webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทส่งท้าย

'ไนน์เกลียดพ่อกับแม่! พ่อกับแม่จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย ไป!'

...ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมคงไม่พูดอะไรแบบนั้นใส่พวกเขาไป...

...ถ้าผมหยุดชะตากรรมของพวกเขาไม่ได้ อย่างน้อยขอให้ผมได้บอกคำว่ารักอีกสักครั้งก็ได้...

วันที่ได้รับข่าวร้ายว่าพ่อกับแม่ของผมเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชน วันนั้นเป็นวันที่เหมือนโลกใบนี้กลับกลายเป็นสีเทา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมืดมน แม้แสงดาวหรือแสงจันทร์จะสว่างแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ค่ำคืนอันแสนเจ็บปวดนั้นสว่างขึ้นมาได้อีก แม้แต่แสงแดดก็ยังสว่างไม่พอจะให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้นมาได้

ในเมื่อไม่มีผู้ปกครองดูแล ผมจึงต้องย้ายไปอยู่กับคุณป้าและคุณลุงซึ่งเป็นญาติห่าง ๆ พวกเขามีลูกอยู่ด้วยกันสองคน เป็นเด็กน้อยน่ารัก อายุของทั้งคู่น้อยกว่าผมมาก

ทุกบาททุกสตางค์ที่ผมกินผมใช้เป็นของคุณป้ากับคุณลุง พวกท่านดูแลผมมาดีเสมอ แม้จะให้ผมไปขายพวงมาลัยตามถนนบ้างผมก็ยินดี เพราะนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่จะสามารถช่วยเหลือพวกท่านได้

ถึงอย่างนั้นก็มีหลายครั้งที่คุณป้ากับคุณลุงอารมณ์เสียใส่ คุณลุงชอบกินเหล้าแล้วทำร้ายร่างกาย ส่วนคุณป้าจะทำร้ายจิตใจผมแทน ผมอยากหนีไปจากที่นี่ ที่ ๆ ไกลจากนรกแห่งนี้ แต่ก็รู้สึกผิดทุกครั้งเพราะเกือบครึ่งชีวิตที่ผ่านมา ผมเป็นเหมือนตัวกาฝากดูดความสุขของพวกท่านอยู่

ผมจึงอยากเป็นสจ๊วตตั้งแต่เด็ก อาชีพที่ไม่ต้องอยู่ที่บ้าน แต่ก็ได้เงินเยอะพอจะแบ่งไปให้พวกท่านใช้เพื่อตอบแทนที่พวกท่านเคยให้

แต่ในเมื่อโรงเรียนมีทุนการศึกษามาเสนอแล้วผมได้รับเลือก จะด้วยเหตุบังเอิญหรือโชคชะตาก็แล้วแต่ ผมจึงได้มาเรียนครูภาษาญี่ปุ่นที่นี่โดยไม่ต้องเสียค่าเทอมและค่าหอ

"ใกล้จะถึงรึยัง ดึกแล้วนะ พรุ่งนี้ฉันไปทำงานเช้านะคุณ!" เสียงคุณป้าบ่นกับคุณลุงที่นั่งอยู่ข้างหน้าของรถยนต์ ส่วนผมนั่งอยู่ข้างหลังกอดกระเป๋าเป้ใบเล็ก ๆ ไว้แน่นราวกับมันเป็นตุ๊กตา

"ใจเย็นน่าที่รัก เดี๋ยวทิ้งไอ้นี่เสร็จ ก็โล่งเราแล้วจ้า"

ข้าง ๆ ตัวผมมีกระเป๋าหิ้วอีกสองใบ อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้า ผ้าห่ม หมอน ของใช้ และอุปกรณ์การเรียน มีเพียงเท่านี้ที่ผมเอามา

ผมเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างด้านข้าง ต้นไม้สูงใหญ่เคลื่อนตัวตัดผ่านไปข้างหลังอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิด ภาพทิวทัศน์ทำให้ผมหวั่นใจขึ้นมา แม้จะอยากออกจากบ้านที่พวกท่านอยู่แค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ดีที่จะต้องไปอยู่ในที่แห่งใหม่

"ถึงสักที!" คุณป้าผมถอนหายใจแรงแล้วรีบเร่งเร้าให้ผมออกไปข้างนอกได้แล้ว

"ไป ดูแลตัวเองด้วย" คุณลุงว่าพลางเอามือไปปลดล็อกประตู "อย่าเพิ่งตายก่อนที่จะหาเงินมาให้พวกกูใช้นะ"

ผมยกมือไหว้พวกท่านทั้งสองคนไป แล้วสะพายเป้และแบกกระเป๋าอีกสองใบไปยืนข้างนอก

ทันทีที่ปิดประตูลง พวกท่านก็ออกรถทันที

ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่หน้าประตูทางเข้าหอพัก...เขาเรียกกันว่าอะไรนะ...หอใน ใช่ไหม?

รูมเมทอีกสามคนอยู่กันพร้อมแล้ว พวกเขาดูสนิทสนมกันดีจัง ส่วนผมก็ทำตัวไม่ถูกจนไม่ได้ทักทายใครเลย เอาแต่ก้มหน้าหลบตาพวกเขา ทั้งที่พวกเขาพยายามถามชื่อ พยายามชวนคุยด้วย

ผมนี่มันแย่จริง ๆ

แล้วเวลาเที่ยงคืนก็มาถึง ดวงจันทร์สีนวลสุกใสอยู่บนท้องฟ้า ตอนนี้มีเพียงดวงเดือนดวงนี้ที่อยู่เป็นเพื่อนผม รูมเมทอีกสามคนนอนพักเอาแรงกันหมดแล้ว แต่ผมนอนไม่หลับเลยสักนิด จะข่มตายังไงก็หลับไม่ลง

ถ้ากระต่ายน้อยบนดวงเดือนนั้นใจดีล่ะก็ ผมก็อยากให้เขาพาผมไปอยู่ที่นั่นด้วย และถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากพาพ่อกับแม่ไปอยู่ด้วย แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขทั้งสี่คนกันบนดวงจันทร์

มีทั้งพ่อ แม่ ผม และเจ้ากระต่ายน้อยที่แสนอ่อนโยน

รู้ตัวอีกทีก็เกือบเวลาเช้าแล้ว ผมค่อย ๆ ย่องไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างเงียบเสียงที่สุด แล้วเดินออกไปข้างนอก ทุกอย่างเกิดขึ้นเบามาก ไม่มีใครตื่นขึ้นมาเลยสักคน

เวลานี้เป็นเวลาตีสี่กว่า ๆ เอง เหลืออีกตั้งสองชั่วโมง

แต่ถ้าผมออกจากหอสายกว่านี้มีหวังได้เจอผู้คนเยอะแยะกว่านี้แน่ ผมจึงเลือกช่วงที่ไม่มีใครอยู่แล้วเดินไปยังคณะเงียบ ๆ คนเดียว

บรรยากาศระหว่างทางเย็นและสงบนิ่ง สิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิดหยุดพักผ่อนตามมุมของมัน แม้แต่ดอกไม้บางต้นยังไม่เบ่งบานเลยด้วยซ้ำ ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะรู้สึกวังเวงจนขนลุกก็ได้ แต่สำหรับผมมันเป็นช่วงที่รู้สึกดีที่สุด

ไม่มีใครอยู่ ไม่มีความวุ่นวาย ไม่มีความกังวล ไม่มีความกลัว

มีเพียงผมกับทางข้างหน้าและความอบอุ่นจากแสงจันทร์

และแล้วผมก็มาโผล่อยู่หน้าตึกคณะ

ผมตรวจดูแผนที่ในอินเตอร์เนตเพื่อความแน่ใจว่าไม่ได้หลงมาผิดที่

เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่ผิดแน่ ผมจึงก้าวเท้าไปข้างหน้า แต่ว่า...

ยิ่งใกล้ประตูทางเข้าเท่าไหร่ ฝีก้าวของผมยิ่งช้าลง จนในที่สุดมันก็หยุดอยู่ที่หน้าประตู

ประตูที่ปิดกั้นนี้แยกโลกภายนอกออกจากตัวคณะอย่างชัดเจน ภายในเกือบมืดสนิทคงเพราะยังไม่มีใครเข้ามาถึง ไฟทุกดวงมืดดับอยู่ มีเพียงแสงอาทิตย์ข้างหลังที่เริ่มประกายแสงขึ้นมาแล้ว

ผมบังคับมืออันสั่นเทาของตัวเองให้ผลักประตูบานนั้นออกไป ออกไปยังทางข้างหน้านั้น

แต่ผมกลัว ทางข้างหน้ามันช่างหน้ากลัวเหลือเกิน มันทั้งมืด ทั้งน่าขนลุก อันที่จริงผมไม่น่ามาที่นี่เลย ผมอยู่ที่นี่คนเดียวไม่ได้หรอก พอเถอะ เลิกคาดหวังในตัวเองสูงสักที แค่จะก้าวไปเปิดประตูยังขาสั่นไปหมดขนาดนี้ กลับเถอะ กลับไปขายพวงมาลัยที่ถนนต่อนั่นแหละ มันคงดีที่สุดสำหรับผมแล้ว

ผมหันหลังกลับ หันไปยังทางที่มีแสงอาทิตย์สาดส่องถึง แม้โลกข้างนอกนี้มันจะยังเป็นสีเทาอยู่ แต่มันก็น่าจะปลอดภัยกว่าความมืดข้างหลังประตูนั้นแน่ ๆ

แค่ก้าวออกไปจากที่นี่ แค่อย่าหันหลังกลับไปมองประตูบานนั้น

กลับไปยังที่ที่ตัวเองจากมาเถอะ

แต่...ดีแล้วเหรอ

ดีแล้วจริง ๆ เหรอ

ถ้าหนทางข้างหลังประตูบานนั้นจะสดใสกว่าข้างนอกนี้ล่ะ

ถ้า...ถ้ามันอบอุ่นกว่าที่ผมคิดเอาไว้ตอนนี้ล่ะ...

ผม...ผม...ผมไม่มีทางรู้ได้แน่ถ้าไม่ลองเปิดประตูบานนั้นออกไป

แต่...ขาของผม...มือของผม

เอาอีกแล้ว ผมเอาอีกแล้ว ร้องไห้ออกมาอีกแล้ว

ผมสูดหายใจเข้าลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วหันกลับไปหาประตูบานนั้นอีกครั้ง ผมบีบมือตัวเองด้วยความหวาดกลัว น้ำตาทำให้ผมมองเห็นทางข้างหน้าเลือนลางไป

ตอนนี้นอกจากทางข้างหน้าจะมืดกว่าเดิมแล้ว มันยังบิดเบี้ยวน่ากลัวยิ่งกว่าเดิมอีก

ไม่เอาแล้ว ผม...ผมทำไม่ได้หรอก...ไม่ได้

ผมกำหมัดแน่น ตอนที่ผมต้องเข้าเรียนครั้งแรกที่โรงเรียนอนุบาล ผมร้องไห้งอแงไม่ยอมเข้าไปเรียนจนพ่อกับแม่ผมต้องเข้ามาปลอบอยู่นานกว่าจะหายร้องแล้วยอมเข้าไป

ตอนนั้นพ่อกับแม่พูดอะไรกับผมนะ

...

พ่อจ๋า แม่จ๋า ไนน์คิดถึงพ่อกับแม่ มาหาไนน์ที เข้ามากอดไนน์ที เข้ามากระซิบให้กำลังใจไนน์อีกสักครั้งได้ไหมครับ นะครับ

แม้ว่าผมจะสวดภาวนายังไงพวกท่านก็คงไม่กลับมาหาผมอีกแล้ว

...ไนน์ทำไม่ได้หรอก

"ทำไมถึงคิดว่าไนน์จะทำไม่ได้ล่ะ ไนน์มีดีกว่าที่ไนน์คิดนะ รู้ไหม?"

ผมเผลอพูดพึมพำประโยคนี้ออกมาโดยไม่รู้ตัว

ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ข้าง ๆ ผมตอนนี้ ถ้าพวกเขายืนขนาบข้างอยู่กับผม ถ้าพวกเขากอดผมอยู่ พวกเขาคงจะพูดแบบนี้ออกมาแน่ ๆ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะน้ำตาหรือเปล่า แต่ผมเห็นร่างของพ่อกับแม่อยู่ข้าง ๆ ตัวผม ผมอยู่ตรงกลางระหว่างพวกเขาทั้งสอง

คุณพ่อจูงมือข้างซ้ายของผมไว้ ส่วนแม่โอบไหล่ของผมที่ด้านขวา

แล้วในที่สุดเสียงของพ่อกับแม่ก็ดังออกมาจากความทรงจำของผม

...ผมจำได้แล้ว...

"การวิ่งหนีไปไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะ" ผมพึมพำตามที่พ่อพูด

"ยังไงไนน์ก็ต้องเติบโตขึ้น ยังไงไนน์ก็ต้องเอาชนะความกลัวของตัวเองให้ได้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วไนน์ก็ต้องทำให้ได้" เสียงของแม่ยังอ่อนโยนเสมอ

"จะคอยอยู่เคียงข้างไนน์เสมอ เพราะงั้น..." คราวนี้เป็นคำพูดของพ่อ ผมพูดพึมพำเบา ๆ ตามเสียงของพ่อไป

แล้วพ่อกับแม่...และตัวผมเองก็พูดออกมาพร้อมกัน

"ไนน์ต้องสู้นะ"

"อื้ม พี่จะสู้"

ผมสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมองข้างหลังทันที สายลมอ่อน ๆ พัดผ่านเราทั้งคู่ไป พัดพากลีบดอกไม้สีชมพูให้โบยบินอยู่กลางท้องฟ้า

ทุกอย่างไม่ได้เป็นสีเทาอีกต่อไปแล้ว จุดแต้มสีชมพูเริ่มกระจายตัวในอากาศ ตามมาด้วยสีเหลืองทองอร่ามจากเส้นผมและดวงตาของบุคคลตรงหน้า และไม่นานทุกเฉดสีก็กลับคืนมาภายในพริบตาเดียว ทั้งสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า สีน้ำตาลของพื้นดิน สีฟ้าครามสว่างสดใส

ทุกอย่างกลับมาแล้ว

เขาคนนั้นเดินก้าวเข้ามาข้างหน้า เข้ามายืนข้าง ๆ ผม ตำแหน่งเดียวกับที่คุณพ่อจูงมือผมอยู่

"ไนน์เองก็ด้วย ไนน์ก็ต้องสู้นะ"

เขากำลังจะบอกให้ผมสู้เหรอ

เขากำลังปลอบโยนผมอยู่เหรอ...

ถ้าเกิด...ถ้าเกิดผมทำไม่ได้ล่ะ

ถ้าผมอ่อนแอเกินไปล่ะ...

"ไม่ต้องห่วง พี่จะดูแลไนน์เอง"

เขาคนนั้นยิ้มแล้วมองมาที่ผม...สายตาคู่นั้น รอยยิ้มแบบนั้น

สายตาที่แสนอ่อนโยนเหมือนที่คุณแม่มองผมยามที่ผมกลัว

รอยยิ้มที่แสนสดใสเหมือนที่คุณพ่อยิ้มให้ผมยามที่ผมเศร้า

"ปะ ไปกันเถอะ"

ผมไม่รู้จะตอบยังไงดี ได้แต่พยักหน้าเบา ๆ เพื่อตอบรับคำเชิญของเขาไป

หนทางข้างหลังประตูมันยังคงมืดมิดอยู่ แต่ตอนนี้มันไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว

ถ้ามีเขาอยู่ด้วยล่ะก็ ต่อให้อยู่ในที่มืดข้างไหน ผมก็คงไม่กลัวอีกแล้ว

เขาเปิดประตูบานข้างหน้าออก แสงสว่างจากภายนอกฉายเข้าไปทำลายความมืดมิดที่อยู่ข้างไหนจนหมดสิ้น

ขอแค่มีเขาคนนี้เดินอยู่ข้าง ๆ ผมตลอดเส้นทางข้างหน้านี้

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันจะไม่น่ากลัวอีกต่อไปแล้ว

นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกกันว่า...อุ่นไอรัก

——————————————————-

ถึง ไนน์ ผู้ที่กำลังอ่านจดหมายฉบับนี้อยู่

ถ้าไนน์ได้อ่านจดหมายฉบับนี้อยู่ แสดงว่าไนน์คือไนน์ในอนาคตใช่ไหม ไม่ว่าจะในอีกหนึ่งชั่วโมงข้างหน้า หนึ่งวันข้างหน้า สิบปีข้างหน้า หรือตอนอายุหกสิบแล้วก็ตาม ชีวิตของไนน์ก็ต้องก้าวต่อไป แม้ว่าจะเจอประตูอีกหลายบานเลยก็ตาม อย่ายอมแพ้นะ อย่าหยุดเชื่อมั่นในตัวเอง ถ้าหนทางที่ไนน์เดินอยู่มันคือทางที่ใช่ละก็ ลุยเลย ถ้าไม่ใช่ก็ถอยออกมาแล้วหาทางใหม่ ชีวิตก็แค่นี้เอง

ระหว่างที่เดินอยู่ จะมีผู้คนมากมายที่นำหน้าไนน์ไปก่อนแล้ว บางคนก็วิ่งไป บางคนมีรถขับแซงไปไกลเลยก็มี แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแต่ละก้าวของไนน์มันไร้ค่าหรอกนะ ทุกย่างก้าวของไนน์มีคุณค่าหมด และไม่ใช่คุณค่าสำหรับคนอื่น มันคือคุณค่าของตัวไนน์เอง มันไม่ได้สำคัญเลยว่าไนน์แซงคนอื่นได้มากแค่ไหน มันอยู่ที่ว่า ไนน์ก้าวออกมาจากจุดเดิมที่ยืนอยู่เมื่อวานหรือเปล่า

และแน่นอน จะต้องมีคนที่เดินช้ากว่าไนน์ เพื่อนร่วมเดินทางบางคนอาจจะทำได้แค่คลานด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น นอกจากจะก้าวไปข้างหน้าแล้ว ไนน์อย่าลืมหันกลับไปมองข้างหลังด้วยนะ และถ้าเป็นไปได้ เหมือนที่พี่เบ็นสอนเสมอ ช่วยพวกเขาด้วยนะ

เท่านี้แหละที่ไนน์ต้องรู้ไว้ ไนน์มีคุณค่าเสมอ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไนน์จะต้องผ่านมันไปได้แน่นอน แล้วก็อย่าลืมรักตัวเองนะ อย่าลืมว่ามีคนที่รักไนน์อยู่เหมือนกัน อย่างน้อยก็มีตัวไนน์เองนี่แหละที่รักไนน

ไม่ว่าไนน์กำลังเจอกับอะไรอยู่ ก็ต้องสู้นะ รักนะ

แล้วเจอกันครับ

ด้วยรักและห่วงใย

จาก นายณัฐดนัย จันทรวงศ์