webnovel

0548 อำนาจแห่งเทวะ

ตอนที่ 548 อำนาจแห่งเทวะ

เปลวไฟแห่งสงครามของโลกเก้าร้อยล้านชั้นปะทุขึ้น

กำปั้นเหล็กแบรี่ จอมมารทะเลเลือด และเกือบร้อยตัวตนทรงอำนาจระดับจ้าววงการ พุ่งทะยานเข้าสู่รอยแยกมิติที่เปิดออก เผชิญหน้ากับมารที่แท้จริง

ขณะเดียวกัน ทางด้านจิตวิญญาณพฤกษาศักดิ์สิทธิ์เทสส์และไก่ใหญ่ที่อยู่ในที่นั่งโซนพิเศษ ก็ได้ทำการลอบส่งข่าวไปยังโลกต่างๆ

เมื่อทริสเต้ปรากฏกายมาถามไถ่ แต่ดันพบเจอกับฉากไม่น่าอภิรมย์เข้า จึงเร่งจากไปทันที

ส่วนกู่ฉิงซานกับลอร่า ก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ในโลกสมบัติของทริสเต้ที่ถูกแอบไว้ภายในเค้กยี่สิบชั้น

 ณ ตอนนี้ ภายในโลกของทริสเต้

 บริเวณตีนเขาน้ำแข็ง

กู่ฉิงซานจ้องชั้นผิวน้ำแข็งอย่างเงียบๆ

มองลอดเข้าไปในชั้นน้ำแข็งหนา คุณจะสามารถมองเห็นเลือดสีดำและแดง ค่อยๆ แพร่กระจายอย่างช้าๆ

นี่คือร่องรอยของความตาย

ที่เกิดจากสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างโดยเทพบรรพกาล

ซึ่งสิ่งมีชีวิตที่ว่าน่ะ มีอารมณ์ความรู้สึก

 และถ้ามีอารมณ์ความรู้สึก นั่นย่อมหมายความว่ามันต้องมีแต้มพลังวิญญาณอย่างแน่นอน!

ตามที่บันทึกไว้ในพงศาวดารวันสิ้นโลก ช่วงชีวิตก่อนหน้าในวันนี้ มันระบุเอาไว้ว่าทริสเต้ได้ทรยศราชวงศ์หนาม หันไปพึ่งพิงเผ่ามาร และปลดปล่อยเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกาออนไลน์ เชื้อไฟ ในอัลเบอัส

แต่ทว่า!

 เรื่องราวจากในข่าว แท้จริงแล้วมันจะถูกต้องทั้งหมดเลยหรือ?

หลังจากที่ได้ย้อนเวลากลับมาในชีวิตนี้อีกครั้ง พอกู่ฉิงซานได้มาพิสูจน์เรื่องราวดังกล่าวด้วยตนเอง เขาก็พบว่าทุกอย่างมันคงจะไม่ง่ายดายเช่นนั้น

 ระบบเคยระบุเอาไว้ด้วยว่า พงศาวดารวันสิ้นโลกน่ะทำได้เพียงรายงานถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเหตุการณ์อันมีชื่อเสียงที่เกิดขึ้น แต่มันจะไม่สามารถเข้าใจถึงเนื้อหาข้อมูลและความจริงของเหตุการณ์นั้นๆ ได้อย่างชัดเจน

หลายร้อย หรืออาจจะถึงพันล้านคนได้เข้ามายังโลกของทริสเต้

และเชื้อไฟก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

มันเข้าแทรกแซงและแทนที่ภารกิจวิหคหนามของทริสเต้

 ขณะเดียวกันก็มีผู้ทดสอบหลายล้านคนถูกหลอกให้ดาวน์โหลดมัน

 และต้องไม่ลืมนะว่า เงื่อนไขของเชื้อไฟน่ะพิเศษกว่าใคร มันสามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณจากชีวิตที่ถูกสังหารลงได้ และมอนสเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาล ก็เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นกัน…

และหากเหล่าผู้เข้าสู่วิถีมารหลายร้อยพันล้านคนได้รับภารกิจให้ออกล่าสังหารเจ้าสิ่งมีชีวิตพวกนี้แล้วละก็...มันจะส่งผลให้เชื้อไฟสามารถเก็บรวบรวมแต้มพลังวิญญาณได้อย่างมหาศาล พุ่งทะยานขึ้นอย่างมิอาจคาดคำนวณได้

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ

ช่วงเวลาที่ตนเข้าสู่โลกใบนี้ หากเทียบเปรียบกับคนอื่นๆ แล้ว นับว่าเชื่องช้าเป็นอย่างมาก

ตอนนี้น่ากลัวว่าผู้คนมากมายคงกำลังดำเนินภารกิจที่เกี่ยวข้องกับการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณอยู่ และเชื้อไฟก็มีแนวโน้มที่จะอัพเกรดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว

 นี่เป็นสถานการณ์ที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ไม่มีใครสามารถไปได้ไกลเกินกว่าขอบเขตของมิติและเวลา วิ่งทะยานไปดักหน้าพวกเขาทั้งหมด เพื่อหยุดยั้งการเฟ้นหาแต้มพลังวิญญาณสำหรับเชื้อไฟได้

แต่ต่อให้กู่ฉิงซานรีบไป แล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้?

 แน่นอนว่าด้วยความแข็งแกร่งของกู่ฉิงซาน มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นเกินไปที่จะสังหารหลายสิบผู้เข้าสู่วิถีมาร

แต่หากต้องเผชิญหน้ากับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยล้านพันล้าน ตัวเขาคนเดียวจะไปสู้มันได้อย่างไร?

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะคว้าชัยชนะ

ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่ว่าหากเชื้อไฟได้อัพเกรดขึ้นมาเป็นต้นกำเนิดแล้ว

เมื่อย้อนนึกไปถึงทุกประเภทของความสิ้นหวังในชีวิตก่อนหน้า และมองมายังสถานการณ์ในปัจจุบัน กู่ฉิงซานก็จมลงสู่ความเงียบงันไปนาน

เขาเงยหน้า มองขึ้นไปบนยอดเขา

ที่นั่นจะเป็นกับดักของเชื้อไฟ หรือว่าเป็นสถานที่รับภารกิจจริงๆ กันแน่นะ?

กู่ฉิงซานหลับตาคง คิดตริตรองอย่างเงียบๆ

ถ้าหากเป็นกับดัก นั่นหมายความว่าเชื้อไฟกำลังพยายามที่จะลบตนเองซึ่งเป็นผู้ที่ต่อต้านมันให้หายไป

เพราะอย่างไรเสีย เชื้อไฟก็มีผู้เข้าสู่วิถีมารมากมายเป็นหมากให้ใช้มาลอบโจมตีเขา

ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะทรงพลังเพียงใด แต่เขาก็ไม่สามารถเอาชนะรุ่นเยาว์นับร้อยพันล้านที่โดดเด่นจากตลอดทั้งโลก เก้าร้อยล้านชั้นได้โดยลำพังอย่างแน่นอน

ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ปีนเขา และหลบหนีออกไปจากที่นี่ในทันที

กู่ฉิงซานถอนหายใจเล็กน้อย

แต่หากทำแบบนั้น มันก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะค้นพบว่าเชื้อไฟกำลังคิดหมายจะกระทำสิ่งใด และยังไม่อาจล่วงรู้ถึงความลับของโลกใบนี้อีก

เขาเพิ่งจะได้เห็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นโดยทวยเทพในสมัยโบราณอันไกลโพ้น ขณะที่บนยอดเขา ก็มีวิหารของเหล่าทวยเทพตั้งอยู่

ซึ่งเห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนั้นมันเก็บงำความลับที่ตนจำเป็นต้องรู้เอาไว้

หลายหมื่นแสนปีที่แล้ว เทพบรรพกาลได้หายไปจากโลกเก้าร้อยล้านชั้น โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย

 ทว่าสิ่งมีชีวิตโบราณยังถูกเก็บงำเอาไว้ในโลกใบนี้ และยังคงสามารถมีชีวิตรอดได้เรื่อยมา

 หากกู่ฉิงซานไม่อาจค้นพบถึงความลับอันลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในโลกใบนี้ ผลพวงของมันก็คือ เขาจะไม่สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเชื้อไฟกำลังวางแผนกระทำสิ่งใด

ภายใต้สถานการณ์นี้ สองตาของกู่ฉิงซานมืดบอด ไม่อาจมองเห็นหนทางใดๆ ได้เลย ด้วยความแข็งแกร่งของตน เขาไม่สามารถต่อกรกับผู้เข้าสู่วิถีมารนับร้อยพันล้านที่ถูกควบคุมโดยเชื้อไฟได้อย่างแน่นอน

ถ้าอย่างงั้นในกรณีนี้...

สองเท้ายังคงยืนหยัดอยู่บนพื้นน้ำแข็ง

โดยปกติแล้วกู่ฉิงซานมักจะทำการตัดสินใจอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด แต่ครั้งนี้เขากลับลังเล

หากตนหันหลังและจากไป ก็เท่ากับเป็นการตัดสิทธิ์ในการต่อกรกับเชื้อไฟโดยสมบูรณ์

หากปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขา ก็มีแนวโน้มว่าจะตกลงสู่กับดักของเชื้อไฟ

พอคิดถึงสองข้อนี้ กู่ฉิงซานก็ทอดถอนหายใจ และอดไม่ได้ที่จะก้าวขึ้นไปบนบันได วางมือพิงตนเองลงบนผนังน้ำแข็ง

แล้วความเย็นเยียบก็กัดกินเขา แทรกผ่านเข้ามาตามนิ้วและฝ่ามือ

ซึ่งเหตุการณ์นี้ ส่งผลให้กู่ฉิงซานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เพราะพลังวิญญาณของเขา มันกลับไม่สามารถหยุดไอเย็นจากน้ำแข็งได้เลย

เห็นแค่เพียงบรรทัดแสงหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ยอดภูเขาน้ำแข็งของทวยเทพ”

“ในสมัยโบราณอันไกลโพ้น เหล่าทวยเทพได้สร้างวิหารขึ้นบนภูเขาเพื่อเฝ้ามองสิ่งมีชีวิตที่ตนเองได้สร้างขึ้น”

“บนภูเขาแห่งนี้มี ‘อำนาจเทวะ’ บางส่วนของเทพบรรพกาลสถิตอยู่”

“อำนาจเทวะ เคารพและศรัทธา”

เคารพและศรัทธา สิ่งมีชีวิตที่คิดปีนป่ายขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ จะไม่สามารถสวมใส่ไอเท็มใด ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาลได้ มิฉะนั้นแล้วไอเท็มดังกล่าวจะถูกทำลายลงทันทีโดยตรง

“วิชายุทธเทพสงคราม คุณไม่สามารถศึกษาและเรียนรู้เทคนิคอำนาจเทวะของเทพบรรพกาลได้”

“พงศาวดารวันสิ้นโลก ย้อนค้นหาข้อมูลไปตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น เงื่อนงำเกี่ยวกับภูเขาน้ำแข็งลูกนี้ไม่เคยปรากฏต่อสาธารณะ”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านมัน ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงันไปครู่หนึ่ง

อำนาจเทวะ?

พลังของมันก็คือ สามารถสร้างความเสียหาย ทำลายไอเท็มได้เลยโดยตรง...พลังนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!

แม้เทพบรรพกาลจะจากไปนับหมื่นแสนปีมาแล้ว แต่อำนาจเทวะของพวกเขาก็ยังคงทำงานอยู่อย่างงั้นหรือ?

…อย่าบอกนะว่า

กู่ฉิงซานก้มลงมองใต้ฝ่าเท้าตน

เขาพบว่าตนกำลังเหยียบอยู่บนขั้นบันไดแรก

หรือกล่าวอีกความหมายหนึ่งก็คือ ถือได้ว่าตนได้ปีนป่ายขึ้นมาบนภูเขาลูกนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

กู่ฉิงซานเกิดความหวาดกลัวขึ้นในจิตใจ เขาเร่งตะโกนทันที “ดาบพิภพ! เช่าหยิน! ฉานนู่!”

“ข้าอยู่นี่”

“ฮู้ม!”

“นายน้อย?”

สามดาบโผล่ออกมาจากในความว่างเปล่าเบื้องหลังเขา เปล่งเสียงขานรับพร้อมกัน

กู่ฉิงซานพอได้ยินจึงค่อยถอนหายใจโล่งอก

 ดูเหมือนว่าอำนาจเทวะจะไม่ได้ทำงาน

เขาเลยยกเท้าอีกข้างขึ้น และกำลังจะก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นที่สอง

แต่จู่ๆ ก็ปรากฏถึงสายลมหนาวพัดโชยมา

พริบตานั้นเกราะรบนายพลชั้นโหยวจีพลันสลายกลายเป็นผง ปลิดปลิวหายไปกับสายลม

กู่ฉิงซานตะลึงงัน

เขาเอี้ยวตัวกลับทันควัน มองไปยังดาบยาวทั้งสามเบื้องหลัง

แต่พบว่าพวกมันก็ยังคงลอยล่องอยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าดังเดิม

มันอย่างไรกันแน่เนี่ย!

สายตาของกู่ฉิงซานกวาดมองผ่านทั้งสาม ก่อนจะค่อยๆ เบนตกลงมาสังเกตพวกมันทีละเล่ม ทีละเล่ม

 ดาบพิภพ

เมื่อมองไปยังดาบเล่มนี้ กู่ฉิงซานก็ย้อนนึกไปถึงคำบอกเล่าของนางเซียนไป่ฮั่วในยามที่มอบมันเป็นของรับขวัญให้แก่ตน “ดาบพิภพเป็นมรดกตกทอดมาจากนิกายเก่าของข้ามานานนับหนึ่งแสนปี เนื่องจากมันล้ำค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้ จึงไม่เคยถูกนำมาใช้ต่อกรกับศัตรูเลย และมันมีความสามารถในการสื่อสารกับเทพวิญญาณ เป็นดาบที่เสียสละตนเพื่อสวรรค์และโลก”

 ดูเหมือนว่าในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ จะเรียกเทพบรรพกาลว่าเทพวิญญาณ

ประโยคที่บอกว่า ดาบพิภพสามารถสื่อสารกับเทพบรรพกาลได้ มันสอดคล้องกับอำนาจเทวะ เคารพและศรัทธา ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเหล่าทวยเทพ ดังนั้นมันจึงไม่ถูกทำลายลง

ถึงแม้ว่ามันจะชมชอบในการเข่นฆ่าลูกหลานของเทพบรรพกาลก็ตามที

มองไปยังดาบเช่าหยินอีกครั้ง

เช่าหยินเป็นดาบที่ถูกหล่อหลอมขึ้นโดยเหล่าทวยเทพในสมัยโบราณ ดังนั้นมันจึงสอดคล้องกันเงื่อนไขนี้โดยตรง

ถัดไปคือดาบขุนเขาเทวะหกโลกา

ดาบนี้เป็นที่เคารพบูชา เป็นสิ่งประดิษฐ์เทวะจากโลกปรภพ มันครอบครองถึงสี่พลังศักดิ์สิทธิ์ ‘อมตะ’ ‘แหกกฎ’ ‘ทรงปัญญา’ และ ‘ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปกปักโลกา’ เป็นดาบที่ใช้ควบคุมภูเขาศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน

ดาบเล่มนี้ตกทอดมาตั้งแต่ครั้งในสมัยโบราณ และถูกนำมาใช้ในการควบคุมปรภพโดยลูกหลานของทวยเทพ ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับเทพบรรพกาล

ดูเหมือนว่าสามดาบนี้จะผ่านการคัดกรองจากอำนาจเทวะ เคารพและศรัทธา 

แต่นี่มันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ?

ไม่รีรอให้เสียเวลาคาดเดา กู่ฉิงซานตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอาดิสก์ค่ายกลแผ่นหนึ่งออกมาทันที

ทันใดนั้นดิสก์ค่ายกลก็สลายเป็นเถ้าถ่าน ปลิดปลิวไปตามสายลมหนาวในพริบตา

คงไม่ผิดพลาดแล้ว…

อำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพยังคงทำงานอยู่

“เอ๊ะ? ชุดเกราะโทรมๆ กับไอเท็มของเจ้าถูกทำลายลงอย่างงั้นหรือ?” ลอร่าอุทานด้วยความประหลาดใจ

“ใช่ มันมีอำนาจอันคงกระพันบางอย่างถูกติดตั้งเอาไว้ที่นี่” กู่ฉิงซานตอบ

เขาอดไม่ได้ที่จะลอบประหลาดใจอย่างลับๆ ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าอำนาจเทวะของเหล่าทวยเทพจะยังคงอยู่ แม้พวกเขาจะจากไปแล้วนับหมื่นแสนปีก็ตามที

จักต้องเป็นพลังชนิดใดกัน จึงจะทรงพลานุภาพถึงเพียงนี้?

“เราสัมผัสได้ถึงพลังของเทพบรรพกาล” ลอร่าที่นั่งสบายๆ อยู่บนไหล่เขากล่าว “สิ่งที่เจ้าครอบครองอยู่มันด้อยค่ามากเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงถูกทำลายลงด้วยอำนาจบางอย่าง อย่างง่ายดาย แต่...”

“แต่อะไร?”

 “การที่มันถูกทำลายคงจะดีกว่า เพราะชุดเกราะแบบนั้นสวมใส่มันไปก็ไร้ประโยชน์”

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น “สำหรับกระหม่อมมันมีประโยชน์มากเลยนะ ท่ามกลางการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน เกราะรบนั่นมีบทบาทอยู่มากทีเดียว”

“ก็คงจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจ้าเป็นนักดาบ และนักดาบก็มักจะต่อสู้ในระยะประชิด…”

ลอร่ามองไปยังกู่ฉิงซาน นิ่งคิดอยู่นาน

จนในที่สุด เธอก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้ ปากเอ่ยกล่าวว่า “พอดีว่าเรามีชุดเกราะเก็บสะสมเอาไว้เช่นกัน เจ้าสามารถนำมันไปใช้ได้นะ”

ขณะกล่าว ลอร่าก็เอื้อมไปค้นกระเป๋าใบเล็กๆ ของเธอ

 กู่ฉิงซานรีบส่ายมือห้ามปรามอย่างรวดเร็ว “อย่าหยิบมันออกมาเชียวนะ! พลังบนภูเขาลูกนี้รุนแรงมาก เดี๋ยวเกราะรบของฝ่าบาทก็ถูกทำลายลงโดยตรงหรอก”

ทว่าเพียงแค่เสียงพูดตกลง ลอร่าก็ดึงจี้เส้นหนึ่งออกมาเสียแล้ว จากนั้นเธอก็แขวนมันลงบนคอของกู่ฉิงซาน

…………………………………..........