webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Classificações insuficientes
56 Chs

บทที่ 2.1

กิจกรรมรับน้องผ่านมาเป็นวันที่หกแล้ว วันนี้นับได้ว่าเป็นวันสุดท้ายก่อนที่จะทิ้งช่วงให้น้อง ๆ พักหายใจหายคอเตรียมตัวสู่วันเปิดเทอมที่จะถึงในสัปดาห์หน้า

กิจกรรมในวันที่ผ่านมาเน้นการเปิดโอกาสให้น้องรู้จักกันเอง รู้จักรุ่นพี่ รู้จักอาจารย์ คุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ รวมไปถึงการละลายพฤติกรรม

เมื่อเข้าสู่วันสุดท้ายแล้ว กิจกรรมจึงเป็นการแสดงชุดใหญ่ของทุกฝ่ายกิจกรรมเพื่อบอกลาก่อนจะไม่ได้มาทำกิจกรรมด้วยกันอีก

"สลัดอวัยวะ สลัดอวัยวะ"

เสียงร้องเพลงของพิธีกรนันทนาการทั้งสองคนดังกระหึ่มไปทั่วห้องโถงอันกว้างขวาง เสริมกำลังด้วยไมโครโฟนและลำโพงขนาดใหญ่ เสียงที่ดังอยู่แล้วสามารถกระหึ่มได้อีกจากเสียงกลองทอมสีเนื้อสามคู่ ทวีคูณด้วยเสียงตะเบ็งและเสียงกรี๊ดของพวกคนบ้าจำนวนกว่าสามสิบชีวิตที่รายล้อมน้องปีหนึ่งอยู่

ชื่อแบบไม่เป็นทางการก็คือ พวกคนบ้า ส่วนชื่อทางการนั้น เราถูกเรียกกันว่า 'นันทนาการ'

เมื่อพิธีกรร้องท่อนของตนเสร็จ คนหนึ่งยื่นไมโครโฟนไปให้ลักษณ์ เพื่อนนันฯ ที่ยืนอยู่ข้างผม

"ตัวพี่นั้นชื่อพี่ลักษณ์ พี่นั้นชอบชักอวัยวะ"

ลักษณ์ร้องลากเสียงและโหนเสียงที่ท้ายประโยค ระหว่างร้องก็ทำท่าประกอบโดยมีพิธีกรช่วยถือไมค์ให้ เธอชูกำปั้นซ้ายขึ้นมาแล้วนำมือขวามาชักมือซ้ายของตัวเอง จบท่อน เสียงหัวเราะจากทั้งเพื่อน รุ่นพี่ และรุ่นน้องดังประสานกับเสียงเชียร์ของเพื่อนนันฯ รอบ ๆ

หึ ทำไปได้นะไอ้ลักษณ์ ผมจะได้เห็นสาวเรียบร้อยอย่างลักษณ์ปลดปล่อยความบ้าในจิตใจส่วนลึกก็คราวนี้ละ

"สลัดอวัยวะ สลัดอวัยวะ"

เมื่อลักษณ์ร้องท่อนแนะนำตัวของตัวเองไปแล้ว พิธีกรจึงร้องท่อนเดิมและเดินวนมายังคนที่ยืนอยู่ลำดับถัดไป ซึ่งคนคนนั้นก็คือผมเอง

"ตัวพี่นั้นชื่อพี่เบ็น พี่ชอบบีบเค้นอวัยวะ"

ผมร้องเต็มเสียงใส่ไมค์ที่เพื่อนถือให้ ไม่วายโหนเสียงที่ท้ายประโยคตามลักษณ์มัน ร้องอย่างเดียวคงไม่สนุก ผมจึงนำมือทั้งสองข้างทำท่าหยิกที่บริเวณอกพร้อมทำหน้าเหยเก

เมื่อร้องจบท่อน เสียงกรี๊ดดังแหลมเสียดแทงกลบเสียงหัวเราะที่มีอยู่ประปรายไปได้อย่างหมดจด ผมไม่มั่นใจนักว่าเสียงที่กรี๊ดนั้นเพราะมันตลกดีหรือมันยั่วเกินไปกันแน่

การเป็นนันทนาการไม่ใช่สิ่งที่น่าอายหรือน่ากลัวเลย มันกลับสนุกด้วยซ้ำไป

พวกเราคือรอยยิ้มของน้อง ๆ และรอยยิ้มของน้อง ๆ คือกำลังใจของพวกพี่ พวกเราจะรู้สึกสนุกเมื่อน้อง ๆ สนุกไปกับกิจกรรม พวกเราจะมีความสุขเมื่อเห็นรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะจากมุกห้าบาทสิบบาทที่เล่นไป ดังนั้นแล้ว ถ้าหากพบน้องที่ทำหน้าเซ็งใส่พี่แม้แต่คนเดียว ก็อาจทำให้กำลังใจของพวกพี่สั่นคลอนไปได้

ใบหน้าเรียบเฉยที่คนอาจมองว่ากำลังเซ็งอยู่นั้น ปรากฏอยู่บนใบหน้าภายใต้แว่นตาหนาเตอะของน้องคนนั้นทุกวัน

นี่ก็ผ่านมาห้าวันแล้วที่นิสิตปีหนึ่งเข้ากิจกรรมกับทางคณะในช่วงก่อนเปิดเทอม เด็กคนนั้นไม่เคยเผยรอยยิ้มให้ผู้ใดได้พบเห็นเลยสักครั้ง เขาทำหน้าตายซากอย่างกับโลกนี้เป็นเพียงถังขยะเหม็นแฉะ แล้วเขาเป็นเพียงไข่เน่าที่รอเวลาให้ธรรมชาติย่อยสลายไป

หากเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาคงจะหาเพื่อนยาก และนั่นยิ่งทำให้ชีวิตในมหา'ลัยดูโหดร้ายสำหรับเด็กคนหนึ่ง

แน่นอนว่ามีรุ่นพี่รวมถึงเพื่อนหลายคนพยายามเข้าหาเจ้าเด็กหน้านิ่งนั่น แต่ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และอาการถามคำตอบคำอย่างนั้น ค่อย ๆ ตัดแรงใจในการเข้าหาของทุกคนไป และท้ายที่สุดทุกคนก็หมดหวังที่จะเข้าหาและทำเมินเฉยใส่ไปเลย

ยกเว้นผมที่คอยเป็นห่วงน้องเขาอยู่ตลอดตั้งแต่วันแรกที่พาน้องเข้ามาที่ห้องโถง

...ก็สัญญาไว้แล้วนี่นะ ว่าจะดูแล

ผมคิดมากถึงขั้นต้องหาเวลาว่างไปปรึกษารุ่นพี่ที่ทำกิจกรรมบ่อยจนชำนาญ "หากนั่นเป็นความสุขของเขา ก็ปล่อยเขาเป็นแบบนั้นไปน่ะดีแล้ว เขาอาจจะชอบการอยู่เงียบ ๆ คนเดียวก็ได้ อย่าลืมสิว่าเด็กแต่ละคนไม่เหมือนกันนะ" นี่คือคำตอบที่ได้

ผมเข้าใจดี มีอีกหลายคนที่ไม่ได้ชอบหรือสนุกกับกิจกรรมรับน้อง ซ้ำร้ายยังต่อต้านอีกด้วยเหมือนเพื่อนของผมบางคน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร

ขณะที่ยืนเต้นและร้องเพลงนันฯ อยู่นั้น ผมหันไปสังเกตใบหน้าของน้องเขาอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิที่พื้นห้องโถงเช่นเดียวกับเพื่อนคนอื่น

สิ่งที่ผมเห็นขณะนี้เป็นความรู้สึกเดียวกันกับทุกวันที่ผ่านมา นั่นคือแววตาคู่นั้นว่างเปล่าและเลื่อนลอย ผมสัมผัสได้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเซ็งหรือเบื่อหน่ายกับกิจกรรม

ความรู้สึกเบื่อหรือเซ็งอาจจะใช่ แต่ไม่ใช่กับกิจกรรม

...เจ้าหนูนั่นกำลังเบื่อชีวิตของตัวเอง

สัมผัสที่หกของผมมันรับรู้ได้ แม้จะไม่ได้เข้าไปสัมผัสตัวเลยก็ตาม

แต่ถึงจะเป็นห่วงและอยากเข้าไปพูดคุยด้วยให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยขนาดไหน ผมกลับยุ่งกับการเตรียมกิจกรรมทุกวันจนเหน็ดเหนื่อย ส่งผลให้หาโอกาสเข้าไปทักไม่ได้เลยสักครั้ง แม้แต่ชื่อของน้องผมก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป

"เบ็น... เบ็น... เบ็น!!"

"ห๊ะ?"

ผมตื่นขึ้นจากห้วงความคิด หันไปหาเจ้าของเสียง ลักษณ์กระซิบเรียกชื่อผมแต่ไม่เบามากนักเพราะต้องแทรกกับเสียงกรี๊ดและเสียงกลองที่ประสานอลม่านกัน

เมื่อรู้สึกตัวและสังเกตไปรอบห้องก็พบสาเหตุว่าทำไมลักษณ์ถึงเรียกผม ตอนนี้เพลงแนะนำตัววนมาถึงพี่คนสุดท้ายแล้ว

เพื่อนฝ่ายประสานงานส่งสัญญาณมือที่รู้กันเฉพาะรุ่นพี่ให้พวกเราเตรียมตัวให้พร้อมกับกิจกรรมต่อไป

จะจบกิจกรรมวันนี้แล้วหรอเนี่ย...

ถึงจะเสียดายนิดหน่อยแต่ลึก ๆ แล้วก็แอบดีใจที่จะได้พักผ่อนบ้าง การเต้นท่าโลดโผนด้วยความเร็วติดต่อกันหลายวันทำเอาร่างพังได้ ไหนจะเวลาพักผ่อนที่น้อยนิดอีก

บางคนทนไม่ไหวถึงขั้นต้องแอบน้องไปนั่งงีบในห้องน้ำก็มี งีบไปพลางมีกลิ่นหอมชื่นใจจากโถส้วมกล่อมไปพลาง...บอกเลยว่าทรมานฉิบหาย

ตอนนี้พิธีกรนันฯ กำลังเล่าเรื่องเพื่อโยงเข้าสู่กิจกรรมต่อไป กิจกรรมนี้ไม่ได้เป็นอะไรที่จริงจังนัก ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเป็นกิจกรรมยื้อเวลาสำหรับการเตรียมตัวของฝ่ายต่อไปที่จะต้องมาแนะนำตัว

ฝ่ายที่ว่าใช้เวลาเตรียมตัวนานพอ ๆ กับนันทนาการ เพราะต้องแต่งหน้าทาปากกันทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผู้ชาย ต่างกันตรงที่นันฯ นั้นจะแต่งให้ตลก แต่พวกนั้นต้องแต่งให้สวยหล่อเข้าไว้

พวกเขาคือหน้าตาของคณะ หรือก็คือ 'ลีดคณะ' นั่นเอง