้ว่าของเหล่านี้จะไม้ได้มีปริมาณมากพอให้ผ่านพ้นฤดูหนาวนี้ไปได้ แต่ก็ทำให้มีชีวิตต่อไปได้อีกครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนอาจฟังดูน้อยแสนน้อย แต่ใครใช้ให้ในครอบครัวมีกันหลายคนเล่า ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากบุตรสาวสามขวบแล้ว คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ท้องยุ้งพุงกระสอบ

“หลายวันมานี้เถี่ยตั้นกินข้าวไม่อิ่ม ข้าจะไปนึ่งหมั่นโถวแป้งข้าวโพดให้” ป้าสะใภ้กล่าว และเดินไปยังห้องครัว

ลุงใหญ่เรียกให้นางหยุด เขาส่งชามน้ำแกงไก่ให้ พร้อมทั้งเล่าเรื่องของอาหวั่นให้นางและบุตรของเขาฟัง

สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่ชามที่วางอยู่บนโต๊ะ ต่างคนต่างทำสีหน้าเหลือเชื่อ

“ไก่มาจากบ้านนาง?” ป้าสะใภ้ใหญ่เอ่ยถาม

“เหตุใดนางต้องนำไก่มาให้พวกเราด้วย?” บุตรคนโตพึมพำ

“มิใช่ว่ามีแต่ตูดไก่หรอกรึ!” บุตรคนรองหัวเราะแดกดัน

“ตูด” บุตรสาวตัวน้อยกำลังฝึกพูด

ลุงใหญ่อุ้มบุตรสาวขึ้นมา และเหลือบมองบุตรคนรองด้วยสายตาเชิงตำหนิ

บุตรคนรองถูจมูกด้วยความโกรธเคือง เขากล่าวเสียงต่ำว่า “เอาเป็นว่า ข้ามิเชื่อว่านางมีเจตนาดี จะนำไก่มา...”

กล่าวได้เพียงครึ่งเดียว เขาก็เปิดชามที่ครอบขึ้น สิ่งที่เห็นทำให้เขากล่าวอะไรไม่ออก

ความสัมพันธ์ระหว่างอาหวั่นและตระกูลนี้แน่นอนว่าไม่ดีนัก

บิดาของอาหวั่นไม่ใช่บุตรโดยกำเนิดของนายท่านสกุลอวี๋ หากแต่เป็นเด็กที่เขาเก็บมาจากบนเขาในตอนที่เมาสุรา นายท่านสกุลอวี๋และภรรยาเลี้ยงเด็กทั้งหมดห้าคน แต่คนที่พวกเขาได้เลี้ยงจริงๆ มีเพียงสองคน คือบุตรคนรองและบุตรสาวคนเล็ก

นายท่านและภรรยาใคร่ครวญดูแล้ว คิดว่ามีบุตรเพียงคนเดียวนั้นน้อยเกินไป ไม่สู้เลี้ยงเพิ่มอีกหนึ่งคน ภายภาคหน้ายังสามารถพึ่งพาได้

แม้ว่าบิดาของอาหวั่นจะถูกเก็บมา แต่เมื่อฟูมฟักอุ้มชูมาแล้ว ก็คิดว่าเขาเป็นเหมือนบุตรแท้ๆ

ลุงใหญ่กับป้าของอาหวั่นก็เลี้ยงดูเด็กชายผู้นี้เป็นอย่างดี ไม่เคยปล่อยให้ท้องหิว หากมีใครรังแกเด็กชาย พวกเขาทั้งสองเป็นต้องแบกจอบแบกเสียมไปถึงบ้านคนเหล่านั้น

ในตอนที่ป้าออกเรือน บิดาของอาหวั่นถึงกับร้องไห้เสียงดังไปไกลครึ่งหมู่บ้าน หลังจากนั้น ในซีเป่ยก็เกิดสงครามขึ้น ทางการส่งคนมาเกณฑ์ทหารที่หมู่บ้านเหลียนฮวา เดิมทีผู้ที่ไปควรเป็นบุรุษฉกรรจ์ ทว่าบิดาของอาหวั่นมอมเหล้าพี่ชายใหญ่ และออกเดินทางไปแทน

ในปีนั้น อาหวั่นมีอายุเพียง 10 ขวบ นางเจียงเองก็เพิ่งตั้งครรภ์เถี่ยตั้นน้อย

การตัดสินใจเช่นนี้นับเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดในชีวิต กระนั้น เพื่อตอบแทนบุญคุณของสกุลอวี๋ที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ บิดาของอาหวั่นจึงไปอย่างไม่ลังเล

เรื่องเหล่านี้คือสิ่งที่อาหวั่นไม่เคยรู้ และนางไม่รู้ว่ามีผู้คนคอยซุบซิบนินทา ว่าบิดาของนางถูกเก็บมาเลี้ยง ในตอนที่ทางการมาเกณฑ์ทหาร ผู้ที่ต้องไปคือลุงใหญ่ แต่ทางบ้านสกุลอวี๋ไม่ยินยอม จึงส่งบิดาของนางไปตายแทน

ส่งทหารที่ไม่เคยฝึกซ้อมไปรบท่ามกลางไฟสงครามที่กำลังปะทุ นั่นไม่เรียกว่าส่งไปตายหรอกหรือ?

อาหวั่นเชื่อคำกล่าวเหล่านี้ ทำให้ความสัมพันธ์กับบ้านใหญ่แย่ลง ภายหลังจึงแยกบ้านกัน ทั้งสองครอบครัวกลายเป็นคนแปลกหน้า

ไม่ต้องกล่าวถึงตูดไก่ หากแม้แต่ขนไก่หนึ่งเส้น นางคงไม่อยากให้พวกเขาเสียด้วยซ้ำ!

เถี่ยตั้นน้อยนำน้ำแกงไก่มาตั้งแต่ช่วงสาย ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ น้ำแกงไก่แข็งเสียแล้ว ข้างใต้ไขมันไก่จับตัวเป็นก้อน ก็คือหน่อไม้และเนื้อไก่ หน่อไม้น้อย เนื้อไก่มาก ไม่เอ่ยถึงแล้ว ทว่า ในชามยังมีน่องไก่เต็มน่องอีกด้วย

นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน

ทั้งครอบครัวต่างอยู่ในความตกตะลึง

..............................................