webnovel

0549 ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา

ตอนที่ 549 ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูจี้บนหน้าอกตัวเอง

แต่กลับพบว่าที่เขาห้อยคออยู่ตอนนี้ มีเพียงตราสัญลักษณ์เทพแห่งความตายของแอนนาเท่านั้น

เครื่องประดับชิ้นนี้ หลังจากที่เขาก้าวเข้าสู่อาณาเขตที่แท้จริงของภูเขาหิมะและน้ำแข็ง มันก็ยังมิได้ถูก

ทำลายใดๆ

ทว่านอกเหนือไปจี้เส้นนั้น บนคอของเขาก็ไม่มีเครื่องประดับชิ้นอื่นอยู่อีกเลย

‘ห้ามใช้ไอเท็มที่ไม่เกี่ยวข้อง…’

กู่ฉิงซานก้มลงมองดูตัวเอง

อืม...เสื้อผ้าคงไม่ถูกนับว่าเป็นไอเท็มสินะ

หากอ้างอิงตามสถานการณ์ที่พบเจอ อำนาจเทวะคงจะมีเอาไว้ใช้ปกป้องสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นจาก อาวุธของศัตรูเป็นแน่

โชคยังดีที่ไม่ว่ากู่ฉิงซานจะไปยังแห่งโลกปรภพ หรือแห่งหนใด  เขาก็มักจะเก็บสัมภาระต่างๆ รวมไปถึงถุงหอมหลากสีของนิกายร้อยบุปผาไว้ในทะเลแห่งห้วงสติ ไม่ค่อยจะนำมันออกมาภายนอกสักเท่าไหร่

มิฉะนั้นแล้ว สัมภาระเหล่านั้น คงจะถูกลบหาย กลายเป็นขี้เถ้าไปในทันที

ตอนนี้ ดูเหมือนว่าสิ่งที่ลอร่าได้นำออกมา มันจะถูกทำลายลงโดยอำนาจเทวะไปเสียแล้ว

กู่ฉิงซานยิ้มอย่างขมขื่น กล่าวด้วยความเสียใจ “กระหม่อมเตือนแล้วนะ ว่าอย่าเอามันออกมา”

แต่บนใบหน้าของลอร่าดันปรากฏถึงรอยยิ้ม และไม่ตอบอะไรกลับมา

ขณะนั้นเอง บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม จู่ๆ ก็ปรากฏบรรทัดตัวอักษรเรืองแสงขนาดเล็กขึ้น

“?”

“? กำลังสัมผัสและพิจารณาถึงทุกสิ่งทุกอย่างในตัวคุณ เพื่อทำการตัดสินใจว่ามันจะสำแดงชุดเกราะ นี้ออกมาในรูปแบบใด”

“นี่คือของโบราณที่หายสาบสูญไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย ทุกสิ่งมีชีวิตแทบจะไม่สามารถเข้าไปถึงที่นั่นได้ เว้นไว้แต่เพียงวิหคหนามไม่กี่ตนเท่านั้น”

“สำหรับ ‘?’ ระบบไม่สามารถทราบข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจงของมันได้ ฉะนั้นโปรดเฝ้ารออย่างอดทนให้มันเผยโฉมขึ้นมาเอง”

กู่ฉิงซานกวาดสายตาอ่านระบบเทพสงคราม ในหัวใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความสงสัย

“อะไรคือก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย?” เขาถาม

ติ๊ง!

ระบบเทพสงครามตอบ “ก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในดินแดนอัศจรรย์ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นชั้นในสุดของโลกเก้าร้อยล้านชั้น”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามอีกครั้ง “แล้วนอกเหนือไปจากวิหคหนาม สิ่งมีชีวิตอื่นๆ จะไม่สามารถเข้าไปได้จริงๆ น่ะหรือ?”

“ในความเป็นจริงแล้ว กระทั่งวิหคหนามส่วนใหญ่ เมื่อเข้าสู่ที่นั่นก็มิแคล้วตกตายลงทันที มีเพียงสายเลือดไม่กี่คนของราชวงศ์เท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปยังก้นบึ้งแห่งความสับสนได้”

ดินแดนอัศจรรย์…อันตรายถึงขนาดนั้นเชียว?

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมทุกคนถึงกระตือรือร้น ปรารถนาที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่าง จากการเรียกขานของวิหคหนามในครั้งนี้กันนัก

ไม้เว้นแม้แต่แบรี่กับเสี่ยวเหมียว ที่คาดหวังว่าจะใช้สิ่งของจากดินแดนอัศจรรย์ ช่วยปลดหนี้ให้แก่ตนเอง

หากอ้างอิงตามตรรกะนี้ ก้นบึ้งแห่งความสับสนวุ่นวายของโลกที่แตกสลาย มันคงจะไม่สามารถเข้าไปได้

“ลอร่า แล้วท่านไปเอาสิ่งนี้มาได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามโดยตรง

“เห? เจ้าสังเกตเห็นถึงมันแล้วงั้นหรือ เร็วกว่าที่เราคิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย”

ลอร่าเอ่ยต่อ “ชุดนี้คือสิ่งที่มาจากสถานที่ที่น่าสะพรึงกลัวมากเป็นพิเศษ และไม่เคยมีใครกล้าเข้าไปที่นั่น ส่วนตัวเรา เพื่อที่จะพิสูจน์ว่าตนพร้อมที่จะเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ สักที เราจึงทดสอบตนเองโดยการเข้าไปสำรวจมันมาครั้งหนึ่ง”

“เช่นนั้นในภายภาคหน้าก็จงอย่าได้ไปเยือนมันอีก สถานที่นั้นมันอันตรายเกินไป” กู่ฉิงซานเอ่ยสั่งเด็ดขาด

ในสถานที่ที่ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้ กระทั่งวิหคหนามส่วนใหญ่ในดินแดนอัศจรรย์ก็ยังตกตายลง เรื่องเสี่ยงอันตรายแบบนั้น มันควรจะเป็นการดีกว่าหากลอร่าจะไม่ไปเหยียบมันอีก

ลอร่าพอเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของเขา ริมฝีปากของเธอก็ม้วนสูงขึ้น

“มันไม่เป็นไรหรอก เพราะสถานที่แห่งนั้น หากเราไปไม่ได้ คนอื่นๆ ก็คงจะไม่มีใครสามารถไปได้”

“เพราะอะไร?”

“เพราะว่านี่ไง”

ขณะกล่าว ลอร่าก็หายวับไปจากไหล่ของกู่ฉิงซานในทันใด

กู่ฉิงซานลองเพ่งการรับรู้บนไหล่เขา แต่ก็ไม่สามารถตรวจจับลอร่าได้อีกต่อไป

เขาจึงปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะ เพื่อค้นหาอีกรอบ แต่ก็ไม่พบอะไรเลย

หากจิตสัมผัสเทวะไม่อาจตรวจจับได้ นี่นับว่าเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งสำหรับผู้ฝึกยุทธ

เพราะสำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว พวกเขามักจะคุ้นเคยกับการใช้จิตสัมผัสเทวะในการตรวจสอบศัตรู ทว่าหากสูญเสียความสามารถที่ว่านี้ไป มันก็จะเปรียบดั่งดวงตาของพวกเขามืดบอด และจะตกเป็นเป้าหมายในการถูกสังหารได้

กู่ฉิงซานย้อนคิดไปถึงฉากภายในที่นั่งโซนพิเศษก่อนหน้านี้

ที่จู่ๆ ลอร่าก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน จนตนเองตกใจถึงขั้นสำลักเหล้าออกมา

และเมื่อลองคิดย้อนต่อไปเรื่อยๆ

ดูเหมือนว่าตัวตนทรงอำนาจอย่างลูกพี่ไก่ จิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หรือกระทั่งทริสเต้ ก็ยังไม่อาจค้นพบตัวลอร่าได้

นี่มันน่าสนใจจริงๆ

“ลอร่า ท่านยังอยู่ที่เดิมใช่ไหม?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ

 “ใช่ เรายังคงนั่งอยู่บนไหล่เจ้า”

ลอร่าตอบกลับ

กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไป แล้วตบๆ ลงบนอากาศที่ว่างเปล่าตรงไหล่เขาโดยตรง

“แปลกจริง แต่ฝ่าบาทดูไม่เหมือนกับว่ากำลังอยู่บนไหล่ของกระหม่อมเลย”

“เรายังอยู่ที่เดิม แต่เราสามารถหลบเลี่ยงทุกสิ่งอย่างได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่อาจค้นพบถึงเรา” 

ลอร่ากล่าว และปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

แล้วกู่ฉิงซานก็รับรู้ได้ถึงน้ำหนักบนไหล่ของเขาอีกครา

เขาเริ่มครุ่นคิด

ในตอนที่ลอร่าหายตัวไป กระทั่งน้ำหนักตัวของเธอก็ยังหายไปด้วย ส่วนตนเองก็ได้ลองยื่นมือออกไปสัมผัสตรงที่เธออยู่ แต่กลับทะลุผ่านไปในความว่างเปล่าโดยตรง

ดูเหมือนว่าในยามเมื่อเธออยู่ในสภาวะนี้ เธอจะไม่มีทางได้รับบาดเจ็บหรืออันตรายใดๆ

หากลองคิดเกี่ยวกับสภาวะนี้อย่างถี่ถ้วน จะพบว่านี่คือความสามารถในการปกปิดร่องรอย และป้องกันตนเองจากในทุกๆ การโจมตี

นี่มันร้ายกาจเกินไปแล้ว!

“เมื่อครู่นี้ฝ่าบาทได้ใช้งานเทคนิคมนตราอะไรไปกัน?” กู่ฉิงซานถามอย่างอยากรู้อยากเห็น

“เมื่อก่อนเราชอบเรียกมันว่า ‘จ๊ะเอ๋’ แต่หากอิงตามบันทึกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์แล้ว พรสวรรค์เช่นเดียวกับเรานี้ เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในครั้งเมื่อหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมา และมันถูกเรียกว่า ‘ลี้ภัยแห่งหมื่นโลกา’”

ลอร่ายืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ และเล่าต่อว่า “นี่คือพรสวรรค์แห่งราชวงศ์หนามของเรา ว่ากันว่าเป็นเรื่องยากเย็นนักที่จะสามารถปลุกมันขึ้นมาได้ ในระหว่างหลายหมื่นปี มันปรากฏขึ้นเพียงสองครั้งเท่านั้น และเราคือคนที่สองที่สามารถปลุกมันได้”

“มันวิเศษมากจริงๆ” กู่ฉิงซานเอ่ยสรรเสริญ

ลอร่าหยิบเอาชิ้นเค้กออกมา และเริ่มกินมันทันที

เธอเอ่ยปากกล่าวทั้งๆ ที่ยังเคี้ยวอาหารอยู่ “แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราใช้ความสามารถนี้ มันจะหิวมากๆ และจำเป็นต้องเติมเต็มพลังงานเข้าไป”

“ความสามารถนี้ไม่สามารถใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากเรา และถ้าพลังงานของเราหมดลง เราก็จะไม่สามารถใช้มันได้”

“มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียบ้างเป็นธรรมดา แต่เท่านี้ก็ร้ายกาจมากพอแล้วนะ” กู่ฉิงซานยิ้ม

เขายืนรอลอร่ากินเค้กของเธอจนเสร็จ

“เราอิ่มแล้ว ไปกันเถอะ”

“รับทราบแล้ว...”

แม้ปากจะตอบรับ แต่กู่ฉิงซานกลับยังคงยืนนิ่ง ไม่ขยับไปไหน

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?” ลอร่าเอ่ยถามด้วยความกังวล

กู่ฉิงซานมองไปที่เธอ จากนั้นก็มองดูภูเขาน้ำแข็ง และสูดลมหายใจเงียบๆ

ไม่ว่ามันจะมีกับดักอะไร แต่วิหารบนภูเขาน้ำแข็งนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยเทพบรรพกาลอย่างแน่นอน

และมันจะต้องเก็บงำความลับของโลกใบนี้เอาไว้

ถ้าเขาต้องการที่จะเอาชนะเชื้อไฟ อย่างไรก็ต้องลองไปดู!

ในที่สุดกู่ฉิงซานก็ตัดสินใจแม่นมั่นแล้ว

“ไม่มีอะไรหรอก ไปกันเถอะ”

“ป่ะ” ลอร่าพยักหน้า

แล้วพวกเขาก็ขึ้นไปบนหลังม้า

ม้าทมิฬเริ่มก้าวขึ้นบนบันไดที่ทำจากน้ำแข็ง

และมันว่องไวมาก ในไม่ช้า มันก็นำพาพวกเขามาถึงจุดสูงสุดของภูเขา

กู่ฉิงซานลงจากหลังม้า และยกลอร่าขึ้นมาวางบนไหล่ของเขา

 ทั้งสองเดินเข้าไปในวิหาร

และค้นพบว่าตลอดทั้งตัววิหารไม่แตกต่างไปจากภูเขาน้ำแข็งเลย ทั้งหมดทั้งมวลมันถูกประกอบขึ้นจากผลึกน้ำแข็งสีฟ้าใส เมื่อเดินเข้าไปภายใน ก็จะสามารถเห็นถึงแสงจากท้องฟ้า และเงาจากก้อนเมฆที่ทะลวงผ่านหลังคาเข้ามาได้อย่างชัดเจน ราวกับว่าเพดานของวิหารนั้นไม่มีอยู่จริง

ภายในวิหาร ไม่มีรูปปั้นเทพวิญญาณ หรืออะไรทำนองนั้นอยู่เลย

กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ

นอกเหนือไปจากขั้นบันไดขนาดใหญ่ แท่นสูงที่ว่างเปล่า และจัตุรัสกว้างขวางแล้ว มันก็ไม่มีสิ่งใดอยู่อีกเลย

แม้ว่าที่นี่จะถูกทิ้งร้างมาแล้วนานปี แต่พื้นที่ของมันก็ยังกว้างขวาง ดังนั้นการรองรับผู้คนหลายพันย่อมมิใช่ปัญหา

บนใจกลางจัตุรัส มีถ้ำน้ำแข็งขนาดใหญ่วางตั้งอยู่

ภายในถ้ำน้ำแข็งเป็นสีน้ำเงินทึบ ผสมปนเปไปกับหมอกเลือดจางๆ ที่ลอยล่องไปมา ยามเมื่อมันถูกแสงสะท้อน จะให้ความรู้สึกคล้ายโดมกลมๆ ที่ลอยวนอยู่เบื้องบนของตัววิหาร

ถ้ำน้ำแข็งแห่งนี้เป็นเส้นทางนำไปสู่ภายในของภูเขาน้ำแข็งโดยตรง

ดูเหมือนว่าในสมัยโบราณ สถานที่นี้จะเป็นจุดที่เหล่าเทพบรรพกาลใช้เรียกสิ่งมีชีวิตที่พวกเขาสร้างขึ้นมาจากสระน้ำลึกที่อยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง

มองไปยังถ้ำน้ำแข็งปรากฏให้เห็นถึงมอนสเตอร์ขนาดสูงใหญ่เท่าภูเขา กำลังนอนนิ่งอยู่บนพื้นนอกถ้ำ

ไม่จำเป็นต้องสังเกตดีๆ ก็จะเห็นถึงหลุมเลือดน่าหวาดกลัวหลายแห่งบนตัวมัน ขณะเดียวกันก็มีเลือดสดๆ กำลังไหลออกมา

มอนสเตอร์นอนนิ่งอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่ามันได้ตายไปแล้ว

ขณะที่รอบตัวมอนสเตอร์ มีหลายร้อยคนที่นั่งแยกตัวกันเป็นกลุ่มเล็กๆ กำลังพักผ่อนอยู่

กู่ฉิงซานลองนับดูคร่าวๆ พบว่ามันมีราวๆ แปดร้อยคน

และทุกคนในสถานที่แห่งนี้ ดูจะไม่ด้อยไปกล่าว ผู้เข้าสู่วิถีมารสิบกว่าคนที่เข้าพึ่งสังหารลงไปเลย

เห็นได้ชัดว่ามอนสเตอร์ตัวนี้ถูกรุมสังหารโดยกลุ่มแปดร้อยกว่าคนที่ว่านี้

นี่แหละคือคำตอบ!

การคาดเดาของตนนับว่าถูกต้องจริงๆ เชื้อไฟคงมอบภารกิจสั่งการให้เหล่าผู้เข้าสู่วิถีมาร ออกล่าสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ เพื่อเพิ่มแต้มพลังวิญญาณให้แก่ตนเอง

แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เชื้อไฟมันหายไปไหนแล้ว

หรือว่ามันได้อัพเกรดเป็นต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้วกันนะ?

ความรู้สึกวิกฤตในจิตใจของกู่ฉิงซาน เข้มข้นขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เขามองไปยังฝูงชน

ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นก็กำลังเฝ้ารออะไรบางอย่างอยู่เหมือนกัน

หมายความว่ายังจะมีสิ่งมีชีวิตโบราณออกมาจากถ้ำเพิ่มขึ้นอีกใช่หรือไม่?

 กู่ฉิงซานหยุดฝีเท้า และจ้องมองไปยังหน้าต่างเชื้อไฟ

“ฉันมาถึงที่นี่แล้ว จะต้องทำอะไรต่อ?” กู่ฉิงซานถาม

ทว่าบนหน้าต่างสีแดงเข้ม กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

เชื้อไฟไม่ตอบสนองเขา

อย่างรวดเร็ว! ตลอดทั้งหน้าต่างเชื้อไฟกลับกลายเป็นสีเทา

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ

นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

ในตอนนั้นเอง เหล่าผู้ที่กำลังพักผ่อนอยู่ต่างหันมามองเขาเป็นสายตาเดียว

บางคนเริ่มผุดลุกขึ้น

“นั่นน่ะหรือคือเป้าหมายของภารกิจ ทำไมมันถึงได้ดูอ่อนแอจัง?” นักรบที่ถือค้อนหนักในมือจ้องมองกู่ฉิงซาน

“อย่ามองแค่ภายนอกสิ ฉันสัมผัสได้ว่าความแข็งแกร่งของชายคนนี้ กระทั่งในหมู่พวกเราก็ยังนับว่าโดดเด่นอยู่ในอันดับต้นๆ เลยนะ” ชายที่ครอบครองคู่ดวงตาสีม่วงเรืองรอง เพ่งมองมาทางกู่ฉิงซานและกล่าว

ดูจากรูปลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นของเขา เหมือนกับว่าอีกฝ่ายกำลังเปิดใช้งานเทคนิคตรวจสอบบางอย่างอยู่

“โอ้ อย่างงั้นหรือ”

ฝูงชนพยักหน้าและเริ่มพูดคุยกัน

“ในเมื่อ ‘ตาเทพ’ ตัดสินว่าเป็นแบบนั้น ถ้างั้นมันคงจะไม่ผิดพลาด”

“แต่โดดเด่นแล้วอย่างไร? ทางฝั่งเรามีคนอยู่มากมาย แค่ช่วยกันกระโดดทับๆ มันก็คงตายแล้วมั้ง”

“ใช่ ไม่คาดคิดเลยว่าฆ่าคนเพียงสองคน จะได้รับรางวัลมากมายขนาดนี้”

“ตามสัญญาที่เคยได้คุยกันไว้นะ ว่าพวกเราจะลงมือพร้อมกัน ไม่ชิงฆ่ามันคนเดียว”

“แน่นอน ก็ตกลงกันมาตั้งแต่แรกแล้วนี่นา”

มากกว่าแปดร้อยผู้เข้าสู่วิถีมารที่ทรงพลัง คนแล้วคนเล่าทยอยกันผุดลุกขึ้น 

พวกเขาจัดแจงอุปกรณ์และอาวุธของตัวเอง สาดสายตามองมายังกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย

ทั้งหมดเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้และทั้งหมดไม่ใช่พวกมือใหม่ แต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกมาเป็นอย่างดีโดยเชื้อไฟเพื่อช่วยออกล่าสังหารสิ่งมีชีวิตโบราณ!

กู่ฉิงซานหันหลังกลับไป

และพบว่าทางเข้าวิหาร…ได้ถูกปิดกั้นโดยมนตราของผู้เข้าสู่วิถีมารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

…………………………………..........