webnovel

ปั้นดินเป็นเดือน

จากดินสกปรกจะถูกปั้นให้เป็นเดือนได้จริงเหรอ? ความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองนั้นมันคุ้มค่าหรือไม่? สุดท้ายแล้วคนเราก็ตัดสินกันแค่ที่หน้าตาใช่ไหม? เบญจมินทร์ หรือ เบ็น เป็นเด็กหนุ่มที่เชื่อสุดใจเลยว่าคนทุกคนบนโลกใบนี้ดูดีในแบบของตัวเอง และทุกคนสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้หากมีความพยายามมากพอ และด้วยความเชื่อที่ดูจะไปสะกิดต่อมความหมั่นไส้ของคู่อาฆาตนั้น ทำให้เขาถูกท้าแข่งในการประกวดทูตกิจกรรม ไม่ใช่ตัวพวกเขาเองที่จะลงแข่งหรอกนะ แต่พวกเขากำลังแข่งกันปั้นเด็กของตัวเองให้เป็นเดือนคณะให้ได้ต่างหาก ทว่า เด็กที่เบ็นต้องปั้นนั้นกลับเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่แสนจืดจาง ใบหน้าห่างไกลจากคำว่าหล่อในยุคสมัยนี้ไปเลย แถมความมั่นใจยังอยู่ในระดับขั้นติดลบ ทุกคนเห็นตรงกันหมดว่าเบ็นไม่ต้องแข่งก็ได้ เพราะรู้ผลตั้งแต่ยังไม่เริ่มเลยด้วยซ้ำ แต่เบ็นเชื่อในตัวน้องคนนี้ และเชื่อในกันและกัน เขาจะปั้นเด็กคนนี้ให้เป็นดวงเดือนสีนวลบนฟ้าให้ได้! สุดท้ายแล้วพวกเขาจะสามารถพิสูจน์ให้โลกวัตถุนิยมใบนี้ยอมรับความพยายามของพวกเขาได้หรือไม่

NIMAJNEB · LGBT+
Not enough ratings
56 Chs

บทที่ 1.2

ใครจะไปคาดคิดละว่าคนอย่างผมจะได้กลายเป็นรองเดือนของคณะ

จากเด็กประถมโครงร่างใหญ่ยักษ์อ้วนท้วมที่ตามใบหน้ามีสิวแดงก่ำผุดขึ้นมาเร็วกว่าคนทั่วไป เหมือนที่เขาล้อกันว่า 'ไอ้ยักษ์สิวเขรอะ' ตอนนี้ทุกสัดส่วนของผมแน่นตึงไปหมดด้วยกล้ามเนื้อซึ่งถูกสร้างมาจากการออกกำลังกาย การควบคุมน้ำหนัก และการซ้อมมวย และด้วยโภชนาการที่ดีประกอบกับสุขภาพที่ดี ใบหน้าของผมจึงค่อย ๆ ผ่องใสไร้สิว และเปร่งออร่าออกมาแทน

จากเด็กใส่แว่นหน้าเอ๋อ ๆ ผมหันมาเปลี่ยนลุคด้วยการใส่คอนแทคเลนแทน หลายคนใส่แว่นแล้วดูดีกว่าเดิมก็จริง แต่สำหรับผมมันจะดูดีกว่าถ้าไม่มีอะไรมาบดบังดวงตาสีทองอำพันของผม

ส่วนท่อนที่ว่า 'ไอ้เผือกหัวขี้' นั้น ผมไม่สามารถแก้ได้จริง ๆ เพราะมันฝังลึกลงไปในดีเอ็นเอ แต่แม้หน้าตาผมจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากก็ตาม สังคมกลับเปลี่ยนกระแสมาคลั่งไคล้รูปหน้าแบบผมแทน

พ่อของผมเป็นชาวสวีเดนผมบลอนด์ทองสลวยและมีตาสีเขียวส่องประกาย ถึงจะเกิดที่สวีเดน แต่พ่อต้องย้ายไปอยู่ที่เม็กซิโกตั้งแต่ยังเดินสองขาไม่เป็น ทำให้พ่อกลายเป็นชาวเม็กซิกันไปโดยปริยาย และใช้ภาษาสเปนในการสื่อสารเป็นหลัก

สมัยก่อนจัดได้ว่าพ่อผมเป็นหนุ่มเพลย์บอยตัวจริง ด้วยหน้าตาหล่อเหลาและหุ่นงามโดดเด่นจนแมวมองสมัยนั้นถูกใจ พ่อจึงได้เป็นนายแบบหัวทองตั้งแต่ขนรักแร้ยังไม่ดก

ไม่ทันไร พ่อก็ให้กำเนิดผมขึ้นมา พ่อมักเล่าติดตลกเสมอว่า เพราะผมเองนี่แหละที่ดับอาชีพนายแบบของเขาลง หลังจากมีลูกชายอย่างผม เขาก็ต้องหยุดรับงานแล้วผันตัวมาเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว

อ๋อ ผมลืมบอก ผมไม่รู้หรอกนะว่าคนที่อุ้มท้องผมมาคือใคร อันที่จริงพ่อเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เล่นพ่นเชื้อเข้าไข่ไปหลายฟองขนาดนั้น พอเจอหน้ากันก็จำไม่ได้ว่าเคยมีกิจกรรมสนุกด้วยกันมาก่อน

แต่ผมไม่เคยรู้สึกขาดแม่ไปเลยสักครั้งเดียว เพราะก่อนที่ผมจะจำความได้ พ่อก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่และแต่งงานกับสาวลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นคนหนึ่ง รู้ตัวอีกทีผมก็คุ้นชินกับเพลงกล่อมเด็กของญี่ปุ่นไปซะแล้ว

เกิดมาจากท้องของหญิงชาวสวีเดน มีพ่อเป็นชาวเม็กซิกันกำมะลอ แถมมีแม่คนใหม่เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น ก็ว่าซับซ้อนแล้วนะ ทุกอย่างยิ่งดูมั่วไปหมดเมื่อพวกเราต้องย้ายมาอยู่ที่ไทยตอนผมอายุแค่สองขวบ

ผมจึงได้เป็นเด็กชาวสวีเดนที่พูดได้ทั้งภาษาสเปน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาไทย

และนั่นก็คือผมเอง เบ็น นายเบญจมินทร์ สึคิโนะเด็กหนุ่มผมบลอนด์และมีนัยน์ตาสีทองซึ่งเป็นสีหายากติดอันดับของโลก โครงหน้าคมเข้มและผิวขาวซีดแบบฝรั่งที่เห็นได้ทั่วไป

โครงร่างที่ใหญ่เทอะทะแบบฝรั่งทำให้ผมตัวสูงกว่าคนอื่น ๆ หลายช่วงตัวนัก แล้วยิ่งตอนเด็กผมอ้วนตุ๊ต๊ะด้วย ผมจึงไม่ต่างจากยักษ์หัวทองเท่าไหร่ แต่เมื่อโตขึ้น จากไอ้ยักษ์หน้าหมูก็กลายเป็นหุ่นนายแบบไปเลยทันที

นับได้ว่าเป็นรูปร่างหน้าตาที่ตรงกับกระแสนิยมของยุคสมัยนี้นั่นเอง

เท่ไหมละ...

ตอนนี้ก็ใช่นะ แต่เมื่อก่อนไม่ใช่ ทุกคนมองว่าผมเป็นตัวประหลาดมากกว่า

สังคมมนุษย์เราก็แปลกดีเนอะ เป็นคนคนเดียวกันแท้ ๆ สิ่งที่อยู่ภายในอย่างนิสัยก็แทบจะเหมือนเดิม แต่แค่ภายนอกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ชีวิตก็อยู่ง่ายขึ้นมาเฉย ๆ ซะงั้น

"หวัดดีค่ะพี่เบ็น หวัดดีค่ะพี่ลักษณ์" หญิงสาวผู้เป็นรุ่นน้องกล่าวทักทายขึ้นพร้อมยกมือไหว้น้อย ๆ

"หวัดดีจ้ะ มาเช้าจัง" ลักษณ์โบกมือทักทายรุ่นน้องคนนั้นไป

"อรุณสวัสดิ์ครับ ทานข้าวมาหรือยังน้องนิว" ผมพยักหน้ารับไหว้น้องแล้วทักทายตามปกติ

"อุ๊ย พี่จำชื่อหนูได้ด้วยเหรอคะ" รุ่นน้องที่ชื่อนิวหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ผมเห็นน้องเขาหน้าแดงหน่อย ๆ ด้วยแฮะ ไม่สบายรึเปล่านะ "ทานเรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นหนูเข้าไปรอที่ห้องเลยนะคะ" พูดเสร็จน้องเขาก็รีบวิ่งเข้าห้องโถงไปเลย

เสียงนกร้องระงมอท่ามกลางสายลมที่พัดต้นไม้ให้สั่นไหวไปมา ท้องฟ้าข้างนอกเเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มขึ้นเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงเวลาเช้าอันแสนสดใส

ว่ากันตามตรงช่วงเช้าไม่มีนิสิตคนไหนรู้สึกสดใสหรือกระปรี้กระเปร่ากันหรอกนะ แต่วันนี้เป็นวันที่นิสิตปีสองหลาย ๆ คนตั้งหน้าตั้งตารอกัน

...วันนี้เป็นวันกิจกรรมรับน้องวันแรก

คณะศึกษาศาสตร์ที่ผมเรียนอยู่นี้จะรับน้องกันก่อนที่มหา'ลัยจะเปิดเทอม เท่ากับว่ากิจกรรมเกือบทุกชนิดจะถูกจัดการให้เสร็จสิ้นภายในหกวัน ส่วนช่วงเปิดเทอมก็ให้นิสิตได้ตั้งใจเรียนกันอย่างเต็มที่

"น้องมากันเช้าจังเลยเนอะจ๊ะ" หญิงสาวร่างท้วมที่ชื่อว่า ลักษณ์ ทักผมขึ้น

"ให้แค่วันแรกเท่านั้นแหละ เดี๋ยววันต่อไปก็สาย เชื่อดิ"

วันแรกนี้เป็นเวรของผมและลักษณ์ที่ต้องมายืนต้อนรับน้อง ๆ เพื่อเข้าไปยังห้องโถงซึ่งเป็นที่ทำกิจกรรมหลักของคณะ พวกเราตอนนี้ดูเหมือนครูในโรงเรียนที่ออกมายืนรับไหว้นักเรียนไม่มีผิด

"เบ็น น้องมาแล้วจ้ะ" ลักษณ์กระซิบข้าง ๆ พร้อมสะกิดแขนผม

รุ่นน้องที่กำลังเดินตรงมาหาเรานั้นเป็นหนุ่มแว่นตัวน้อย ผมหมายถึง ส่วนสูงน้อยน่ะ

รูปร่างค่อนข้างผอมจนผมเป็นห่วงว่าลมแรง ๆ ข้างนอกจะพัดพาน้องปลิวออกไป ชายเสื้อสีดำหมอง ๆ ที่เขาใส่อยู่โบกสะบัดไปมาที่เอว มันดูโคร่งเกินไปสำหรับเด็กหนุ่มคนนี้

ตามใบหน้ามีสิวมากมาย ถึงจะไม่ได้มากเท่าตอนที่ผมอยู่ประถม แต่ก็ทำให้หน้าเป็นตะปุ่มตะป่ำไปพอสมควร ที่หางคิ้วข้างหนึ่งปรากฏแผลเป็นสีน้ำตาลแก่ลากยาวมาถึงโหนกแก้ม แต่เพราะเส้นผมยาวลงมาปิดหน้าปิดตาไปเกือบหมด แผลเป็นที่คิ้วนั้นจึงไม่เด่นชัดนัก

แต่ก็มีแผลเป็นใหญ่บนแก้มอีกข้างเหมือนกัน มันเป็นรอยขีดตามแนวขวางที่ดูเหมือนเพิ่งจะตกสะเก็ดไป

ผิวหน้าและช่วงแขนดูกร้านแดดจนคล้ำไปหมด แม้จะมีแว่นตาเลนส์หนาบดบังอยู่ ก็ไม่ได้ทำให้รอยต่าง ๆ เหล่านั้นดูน้อยลงเลย

แต่สิ่งที่ดูหมองหม่นที่สุดเห็นจะเป็นท่วงจังหวะการเดินและสีหน้าของน้องเขา ทั้งหลังค่อม ก้าวขาเนิบช้า สายตาล่อกแล่กไปมา มือสอดประสานกันข้างหน้าตัว ทุกอย่างส่องออร่าของความไม่มั่นใจในตัวเองออกมาชัดเจน

เด็กคนนี้...ไม่ผิดแน่ เด็กหนุ่มที่เจอกันเมื่อสองวันก่อน

วันนั้นเราพูดคุยกันนิดหน่อยที่นั่น ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือน้องเขาพูดกับตัวเอง ส่วนผมเป็นฝ่ายพูดใส่น้องเขาอย่างเดียว และเมื่อเข้าตึกมา ผมก็จัดการทำความสะอาดพื้นที่ ทั้งโต๊ะ ที่นั่ง และตามพื้น ส่วนพ่อหนุ่มคนนี้ยืนมองผมอยู่สักพัก แต่แล้วก็เดินเข้ามาช่วยกวาดอีกแรง

ถ้าวันนั้นไม่ได้เขามาช่วยละก็คงเหนื่อยแย่ ตอนนั้นผมยังไม่ทันได้พูดขอบคุณน้องเขาเลยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อแบกถุงขยะไปทิ้งแล้ว เขาก็หายตัวไปอย่างกับนินจา

แล้วหลังจากวันนั้นเราก็ไม่ได้เจอกันอีก...จนตอนนี้

เมื่อน้องคนนั้นเดินใกล้เข้ามา ลักษณ์กล่าวทักทายขึ้นมาตามปกติ "สวัสดีจ้า ทานข้าวมารึยังคะ"

สิ่งที่แปลกคือน้องเขาดูเหมือนจะหาวิธีตอบไม่ถูก ทำเหมือนลักษณ์กำลังถามคำถามระดับแข่งขันชิงแชมป์โลกไปได้

"น...หว...ครับ...บ...ป...ท...น...ครับ?" เด็กคนนี้พูดตอบมาไม่เป็นภาษา ยิ่งพูดปากก็ยิ่งสั่นขึ้นเรื่อย ๆ

ท่าไม่ดีแล้วแฮะ ฝนน้ำตาจะตกแล้ว "งั้นเดี๋ยวพี่พาไปส่งหน้าห้องโถงแล้วกันนะครับ" ผมอาสาพาน้องไปส่งหน้าห้องซะเลย ถ้าขืนปล่อยเดินไปคนเดียวผมกลัวจะเป็นลมล้มอยู่กลางทาง

เมื่อเขาพยักหน้าเบา ๆ ตอบตกลง ผมก็ฝากลักษณ์ให้อยู่ดูข้างหน้าไปก่อนแล้วเกาะไหล่พาเด็กคนนี้ไปด้วยทันที หัวของน้องเขาอยู่ประมาณระดับซี่โครงของผมทำให้ไม่เมื่อยแขนมาก

...ไหล่สั่นแรงชะมัด

หรือน้องเขาคิดว่าผมกำลังจะคุกคามทางเพศเหรอ เฮ้ยเปล่านะเว้ย แค่พยายามจะปลอบให้สงบแค่นั้นเอง

ผมกระตุกมือออกเหมือนโดนน้ำร้อนลวก

แล้วน้องก็เริ่มสั่นขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งแขนขา ทั้งปาก ทั้งไหล่ สักพักก็ปล่อยเสียงสะอื้นออกมา

"เฮ้ย ๆ ใจเย็น เป็นอะไรไปครับน้อง" ผมหันไปมองซ้ายมองขวากลัวว่าใครมาเห็นแล้วจะคิดว่าผมกำลังจะรังแกเด็ก "พี่ขอโทษ" ผมบอกไปแม้ว่าจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

"จ...ต...เหรอ"

"หืม?" ผมชะเง้อคอไปข้างหน้า พยายามเงี่ยหูฟังเสียงเล็ก ๆ ของเขาให้ได้ยิน

"จ...จะต่อยไหม..."

ห๊ะ!

ท้าต่อย? หรือ...อะไร?

หรือเพราะรูปร่างสูงใหญ่ยักษ์กว่าน้องเกินไปจนทำให้เขาตื่นกลัวไปก่อน

...รู้สึกเจ็บนิด ๆ แฮะ

ผมถอนหายใจยาวออกมาแล้วคลี่ยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน พยายามทำให้เขาหายกลัวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

จากมุมมองด้านบนมองลงมาข้างล่างแล้วเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็กเลยแฮะ

ว่าแล้วผมก็ย่อเข่าลงพื้นให้สายตาของเราอยู่ในระดับเดียวกัน น้องดูตกใจเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ได้วิ่งแจ้นไปไหน

"ฟังพี่นะ..." ผมจ้องมองเข้าไปในตาสีเข้มของเขาแล้วใช้เสียงที่น่าจะนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต "พี่ใจดีมากเลยน้า ถึงตัวจะใหญ่แต่พี่ไม่รังแกน้องหรอก โอเคไหมครับ"

เด็กหนุ่มตรงหน้าพยักหน้าน้อย ๆ แล้วเอามือขึ้นมาปาดน้ำตาออก

"แต่ถ้าใครมารังแกละก็ บอกพี่เลยนะ" ผมพูดแล้วทำท่าเบ่งกล้ามให้ดู "พี่จะไปต่อยมันให้" พูดจบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอยู่ตรงนั้นคนเดียวเหมือนคนบ้า ส่วนอีกฝ่ายหน้านิ่งไม่รับมุกกันเลย

"เบ็นจ๊ะ! โอเคไหม!" ลักษณ์คงจะเห็นผมไปนานเลยตะโกนถามหาผม

"อ่า! แป๊ปนึงนะ!" ผมตะโกนกลับไปแล้วหันไปพูดกับเด็กตรงหน้า "เข้าไปข้างในกันครับ"

ผมลุกขึ้นมายืนข้าง ๆ เขา เอื้อมมือไปเกาะไหล่ตามความเคยชินแล้วเดินไปด้วยกันอีกครั้ง

...เฮ้ย ผมลืมไปว่าไม่ควรเกาะไหล่

แต่ครั้งนี้น้องเขาไม่ได้ตัวสั่นเหมือนเมื่อกี้แล้วแฮะ

ผมเห็นแบบนั้นจึงไม่ได้เอาแขนออกแล้วเกาะไหล่น้องเขาต่อไป