ตอนที่ 439 ล่อลวงใจ
ฉินรั่ววางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างช้าๆ ค่อยๆ ชันเข่าถอยกลับไปอยู่เบื้องหลังและเฝ้ามองกู่ฉิงซานอย่างเงียบๆ
กู่ฉิงซานนั่งในท่วงท่าสบายๆ และกล่าวว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่เอ่ยต่อเล่า? หากทุกอย่างมีเพียงเท่านี้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะนะ”
เซ่าหวูชุ่ยส่งเสียงฮึฮะในลำคอและกล่าว “แน่นอนว่ายังมีเรื่องอื่นอีก ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับเจ้าโดยตรงอีกด้วย ทว่าตอนนี้มีผู้คนอยู่มากเกินไป มันยังไม่สะดวกที่จะพูดคุย”
เย่หยิงเหมยมิได้กล่าวสิ่งใด เธอหันไปขออภัยกับจิ้งจอกขาวก่อนเป็นอันดับแรก “ข้าต้องขออภัยจริงๆ ทั้งๆ ที่นี่เป็นการมาเยือนเพียงคราแรกของท่านแท้ๆ แต่กลับต้องให้มาพบเห็นถึงฉากนองเลือดเช่นนี้”
จิ้งจอกขาวส่ายหัวและกล่าว “มันเป็นไรหรอก อันที่จริงข้าคิดว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกัน ที่นิกายของเจ้าก็มีวิธีจัดการปัญหาคล้ายคลึงกับนิกายของข้า”
“เช่นนั้นข้าขอเรียนเชิญแขกผู้มีเกียรติไปพักผ่อนเสียก่อน เพราะตอนนี้พวกเราจำเป็นที่จะต้องหารือปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ภายในนิกาย ซึ่งเกรงว่าเรื่องเหล่านี้มันจะไม่มีค่ามากพอให้ท่านรับฟัง”
การปล่อยให้อสุรวิญญาณจากต่างนิกายได้เข้ามารับชมการพิจารณาคดีของนิกายกวงหยาง นี่ก็นับว่าเพียงพอที่จะเป็นการให้เกียรติสตรีแห่งรากษสแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทุกนิกายย่อมมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่มิอาจแพร่งพรายออกไปยังภายนอกได้
และจิ้งจอกขาวก็ย่อมเข้าใจดี
มันลุกขึ้นและหันไปโค้งคำนับให้แก่ปรมาจารย์ตำหนักทั้งสามทีละคน ทีละคน
สามปรมาจารย์ก็เร่งยืนขึ้นรับการคำนับอย่างรวดเร็ว และโค้งคารวะสวนกลับคืน
จิ้งจอกขาวได้ถอดหน้ากากของสตรีแห่งรากษสออก “เมื่อครู่ท่านปรมาจารย์เฟิง[footnoteRef:0] เอ่ยปากยกย่องออกมาว่า นางชื่นชมในทัศนคติของปรมาจารย์ตำหนักฉีเป็นอย่างมาก เลยบอกให้ข้ามอบหน้ากากนี้แก่ท่าน” [0: ]
สีหน้าของเย่หยิงเหมยและเซ่าหวูชุ่ยแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สตรีแห่งรากษสสามารถรับชมสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ทั้งหมดผ่านทางจิ้งจอกขาว พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้มิได้พบเห็นได้ยากเย็นอะไร แต่...
นางกลับมอบหน้ากากของตนเองให้แด่ฉีหยาน
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?
กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาก็เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณท่านปรมาจารย์เฟิง เอาไว้ถึงยามที่ท่านมาเยี่ยมเยือน ข้าจักไปทักทายท่านอีกครั้งเป็นการส่วนตัว”
ว่าจบเขาก็โบกมือไปทางด้านหลัง
ฉินรั่วก้าวออกมาข้างหน้า และรับหน้ากากสตรีแห่งรากษสจากมือจิ้งจอกขาว
เพียงจับต้อง ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบ
แท้จริงแล้วหน้ากากชิ้นนี้สลักขึ้นจากหยกวิญญาณที่มีคุณภาพดีที่สุด แถมมันยังบางเบาราวกับปีกจักจั่น
แต่นั่นไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่สำคัญจริงๆ นั่นก็คือ หน้ากากชิ้นนี้ เป็นตัวแทนของสตรีแห่งรากษส มันคือสัญลักษณ์ที่แสดงถึงตัวตนของเธอ
จิ้งจอกขาวกล่าว “เจ้าสิ่งนี้คือของส่วนตัวที่ปรมาจารย์เฟิงชมชอบ และนางมักจะให้ข้าพกมันติดตัวอยู่เสมอ ข้าหวังว่าปรมาจารย์ตำหนักฉีจะให้ความเคารพและใส่ใจกับมันเป็นอย่างดี”
“ข้าเข้าใจแล้ว วางใจเถอะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ฉินรั่วที่กำลังถือหน้ากาก พอได้ยินคำกล่าวนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขบคิด
‘ตามมารยาทแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน มันคงไม่เป็นการดีที่จะส่งมอบหน้ากากให้แก่กู่ฉิงซานโดยตรง’
เพราะท้ายที่สุดนี้ปรมาจารย์เฟิงแห่งลั่วชาเฟิงน่ะคือผู้ฝึกยุทธหญิง และหน้ากากนี้ก็เป็นของส่วนตัวของเธอ
นอกเหนือจากนั้นจิ้งจอกขาวก็ยังถึงขั้นเน้นย้ำเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยตัวมันเอง
ฉะนั้นแล้วการมอบมันถึงมือของกู่ฉิงซาน ไม่เพียงจะดูไม่ใส่ใจ แต่ยังดูไม่สุภาพและไร้มารยาทอีกด้วย
และกู่ฉิงซานให้ฉินรั่วก้าวไปข้างหน้าเพื่อรับหน้ากาก นั่นก็เพียงพอที่จะบอกเจตนาที่เขาจะสื่ออยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม แม้การรับของแทนเจ้านายจะเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ ทว่าขณะเดียวกันเธอก็ไม่สมควรที่จะถือมันไว้นานเกินไปเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย เธอก็เป็นเพียงสาวใช้ของฉีหยาน
ฉินรั่วจึงวางหน้ากากสตรีแห่งรากษสลงบนโต๊ะเบื้องหน้าของกู่ฉิงซาน
“นี่เจ้าค่ะ นายน้อย”
“อืม เจ้าถอยกลับไปได้แล้ว”
กู่ฉิงซานผงกหัวให้เธอเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าหญิงสาวรู้งาน และปฏิบัติดั่งที่เขาตั้งใจเป็นอย่างดี
จิ้งจอกขาวพอได้เห็นฉากนี้ มันก็รู้สึกพึงพอใจเล็กน้อย
“เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน” จิ้งจอกขาวกล่าว
“พวกเราน้อมส่ง” สามปรมาจารย์ตำหนักเอ่ยพร้อมกัน
เมื่อความตั้งใจของจิ้งจอกขาวบรรลุผลแล้ว มันจึงกลับไปพักผ่อนด้วยความพึงพอใจ
เย่หยิงเหมยกับเซ่าหวูชุ่ยมองมายังหน้ากาก ในหัวใจบังเกิดความสับสน
สตรีแห่งรากษส ปรมาจารย์แห่งลั่วชาเฟิง ทุกการกระทำและเคลื่อนไหวย่อมมีความหมายแฝงอันลึกล้ำ
แล้วการที่นางกระทำเช่นนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่?
เซ่าหวูชุ่ยขบคิดในจิตใจอย่างรวดเร็ว ก่อนละเริ่มเอ่ยปากกล่าว “เอาล่ะ เช่นนั้นตอนนี้พวกเราก็มาเริ่มการหารือเรื่องหลักของนิกายกันดีกว่า พวกเจ้าคนอื่นๆ ถอยออกไปได้แล้ว”
ผู้ฝึกยุทธยังคงกฎคนแล้วคนเล่าเริ่มทยอยลงจากเวที และไม่นานทั้งหมดก็จากไปอย่างรวดเร็ว
ฉินรั่วกับว่านเอ๋อก็ถอยไปเช่นกัน
ทว่าฉานนู่กลับยังคงยืนนิ่ง
“หือ? เจ้าเด็กนี่มันอะไรกัน?” เซ่าหวูชุ่ยขมวดคิ้วมุ่น
“นี่คือศิษย์คนใหม่ของข้า เรียกว่ากู่ฉิงซาน เจ้าก็มาทักทายอาวุโสทั้งสองสิ”
กู่ฉิงซานหันไปส่งสัญญาณแก่ฉานนู่
“หญิงที่ครอบครองความงามอันน่าทึ่งผู้นี้คือปรมาจารย์เย่หยิงเหมย จากตำหนักหนิงเยว่ ส่วนข้างๆ นั่นคือปรมาจารย์เซ่าหวูชุ่ยที่มั่งคั่งที่สุดจากตำหนักเจียงซี”
หลังจากได้ฟังการแนะนำตัวแก่กู่ฉิงซาน สีหน้าของเย่หยิงเหมยก็แสดงออกถึงรอยยิ้มน้อยๆ ขณะที่เซ่าหวูชุ่ยก็ยังคงจ้องมองฉานนู่อยู่เช่นกัน
แต่สีหน้าของเซ่าหวูชุ่ยยังคงสงบนิ่ง
เมื่อครู่นี้ฉีหยานกล่าวว่าเขาเป็นผู้มั่งคั่งที่สุด...
ทว่าคำว่ามั่งคั่งนี่...ยิ่งคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกอัดอั้นใจมากขึ้นเท่านั้น...
ฉานนู่ก้าวมาข้างหน้า โค้งกายคารวะทักทาย “ผู้น้อยกู่ฉิงซาน ยินดีที่ได้พบปรมาจารย์ตำหนักทั้งสอง”
“รับเอาขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลายเป็นศิษย์ หากตัดสินเพียงพื้นฐานวรยุทธก็ยังไม่นับว่าแย่จนเกินไป” เย่หยิงเหมยกล่าว
“เจ้าเป็นผู้ฝึกดาบสินะ?” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถาม
“ขอรับ” ฉานนู่ตอบรับ
“จู่ๆ เจ้าคิดอะไรถึงได้รับศิษย์อย่างกะทันหันเช่นนี้?” เย่หยิงเหมยเอ่ยถามซอกแซก
“พอแล้วฉาน ข้าหมายถึงฉิงซาน ในเมื่อเจ้าได้คารวะอาวุโสทั้งสองแล้ว ครานี้เจ้าก็ถอยออกไปได้แล้วล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ขอรับ” ฉานนู่รับคำ
เธอประสานกำปั้นไปยังสองผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าทั้งสองอีกครา ก่อนจะหันหลังกลับ และมุ่งหน้าไปยังทางลงแท่นเวที
เห็นแค่เพียงเซ่าหวูชุ่ยที่จ้องเขม็งตามหลัง ‘กู่ฉิงซาน’ ฝ่ามือหุบเข้าหากันเป็นกำปั้นในทันใด และจู่ๆ ก็ชกพรวด! ออกไปในชั้นอากาศอย่างแผ่วเบา
ฉานนู่หันขวับ! กลับมาอย่างดุดัน ในมือคว้าจับดาบขุนเขาเทวะหกโลกา แล้วจ้วงแทงมันสวนออกไปข้างหน้าทันที
รังสีดาบห้าเฉกที่เปรียบดั่งค้อนปอนด์ระเบิดออกมา ทว่าเพียงปะทะเข้ากับพลังหมัดกลางอากาศ มันก็สลายไปในพริบตา
ขณะเดียวกัน หมัดโปร่งใสกลับถูกขัดขวางเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อำนาจและแรงกดดันของมันก็ยังคงแรงไม่ตกอยู่ดี
พลังหมัดของเซ่าหวูชุ่ยช่างสูงล้ำยิ่ง! มันสามารถบดขยี้เทคนิคลับแห่งดาบฝ่าวารีเชี่ยวของฉานนู่ได้โดยตรง แถมยังคงอานุภาพภายในเอาไว้อีกเหลือเฟือ
อย่างไรก็ตาม กลับเห็นแค่เพียงสองดาบยาวผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าข้างกายเธอ
ดาบพิภพและเช่าหยิน
ในเสี้ยววินาที สองดาบก็สาดรังสีแสงสีขาวนวลดั่งจันทรา หล่อหลอมรวมเข้าด้วยกันเป็นเสี้ยวจันทร์ขนาดยักษ์ ฟาดฟันออกไปต้อนรับพลังหมัดโปร่งใสนี้
เปรี้ยง!
บังเกิดเสียงของชั้นอากาศแยกจากกัน พร้อมด้วยการสั่นสะเทือนจางๆ ที่ก้องกังวานไปตลอดทั้งแท่นเวที
พลังหมัดถูกผ่าออกด้วย ‘ตัดจันทรา’ มันแยกออกเป็นสองและสลายตัวกลายเป็นลมกรรโชกอย่างรุนแรง ส่งเสียงหวีดหวิวไปทั่วชั้นอากาศ
ด้วยสามเทคนิคลับแห่งดาบ ในที่สุดก็สามารถสลายพลังหมัดของเซ่าหวูชุ่ยได้ในที่สุด
‘กู่ฉิงซาน’ ยืนอยู่ในสถานที่เดิม พร้อมกับสองดาบบินที่ลอยล่อง โคจรไปมารอบกายเขา
ในมือกุมดาบขุนเขาเทวะหกโลกาแน่น ปากเอ่ยเสียงเย็น “อาวุโสเซ่า ที่ท่านทำหมายความว่ากระไรกัน?”
เซ่าหวูชุ่ยจ้องมองไปยังสองดาบบินที่ลอยอยู่กลางเวหา ปากเอ่ยกล่าวด้วยความประหลาดใจ “นักดาบนิรันดร์! แท้จริงแล้วเจ้าเป็นนักดาบนิรันดร์! ไม่สิ นี่มันไม่ถูกจ้อง ทั้งๆ ที่เจ้าเป็นเพียงขอบเขตก้าวสู่เทพแท้ๆ...”
เย่หยิงเหมยมองไปยังกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ข้อสงสัยในหัวใจได้สลายหายไป
“เป็นแค่เพียงก้าวสู่เทพอันเล็กจ้อย ทว่าทักษะดาบกลับทะยานก้าวล้ำขึ้นมาถึงระดับนักดาบนิรันดร์เสียแล้ว ต่อให้เป็นข้าเองก็ตามที หากได้พบเจอกับหยกล้ำค่าเช่นนี้ ก็คงมิแคล้วถูกล่อลวงโดยมันเป็นแน่” เธอถอนหายใจและกล่าวออกมา
“ช้าก่อน” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยขัดออกมา
กู่ฉิงซานหรี่ตามองเขา
“พิธีเคารพอาจารย์เสร็จสิ้นแล้วกระนั้นหรือ? ข้าจดจำได้ว่านิกายข้า หากต้องการที่จะรับศิษย์ จำต้องได้รับการยืนยันจากทางนิกายก่อนมิใช่หรือ” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยถามอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
“ก็ข้าเพิ่งจะกลับมา นอกจากนี้ยังไม่มีเวลาได้ทำสิ่งใดเลย แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็วมันก็จะเกิดขึ้น” กู่ฉิงซานกล่าว
เซ่าหวูชุ่ยนิ่งงันไปครู่
เขาหันไปกล่าวกับฉานนู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ในเมื่อเจ้ายังเป็นเพียงรุ่นเยาว์ ทว่ากลับสามารถทานรับกำปั้นของข้าได้ ดัวนั้นข้าจึงจะขอมอบของรับขวัญในฐานะที่พานพบกันครั้งแรกให้”
“ฉิงซานเอ๋ย ดูเหมือนว่ากำปั้นที่เจ้าทนทานรับมันจักไม่เสียเปล่าซะแล้วซี” กู่ฉิงซานกล่าวกับฉานนู่
ระหว่างผู้ฝึกยุทธด้วยกัน การมอบของขวัญให้แก่ผู้ฝึกยุทธรุ่นเยาว์ที่เรียกกันว่าของรับขวัญในฐานะที่พบพานครั้งแรกนั้น แท้จริงแล้วมารยาทและพิธีกรรมเล็กๆ น้อยๆ ขั้นพื้นฐานที่สุด
ถึงแม้ว่าเซ่าหวูชุ่ยกับฉีหยานจะมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังรักษามารยาททางพิธีกรรมนี้กันอยู่บ้าง.
“รีบขอบพระคุณอาวุโสเซ่าเร็วซี่ เขาคือผู้ฝึกยุทธชั้นยอดระดับขีดสุดความว่างเปล่าเชียวนะ นอกจากนี้ยังเป็นถึงปรมาจารย์ตำหนักอีก ฉะนั้นแล้ว ของที่เขานำออกมามอบให้เจ้าย่อมต้องมิใช่สิ่งเลวร้ายเกินไปอย่างแน่นอน เพราะหากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป มันคงจะน่าอับอายไม่น้อยเลยสำหรับเขา”
กู่ฉิงซานเอ่ยไม่กี่คำ เพื่อขุดหลุมพรางใส่เซ่าหวูชุ่ย
เซ่าหวูชุ่ยเหล่ตามองเขาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมามองฉานนู่ต่อ
ด้วยขอบเขตของเซ่าหวูชุ่ยที่ทรงพลังยิ่ง ดังนั้นยามเมื่อเจ้าตัวได้ส่งกำปั้นออกไปปะทะ เขาจึงได้ค้นพบถึงรากฐานพลังที่แท้จริงของ ‘กู่ฉิงซาน’ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
นี่มันเมล็ดพันธุ์แห่งวิถีดาบ
เมล็ดพันธุ์แห่งวิถีดาบตัวจริงเสียงจริง!
ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก!
ที่ต้นกล้าดีๆ เช่นนี้...ดันต้องมาถูกไอ้ขยะอย่างฉีหยานขุดตัดหน้าไปเสียก่อน
เซ่าหวูชุ่ยรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายยังมิได้เริ่มพิธีกรรมเคารพอาจารย์ เช่นนั้นเรื่องราวมันก็ง่ายที่จะกล่าว
เพราะไม่ว่าอย่างไร ฉีหยานก็กำลังจะต้อง ‘ตาย’ อยู่แล้ว...
และเมื่อเวลานั้นมาถึง...
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เซ่าหวูชุ่ยก็ตบลงในถุงสัมภาระ หยิบขวดที่บรรจุเม็ดยาออกมา และโยนมันออกไป
ฉานนู่คว้ารับเอาขวดเม็ดยาไว้ในมือของเธอ
“เจ้าไม่เพียงเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตก้าวสู่เทพขั้นปลาย แต่ข้ากลับเห็นถึงรากฐานอันลึกล้ำและเต็มไปด้วยพลังวิญญาณของเจ้า เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังจะทะลวงขอบเขตใหญ่อยู่รอมร่อแล้ว” เซ่าหวูชุ่ยกล่าว
“ดังนั้น ข้าจึงมอบขวดที่ภายในบรรจุเม็ดยาประทับเทพให้ ในยามที่เจ้าข้ามผ่านโทษทัณฑ์ มันจักสามารถช่วยเติมเต็มพลังวิญญาณที่สูญเสียไป และในยามที่เจ้าสามารถข้ามผ่านโทษทัณฑ์สำเร็จ มันก็ยังจะช่วยให้ความผันผวนทางพลังวิญญาณของเจ้ากลับคืนสู่ปกติได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”
คิ้วของกู่ฉิงซานยกสูงขึ้นเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังเอ่ยปากด้วยรอยยิ้ม “นับว่าเป็นสิ่งที่ดีไม่เลวเลย เร่งขอบคุณปรมาจารย์ตำหนักเซ่าเร็วเข้า”
“ขอรับ ข้าขอขอบพระคุณปรมาจารย์ตำหนักเซ่า” ฉานนู่กล่าว
ส่วนเย่หยิงเหมยก็คว้ายันต์ออกมา และโยนมันออกไป
เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายเซ่าก็ได้มอบของรับขวัญให้เจ้าไปแล้ว เช่นนั้นข้าเองก็คงมิอาจน้อยหน้าได้เช่นกัน นี่เป็นยันต์ประเภทป้องกัน แม้จักใช้ได้เพียงครั้งเดียวก็ตามที ทว่ามันสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าอย่างเต็มกำลังได้หนึ่งครั้ง สิ่งนี้จะช่วยรับประกันชีวิตของเจ้าได้หนึ่งหน”
“โอ้ว ดูนั่นซีปรมาจารย์ตำหนักฉี กำปั้นที่ข้าปล่อยออกไปนับว่าไม่เสียเปล่าอย่างที่เจ้ากล่าวจริงๆ ด้วย” เซ่าหวูชุ่ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ปรมาจารย์ตำหนักเซ่า กล่าวล้อเล่นอีกแล้ว” กู่ฉิงซานจ้องอีกฝ่าย แต่ก็ยังเผยสีหน้ายิ้มแย้มออกมา
เซ่าหวูชุ่ยพยักหน้า และหันไปมอง ‘กู่ฉิงซาน’ อีกครั้ง
แต่กลับเห็นแค่เพียง ‘กู่ฉิงซาน’ ที่แม้จะได้รับสมบัติล้ำค่าจากผู้ฝึกยุทธขีดสุดความว่างเปล่าถึงสองคน แต่สีหน้าของเขากลับสงบนิ่ง ไม่มีกระทั่งร่องรอยการกระเพื่อมของกล้ามเนื้อบนใบหน้าด้วยซ้ำ
แต่นั่นมันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว เพราะฉานนู่น่ะเป็นจิตอาร์ติแฟค แถมยังมีอุปนิสัยเย็นชา ดังนั้นจึงย่อมเป็นธรรมดาที่เธอจะไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านี้
สองผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเฝ้ามองดู ‘กู่ฉิงซาน’ ที่ปราศจากความเย่อหยิ่ง ขณะเดียวกันก็สงบนิ่ง ในหัวใจของพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะประเมินอีกฝ่ายไว้สูงยิ่งกว่าเดิม
บนใบหน้าของกู่ฉิงซานเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าหัวใจของเขากลับตื่นตัว และเพิ่มความระแวดระวังมากขึ้นอย่างกะทันหัน
แม้การที่อาวุโสมอบของรับขวัญให้ตามมารยาทและพิธีกรรมในครั้งนี้จะดูเหมือนกับว่าเป็นเพียงเรื่องปกติ
ทว่า...สิ่งที่สองปรมาจารย์ตำหนักมอบให้ มันเป็นของล้ำค่าเกินไป อันที่จริงแล้วพวกเขาไม่สมควรที่จะไว้หน้าฉีหยานมากขนาดนี้
กล่าวได้ว่าหากฉีหยานตัวจริงมาอยู่ที่นี่ กระทั่งตัวเขาเองก็ยังคงต้องภาคภูมิใจกับมันเป็นแน่
แต่ในหัวใจของกู่ฉิงซานกลับตระหนักได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติ
ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองกับฉีหยาน พวกเขาย่อมไม่ต้องการที่จะให้เกียรติฉีหยานถึงเพียงนี้อย่างแน่นอน ฉะนั้นแล้ว ทั้งคู่จะทุ่มมอบของรับขวัญที่ล้ำค่าถึงเพียงนี้ให้แก่รุ่นเยาว์ได้อย่างไร?
โดยเฉพาะเซ่าหวูชุ่ย มันถึงขั้นเปล่งวาจาและแสดงทัศนคติที่ดีออกนอกหน้าถึงเพียงนั้น
คนเช่นมัน แถมยังมีวรยุทธอยู่ถึงระดับนั้น เหตุใดจึงต้องละทิ้งความไม่พอใจ และหันมาพูดอะไรที่มันระรื่นหูออกมาด้วย?
นี่มันมิแตกต่างไปจากสำนวน ‘ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิด’ ชัดๆ
อย่างไรก็ตาม บนใบหน้าของกู่ฉิงซานก็ยังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม เขาโบกมือและกล่าวว่า “เอาล่ะฉิงซาน ถึงเวลาที่เจ้าจักต้องถอยไปก่อนแล้ว เวลานี้สมควรแก่การที่ข้าจะต้องหารืออย่างเป็นทางการกับสองปรมาจารย์ตำหนักเสียที”
“ขอรับ”
ฉานนู่เอ่ยรับคำหนึ่ง และถอยออกลงจากเวที
........................................