ตอนที่ 440 ความคิดของฉีหยาน
ทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องต่างพากันถอยออกไปจนสิ้น
บนแท่นเวทีสูง บัดนี้เหลือเพียงสามปรมาจารย์ตำหนักเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งสามนิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จากันไปพักหนึ่ง
สองปรมาจารย์ค่ายดูเหมือนว่ากำลังขบคิด ว่าพวกเขาสมควรจะกล่าวอะไรต่อไปดี
กู่ฉิงซานก็ยังคงปิดปากเงียบเช่นกัน
แต่นั่นมันก็เพราะเขามิได้ล่วงรู้เกี่ยวกับเรื่องที่จำต้องพูดคุยกันอย่างลับๆ นี้ ดังนั้นหากพูดมากความไปเดี๋ยวมันจะผิดสังเกต
เขาจึงใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่แต่ละฝ่ายกำลังเงียบงัน เบนสายตาไปมองหน้าต่างระบบเทพสงคราม
นั่นเพราะบรรทัดแสงหิ่งห้อยขนาดเล็กปรากฏขึ้นบนมันมาสักพักแล้ว
กู่ฉิงซานเอาแต่ทุ่มสมาธิอยู่กับการให้ความสำคัญกับการรับมือกับสถานการณ์เมื่อครู่ จนไม่มีเวลาที่จะมองมันเลย
“คุณได้สังหารหวังชีเฉิน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นปลาย”
“คุณได้สังหารซ่งจิ่ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพขั้นกลาง”
“เนื่องจากการโจมตีทั้งสองคือการใช้ความอ่อนแอสยบความแข็งแกร่ง และเป็นการสังหารในกระบวนท่าเดียว ดังนั้นคุณจึงได้รับแต้มพลังวิญญาณเกินกว่าขีดจำกัดที่มี”
“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ เจ็ดร้อยจุด”
“คุณได้รับแต้มพลังวิญญาณ ห้าร้อยจุด”
“แต้มพลังวิญญาณคงเหลือ 1203/300”
มองไปยังหลายบรรทัดแสงหิ่งห้อย ในหัวใจที่หวั่นไหวของกู่ฉิงซานก็ค่อยสงบลงเล็กน้อย
ในที่สุด แต้มพลังวิญญาณที่เหือดหายก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง
ในสถานการณ์ปัจจุบัน แต้มพลังวิญญาณคืออำนาจที่มีผลสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!
เพราะหากเขาหากต้องการทราบถึงพิกัดของโลกเทวะ มันก็จำเป็นต้องพึ่งพาปรมาจารย์ค่ายกล
ทว่าปรมาจารย์ค่ายกลที่เชื่อถือได้ในโลกนี้ จื่อหลิวน่ะได้ถูกสังหารลงไปเสียแล้ว!
และอีกสามปรมาจารย์ค่ายกลที่เหลืออยู่ในนิกายกวงหยาง...ก็ไว้ใจไม่ได้
ฉะนั้น หากต้องการกลับไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ กู่ฉิงซานจำต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น
เขาจะต้องอาศัย ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ในการเรียนรู้ค่ายกล แล้วจากนั้นก็จะสามารถควบคุมการเคลื่อนย้ายมิติระหว่างสองโลกได้อย่างสมบูรณ์
สายตาของกู่ฉิงซานเลื่อนลงไปยังแถบไอค่อนต่างๆ ของหน้าต่างระบบเทพสงครามที่อยู่เบื้องล่าง
ในไอค่อนเหล่านี้ มีเพียงสามปุ่มเท่านั้นที่ได้รับการเปิดเผยและมีไฟส่องออกมา
ทั้งสามรายการแยกกันเป็น ‘วิชายุทธเทพสงคราม’ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์เทพสงคราม’ และ ‘สมญาเทพสงคราม’
นอกเหนือไปจากนั้น ไอค่อนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนถูกปกคลุมโดยสีดำสนิท และไม่สามารถมองเห็นถึงเนื้อหาภายในได้
กู่ฉิงซานชำเลืองมองมัน และไม่ได้ให้ความสนใจอีกต่อไป
เพราะตอนนี้ สิ่งแรกที่เขาต้องการ ไม่ว่าอย่างไรก็คือการหลบหนีออกไปจากโลกใบนี้!
เขาไม่สามารถเบนสมาธิและความสนใจไปกับอย่างอื่นได้
ในที่สุดเย่หยิงเหมยก็เอ่ยปากออกมาว่า “เจ้าทั้งสอง เรื่องต่อจากนี้เกี่ยวพันกับชีวิตและความตายของนิกาย แม้ว่าก่อนหน้านี้ พวกเราจะเคยหารือกันมาครั้งหนึ่งแล้ว และในเมื่อเจ้าเองก็กลับมาพอดิบพอดี แสดงว่าคงจะได้คิดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้วใช่หรือไม่? ข้าก็เลยอยากจะถามเจ้าว่าพร้อมที่จะบรรลุข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับพวกเราทั้งสามแล้วหรือยัง?”
เคยหารือกันมาก่อนครั้งหนึ่งแล้ว
บรรลุข้อตกลง?
ว่าแต่ประเด็นที่สามปรมาจารย์ตำหนักคุยกันมันคือเรื่องอะไรกัน?
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับฟังสิ่งดังกล่าวนี้ และฉีหยานก็ไม่คิดที่จะบอกเล่ามันให้แก่พวกเธอ
ดังนั้น กู่ฉิงซานจึงไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เย่หยิงเหมยกล่าวนั้นคือเรื่องอันใด
“ข้าอยากฟังความคิดเห็นของปรมาจารย์ตำหนักเซ่าเสียก่อน”
กู่ฉิงซานกล่าวโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เซ่าหวูชุ่ยไม่เสียเวลาคิดให้มากความ ปากเอ่ยกล่าวโดยตรง “ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดของเจ้านะฉีหยาน และแนะนำให้เจ้าล้มเลิกความคิดที่ว่านั่นเสีย”
เย่หยิงเหมยมิกล่าวสิ่งใด ทำแค่เพียงหันมามองหน้ากู่ฉิงซาน
เซ่าหวูชุ่ยกล่าวจบ ก็จ้องมองมาที่เขาเช่นกัน
ภายใต้การจับจ้องของสองผู้ฝึกยุทธชั้นยอดในขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า กู่ฉิงซานแสดงอาการขบคิดเล็กน้อย
‘เข้าใจล่ะ ได้เบาะแสข้อแรกมาแล้ว นั่นคือไม่เห็นด้วยกับความคิดของข้าสินะ’
หากกล่าวมาเช่นนี้ ข้าก็ยังพอที่จะสามารถกล่าวตอบโต้ได้
แต่ใครก็ได้ ช่วยบอกข้าที ว่าความคิดของข้ามันคือเรื่องบัดซบอันใดกัน?
“สหายเซ่า”
กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างจงใจ “ข้ามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเจ้าต้องการเพียงแค่พยายามที่จะต่อต้านข้า ดังนั้นจึงมิได้พิจารณาถึงความคิดเห็นของข้าอย่างจริงจัง ไม่คิดหรือว่าเจ้ากำลังอคติต่อข้ามากเกินไปหน่อย”
เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยหยันทันที “เหอะ! อย่าคิดว่าทุกคนจะเป็นเหมือนกับเจ้า! ข้าสามารถแยกแยะได้ระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม!”
-ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่ามันคือเรื่องบัดซบอันใด
“ไม่เอาน่า เราอยู่ด้วยกันมานานแล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนอย่างไร” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
คราวนี้เซ่าหวูชุ่ยเพียงจ้องมองเขา แต่มิได้เอ่ยคำใด
เย่หยิงเหมยก็เช่นกัน
สายตาของทั้งสองจับจ้องมาที่เขา
กู่ฉิงซานจึงต้องเป็นคนเอ่ยปากออกมาเอง “เช่นนั้นก็ดี หากเจ้ายังคงเลือกที่จะดึงดัน เช่นนั้นแล้วไหนลองอธิบายเหตุผลให้ข้าฟังซิ”
เขากล่าวเน้นทุกคำ แสดงออกด้วยท่าทีเป็นจริงเป็นจัง “หากเจ้า สามารถโน้มน้าวใจข้าได้ บางทีข้าอาจจะพิจารณาถึงเรื่องนี้อีกครั้ง”
จากนั้น กู่ฉิงซานก็ปิดปากลง และไม่เอ่ยคำใดอีกเลย
ก็เรื่องราวมันยังไม่ชัดเจน ดังนั้นเขาจึงไม่ตั้งใจจะพูดอะไรให้หลุดประเด็นแม้เพียงครึ่งคำ
เซ่าหวูชุ่ยพอได้ฟัง ท่าทีการแสดงออกของเขาก็เป็นจริงเป็นจังขึ้น
นี่มันเป็นเรื่องเร่งด่วน อีกอย่าง เขาก็ยังไม่ได้ข่าวคราวใดๆ จากท่านอาจารย์เลย ดังนั้นคงหยุดความคิดบ้าๆ ของฉีหยานเอาไว้ก่อนชั่วคราว
“ข้ายอมรับว่าเจ้าหนังเหนียวไม่เลว แถมยังมีพรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ ทว่าสำหรับการดำรงอยู่ของลั่วชาเฟิง มันมิใช่สิ่งที่เราสมควรจะยั่วยุได้” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
“อ่า...ว่าต่อสิ” กู่ฉิงซานเอ่ยรับสั้นๆ
‘ลั่วชาเฟิง’ สินะ
ในตอนที่เขากลับมายังนิกาย ดูเหมือนว่าเขาก็จะได้พบกับเรือเหาะที่คอยรับส่งสินค้าไปยังลั่วชาเฟิงเหมือนกัน
และสินค้าทั้งหมดบนเรือเหาะ ก็ล้วนเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเม็ดยา
มันคือการแลกเปลี่ยนเม็ดยารักษาสำหรับผู้ฝึกยุทธขอบเขตลมปราณจิต ที่ใช้ยื้อชีวิตผู้อาวุโสสูงสุดหวังหงส์เต๋า
นอกจากนี้ในปัจจุบัน ลั่วชาเฟิงก็กำลังจะมาเยี่ยมเยือนในเร็วๆ นี้อีกด้วย
ในสมองของกู่ฉิงซานหมุนเร็วจี๋ ขณะที่สีหน้าของเขากำลังรับฟังอย่างสงบ
เมื่อเซ่าหวูชุ่ยเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังไตร่ตรองถึงคำกล่าวของเขา
เจ้าตัวจึงตัดสินใจกล่าวโน้มน้าวต่อไป “หลังจากที่นิกายใหญ่ทั้งหลาย ไม่หลบลี้หนีหายก็ถูกทำลายไปแล้วจนสิ้น หลงเหลือแค่เพียงลั่วชาเฟิงหนึ่งเดียวเท่านั้น ที่ครอบครองสามผู้ฝึกยุทธขั้นลมปราณจิตเอาไว้ใช้บดขยี้นิกายอื่นๆ ได้”
“แล้วอย่างไรต่อ?”
กู่ฉิงซานเริ่มแสดงท่าทีหงุดหงิดออกมา
สิ่งที่อีกฝ่ายกล่าวเป็นเพียงความรู้ทั่วๆ ไปของโลกใบนี้ ดังนั้นการที่เขาจะหงุดหงิดมันจึงย่อมเป็นปกติ
เซ่าหวูชุ่ยจึงเร่งกล่าวถึงความหมายที่ตนจะสื่อทันที “ดังนั้นข้อเสนอที่ลั่วชาเฟิงมีให้ต่อเจ้า มันคงเป็นเพียงเรื่องโกหก แท้จริงแล้วพวกมันคงแค่ต้องการที่จะทดสอบสถานะความมั่งคั่งของนิกายเราก็เท่านั้น”
“ซึ่งข้ากับปรมาจารย์ตำหนักเย่ได้เห็นพ้องต้องกันแล้วว่า หากเลือกที่จะกินเนื้อโดยไม่คิดคายกระดูกเช่นนี้ มันจักต้องเป็นอันตรายต่อนิกายของเราเป็นแน่”
กู่ฉิงซานยกชาขึ้นมาจิบ ทว่าสีหน้าของเขาก็ยังคงสงบเงียบดังเดิม
แล้วสิ่งที่ฉีหยานมันจะทำมันคืออะไรกันล่ะเนี่ย?
สองปรมาจารย์ตำหนักคัดค้านความคิดของเขาอย่างเป็นเอกฉันท์ และนี่มันคงจะเกี่ยวข้องกับไอ้เรื่องที่ว่าตน ‘หนังเหนียว’ เป็นแน่
กู่ฉิงซานเค้นสมองคิดอย่างหนัก แต่เขาก็ยังไม่อาจสามารถควานหาความตั้งใจที่แท้จริงของฉีหยานได้
สองปรมาจารย์ตำหนักยังคงเฝ้ามองเขา
แม้กระทั่งหน้ากากของสตรีแห่งรากษส ก็ยังมองไปทางเขาด้วยรอยยิ้มที่แขวนอยู่บนใบหน้า
กู่ฉิงซานเริ่มเอ่ยปากอีกครั้ง
“สหายเซ่า ในความเป็นจริงแล้วนั่นมันเป็นเพียงความคิดส่วนตัวของเจ้า มิได้มีพื้นฐานของความจริงแอบแฝงอยู่เลย”
กู่ฉิงซานส่ายหัว
เซ่าหวูชุ่ยหันไปขอความช่วยเหลือจากเย่หยิงเหมย
เย่หยิงเหมยกลั้วคอเพื่อที่จะกล่าวให้มันชัดๆ และเอ่ยปากออกมา “แต่เอาจริงๆ แล้วข้าก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของสหายเซ่านะ”
“โฮ่? ศิษย์น้องหยิงเหมย เจ้าก็คิดเหมือนกันกับเขาอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่”
‘เข้าใจล่ะ เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ความคิดเห็นเป็นสองต่อหนึ่ง’
“กล่าวอย่างซื่อตรงนะศิษย์น้องหยิงเหมย ข้าว่าเจ้าน่ะมีสติและรู้จักนึกคิดมากกว่าเขา ดังนั้นข้าต้องการฟังความคิดเห็นของเจ้า” กู่ฉิงซานแถต่อ
เย่หยิงเหมยมิได้สงสัยในคำถามนี้เลย เธอเอ่ยออกไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “สตรีแห่งรากษสรุ่นนี้กำลังจะทะลวงสู่ขอบเขตลมปราณจิตก็จริง ทว่าเจ้าเป็นเพียงแค่คนที่เพิ่งก้าวขึ้นสู่ขอบเขตขีดสุดความว่างเปล่า ฉะนั้นความแข็งแกร่งระหว่างทั้งสองจึงมิอาจเทียบเปรียบกันได้ นี่คือข้อแรก ”
“และข้อสอง ไม่มีผู้ใดเลยที่พบจุดจบที่ดีหากได้เกี่ยวข้องกับสตรีแห่งรากษสแล้ว บ้างไม่สูญเสียทุกสิ่งอย่าง ก็จบลงด้วยความตาย และนี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์มาถึงสองข้อ กู่ฉิงซานก็พยักหน้า และยังคงรับฟังข้อเสนอแนะของเย่หยิงเหมยต่อ
เย่หยิงเหมยเอ่ยต่อว่า “ข้อที่สาม ‘เหล่านิกายใหญ่’ ไม่ถูกทำลายก็ฉีกมิติที่ว่างเปล่าหลบหลี้หนีหายไปจากโลกนี้กันจนสิ้นแล้ว เว้นไว้แต่เพียงลั่วชาเฟิงและนิกายของกวงหยางของเรา ดังนั้นข้าจึงอดสงสัยไม่ได้ว่าสตรีแห่งรากษสต้องการที่จะใช้เจ้าเป็นไม้กระดานในการข้ามมาเพื่อจัดการกับตลอดทั้งนิกายของเรา”
เธอสรุป “ดังนั้น เมื่อคนจากลั่วชาเฟิงมาเยือน เราหวังว่าเจ้าจะปฏิเสธข้อเสนอนั้นต่อหน้าทุกผู้คน”
“คิดจะให้ข้ากลับคำพูด?” สีหน้าของกู่ฉิงซานหม่นทะมึนลง
“ข้าได้รับคำข้อเสนอไปแล้ว แต่เจ้ากลับคิดที่จะให้ข้อปฏิเสธมันต่อหน้าสาธารณชนกระนั้นหรือ เช่นนี้แล้วศักดิ์ศรีของข้าเล่า? เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?”
แม้จะได้ข้อมูลมาบ้างแล้ว แต่กู่ชิงซานก็ยังมิกล้าคาดเดาเจ้า ‘ข้อเสนอ’ ที่ว่านี้ ว่าคือสิ่งใดอยู่ดี
เจ้าผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าสองคนนี้มันกำลังเอ่ยเรื่องบัดซบอันใดกัน?
อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่กู่ฉิงซานเดาผิดแม้เพียงครั้ง และเอ่ยบางคำที่ไม่ถูกต้องออกมา สถานะของเขาก็จะถูกเปิดเผยทันที
ในแง่มุมนี้ กล่าวได้ว่าสถานการณ์กำลังตกอยู่ในช่วงที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง
เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยเหลือบมองกันวูบหนึ่ง และอดไม่ได้ที่จะกังวลใจเล็กน้อย
กระทั่งในเวลานี้ ฉีหยานก็ยังมามัวพูดถึงเรื่องศักดิ์ศรีอยู่อีก
“นรกเถอะ! เจ้าคิดว่าตัวเอง” เซ่าหวูชุ่ยกำลังจะพูด
แต่กู่ฉิงซานก็ขัดจังหวะเขาเสียก่อน “ขอกล่าวให้มันชัดเจนนะ หากต้องการให้ข้าละทิ้งความต้องการของตัวเอง แล้วผลประโยชน์อันใดกันที่ข้าจะได้รับ?”
เซ่าหวูชุ่ยกับเย่หยิงเหมยชะงักงันไปในทันใด
ใช่สิ ในสายตาของฉีหยานผู้นี้ มันมีแต่เรื่องศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ของตนเท่านั้น
เป็นอีกครั้งที่ทั้งสองได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับนิสัยของฉีหยาน
“ผลประโยชน์? ผลประโยชน์ของเจ้าก็คือมิต้องตกตายด้วยน้ำมือของสตรีแห่งรากษสอย่างไรเล่า...” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยเสียงอู้อี้
กู่ฉิงซานยิ้มเย็น เขาพยักหน้าอย่างช้าๆ แม้จะผ่านไปแล้วครู่หนึ่ง แต่เจ้าตัวก็ยังมิได้เอ่ยคำใดออกมา
มองไปยังท่าทีการแสดงออกของเขา คล้ายกับว่าได้สลักคำกล่าวของเซ่าหวูชุ่ยเอาไว้ในจิตใจเรียบร้อยแล้ว
“สหายเซ่า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น”
เย่หยิงเหมยหันไปติอีกฝ่าย
“ฉีหยาน คราวนี้มิใช่เรื่องตลกจริงๆ สตรีแห่งรากษสมีเทคนิคลับและพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ซับซ้อน ยากนักที่จะวินิจฉัย กระทั่งพวกเราเองก็ยังไม่มั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้”
เย่หยิงเหมยอธิบายอย่างอดทน
“นอกจากนี้ เจ้าเองก็ทราบดีว่าร่างกายของผู้อาวุโสสูงสุดจำเป็นต้องพึ่งพาเม็ดยารักษาอันแสนล้ำค่าอยู่ทุกวี่วัน ซึ่งนิกายไม่สามารถทานทนต่อการสูญเสียเช่นนี้ต่อไปได้อีกแล้ว”
“หากเกิดอะไรผิดพลั้ง และทางลั่วชาเฟิงคิดแค้นพยาบาทพวกเราขึ้นมา สิ่งที่พวกเราต้องรับมือย่อมมิใช่เพียงสตรีแห่งรากษสเพียงผู้เดียวแน่”
“ฉีหยาน ข้าหวังว่าเจ้าจะพิจารณาเกี่ยวกับมันอย่างจริงจังและล้มเลิกความคิดนี้เสีย”
“ที่ศิษย์น้องหยิงเหมยพูดมาก็มีเหตุผล ทว่าข้าก็ยังมิได้ยินถึงผลประโยชน์อันใดอยู่ดี” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างแผ่วเบา
ดวงตาของเขากวาดไปยังทั้งสอง และเห็นแค่เพียงเย่หยิงเหมยที่กำลังพยายามควบคุมตนเองอยู่ ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยดูจะเดือดจะคุมไม่อยู่แล้ว
ฉะนั้นในตอนนี้ สมควรแล้วที่จะถึงเวลาเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์
กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นทันใด
ท่าทีการแสดงออกของเขาดูจริงจังมากขึ้น ปากเอ่ยเสียงทุ้มลึก “สหายเซ่า นี่เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง? ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยปีที่ผ่านพ้นมามากมาย เจ้าสมควรจะเข้าใจข้าดี แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่เชื่อใจข้าในเรื่องนี้เล่า?”
เซ่าหวูชุ่ยเห็นเขาเอ่ยถามอย่างเป็นจริงเป็นจัง ความโกรธในจิตใจตนก็ถดถอยลงเล็กน้อย แต่เขาก็ยังไม่สามารถทนต่อการกระทำของฉีหยานได้อยู่ดี
เขายืนขึ้นและอุทานออกมาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็บอกข้ามาสิ ว่านอกเหนือไปจากการมอบทรัพยากรล้ำค่ามากมายให้กับนางแล้ว ตัวเจ้าเองจะได้รับอะไรกลับคืนมาจากนางบ้าง?!”
“ฉีหยาน! เจ้าไม่สามารถตามตื๊อสตรีแห่งรากษสได้อีกต่อไปแล้ว นางมิได้ต้องการคู่ร่วมฝึกยุทธ! เจ้าไม่สามารถปีนป่ายขึ้นมาร่วมเรียงเคียงคู่กับนางได้!”
เช่าหวูชุ่ยตะโกนเสียงดัง
ขณะที่เย่หยิงเหมยผงกหัวเล็กน้อย
โครม!
หัวใจของกู่ฉิงซานราวกับร่วงตกลงมาอย่างแรง
ในที่สุด เขาก็รู้แล้วว่าความคิดของฉีหยานคืออะไร
ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าเหตุใดจิ้งจอกขาวจึงมองมาที่เขาด้วยสายตาที่แปลกออกไปเล็กน้อย
ที่แท้ฉีหยาน ซึ่งก็คือตัวกู่ฉิงซานในตอนนี้ ความจริงแล้วต้องการที่จะจับสตรีแห่งรากษสมาทำเมีย เอ๊ย! เป็นคู่ร่วมฝึกยุทธนี่เอง!
........................................