ตอนที่ 330 ราชาและดาบบิน
ภายใต้ฝนเย็นฉ่ำที่ยังคงร่วงโรย
บนท้องฟ้า กู่ฉิงซานเอื้อมมือออกไปในความว่างเปล่าเพื่อคว้าจับดาบพิภพออกมา
ขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปยังจักรพรรดิฟูซีที่อยู่ตรงกันข้าม
มืออาชีพขั้นห้า กล่าวได้ว่ามีความแข็งแกร่งด้อยกว่าผู้ฝึกยุทธในขอบเขตประทับเทพแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มืออาชีพที่ไม่ได้ฝึกยุทธ มิได้เข้าใจถึงพลังงานวิญญาณของสวรรค์และโลก ในด้านเทคนิคต่อสู้จะแย่ยิ่งกว่าผู้ฝึกยุทธ
ดังนั้น ยามเมื่อกู่ฉิงซานต้องเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิฟูซี เขาจึงมิได้รู้สึกหวั่นเกรงใดๆ
“ชีวิตของเจ้า มันได้มาถึงจุดจบแล้ว” จักรพรรดิฟูซีกล่าว
สองมือยังคงไขว้หลัง สองเท้ายังคงเหยียบย่ำอยู่บนยอดเขา เศษดินและทรายนับไม่ถ้วนก็ลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่องและควบรวมตัวกลายเป็นบอลหินลอยล่องอยู่กลางอากาศ
บอลหินทวีจำนวนมากขึ้น มากขึ้นจนเกือบจะบดบังไปทั่วผืนฟ้าจากทางเบื้องหลังองค์จักรพรรดิ
แสงสีเหลืองเข้มสว่างวาบและวูบดับลงเป็นสีดำสลับกันเป็นครั้งคราวจากบอลหิน บ่งบอกว่ามันคือวัตถุที่รวบรวมมาจากพลังของธาตุดิน
“ฝ่าบาท โปรดไตร่ตรองเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูอีกคราเถิด ชีวิตและความตายไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นะ” กู่ฉิงซานกล่าว
ริมฝีปากขององค์จักรพรรดิยกสูงขึ้น เผยถึงร่องรอยของการเย้ยหยัน
เขายื่นมือออกมา และชี้ไปยังกู่ฉิงซาน
ตามด้วยบอลหินนับสิบที่ฉีกชั้นอากาศที่ว่างเปล่า พุ่งตัวออกไป
ตามด้วยบอลหินนับสิบอีกระลอก
ลูกแล้วลูกเล่าฉีกอากาศตรงออกไป หมายจะกระแทกเข้าใส่กู่ฉิงซาน
ธาตุดินจากธาตุทั้งห้า พิภพโปรย!
กู่ฉิงซานกุมดาบพิภพในมือข้างหนึ่ง และยื่นปลายแหลมของดาบออกไป
เขามิได้เคลื่อนกายหลีกหนี แต่กลับใช้มืออีกข้างจีบออกด้วยวิชาลับแทน
บังเกิดกระแสแสงพุ่งลงมาจากฟากฟ้า
เฉกเช่นเดียวกันกับกระแสธารน้ำตกที่ทะลุทะลวงผ่านชั้นเมฆ นำพาลมฝนและลูกเห็บมาพร้อมกับกระแสแสง
‘ฮู้ม!’
เสียงร่ำร้องแห่งดาบกับบอลหินสีเหลืองทองบรรจบเข้าหากัน!
กระแสแสงเข้าทุบทำลายบอลหิน ระเบิดพวกมันกระจัดกระจายจนแลคล้ายกลุ่มดวงดาราบนฟากฟ้า
ตามด้วยร่างเงาดาบสีทมิฬที่เบ่งบานดั่งบุปผาผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
‘ตูม ตูม ตูม!’
ทันทีที่วาดเงาปรากฏออกมา บอลหินนับหลายสิบที่พุ่งเข้ามาก็แตกกระจายออกไป เศษซากของมันยิ่งมาก ยิ่งคล้ายกลุ่มดวงดาราที่ร่วงโรยมากขึ้นเรื่อยๆ
บอลหินทั้งหมดกลับคืนสภาพเป็นดินดังเดิม แตกกระเจิงไปทั่วฟ้า ผสานรวมกันกับฝนพรำที่กำลังโปรยปราย ร่วงตกลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว
จักรพรรดิฟูซีเมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย
นั่นเพราะบอลหินแต่ละลูก อานุภาพของพวกมันรุนแรงถึงขั้นอาจก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อมขึ้นได้เลย
แต่ที่กู่ฉิงซานทำกลับเพียงแค่ยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ก็สามารถหยุดการโจมตีของเขา
“กระบวนท่านั่นมันอะไรกัน?” จักรพรรดิฟูซีทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยถามออกมา
“ก็แค่ดาบบินน่ะ” กู่ฉิงซานกล่าวอย่างเฉยเมย
และดูเหมือนว่าจะตอบสนองต่อคำพูดของเขา ดาบเช่าหยินพลันปรากฏออกมาจากชั้นอากาศ พร้อมกับเปล่งเสียงหึ่งๆ แหลมสูงออกมา
วินาทีต่อมา มันก็พรวดทะลวงผ่านลมฝน โผบินเข้าโอบล้อมรอบองค์จักรพรรดิ
และกำลังมองหาโอกาสที่จะโจมตี
หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลามานานนับปี ในที่สุดดาบโบราณเล่มนี้ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา และได้ทำหน้าที่ที่มันสมควรจะกระทำอีกครั้งสักที
จักรพรรดิคำรามและเหวี่ยงกำปั้นของเขากระทุ้งใส่ชั้นอากาศเบื้องหน้า
ความว่างเปล่าถูกทำลายลงโดยกำปั้นนี้ บังเกิดรอยแตกร้าวสีหมึกในความว่างเปล่า ควบรวมเข้าด้วยกันเป็นจุดเดียวและระเบิดแตกแขนงออกไป
ฉากนี้ แลดูเฉกเช่นเดียวกันกับหมึกสีดำที่หยดลงบนแผ่นกระดาษขาว และค่อยๆ ขยายตัวไปอย่างต่อเนื่อง ว่ายวนบนผืนฟ้า บดบังทั่วผืนดินอย่างโกลาหล แตกแขนงตรงไปยังกู่ฉิงซาน
มันคือความว่างเปล่าที่ถูกบดขยี้จนป่นปี้โดยสมบูรณ์ พลานุภาพของมันสามารถฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งได้เป็นชิ้นๆ และแน่นอน หากถูกสัมผัสโดยมัน คุณอาจจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอยเลยก็ได้
อย่างไรก็ตาม องค์จักรพรรดิดูเหมือนว่าจะไม่คิดเฝ้าดูผลลัพธ์ของการระเบิดพลังในครั้งนี้ จู่ๆ เขาก็ชักแขนกลับ หมุนกาย และประสานสองมือตั้งการ์ดขึ้นเหนือหัว
ตามด้วยกลุ่มก้อนแสงสีดำที่เดือดพล่าน ฟุ้งขึ้นมาจากสองแขนของเขา
และเสี้ยวพริบตาที่จักรพรรดิฟูซียกมือขึ้นตั้งท่าป้องกันเสร็จสมบูรณ์ มันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ดาบเช่าหยินที่เฝ้ารอคอยโอกาส ฉวยจังหวะนั้นสับโจมตีลงมา
ตามด้วยเสียงตัดสะบั้นหลายสิบครั้งของดาบเช่าหยิน
เทคนิคดาบ ตัดสายลม!
“จงหลีกทางให้ข้า!”
จักรพรรดิฟูซีที่ถูกฟาดทุบจนแขนชาเริ่มโกรธเกรี้ยว ปากอ้าตะโกนสุดเสียง สองแขนที่คอยปัดป้องรีดพละกำลังจากทั่วร่างกายออกมาและระเบิดมันอย่างรุนแรง
‘วิ้ง!’
ดาบเช่าหยินปลิวกระเด็น แยกตัวออกไป
ส่วนองค์จักรพรรดิ เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สองแขนถูกแรงปะทะ สะบัดแยกออกจากกัน และหากสังเกตดีๆ จะพบว่ามันกำลังสั่นสะท้าน
ในตอนนั้นเอง
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็ปรากฏตัวขึ้นขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมกับดาบในมือถือง้างสูงขึ้นเหนือหัว พร้อมจะสับสะบั้นลงได้ทุกเมื่อ!
สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว!
จักรพรรดิฟูซีจำเป็นต้องปลีกตัวออกไปด้านข้างเพื่อหลบเลี่ยงอย่างไม่เต็มใจ
และเป็นธรรมดา ที่เอี้ยวตัวหลบได้ครั้งหนึ่งแล้วย่อมไม่มีสอง กู่ฉิงซานได้ฉวยโอกาสจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นั้น ใช้ออกด้วยย่นระยะอีกรอบ วูบกายเป็นวิญญาณตามติด ประกบหลอกหลอนพระองค์ต่อด้วยกระบวนท่าเผยขุนเขาสับลงมาโดยตรง!
องค์จักรพรรดิ เมื่อเห็นว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบเลี่ยง เขาก็สูดลมหายใจลึก และยกสองแขนที่ยังไม่หยุดสั่นสะท้านขึ้นมาปัดป้องอีกครา
‘ปัง!’
ราวกับกระสุนปืนใหญ่ ยามเมื่อปะทะกัน สองเท้าขององค์จักรพรรดิก็พลันจมลึกลงไปในขุนเขาที่คอยรองรับเขาอยู่ ตามต่อด้วยช่วงลำตัว สุดท้ายก็ใบหน้าดิ่งลึกลงไปใต้ยอดเขา!
คราวนี้กู่ฉิงซานก็รู้สึกประหลาดใจบ้างเช่นกัน เพราะดูเหมือนการโจมตีครานี้ จะรุนแรงยิ่งกว่าที่เขาคาดคำนวณเอาไว้
เขาก้มลงมองไปที่ดาบพิภพ
ดาบพิภพส่งเสียงหึ่งๆ “กล้าที่จะมาควบคุมผืนปฐพีต่อหน้าข้า นี่แหละคือโทษทัณฑ์ที่เจ้าสมควรจะได้รับ!”
ปรากฏร่างสองร่างได้บินออกจากมาจากระยะไกล
“ฝ่าบาท!”
นายพลซ่งและนายพลหลี่ตะโกนออกมา
ในหลุมลึก องค์จักรพรรดิลุกยืนหยัดขึ้น ถุยก้อนเลือดออกมาคำหนึ่ง
“เรียกคนของพวกเรามาแบบเต็มกำลัง แล้วร่วมมือกันทุ่มสังหารเขา!” จักรพรรดิเอ่ยบัญชา
“รับทราบ!”
ร่างของสองนายพลวูบไหว
พวกเขาวิ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งหน้าตรงไปยังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานยกดาบพิภพขึ้น และตั้งท่าเตรียมหวดมันสวนออกไปต้อนรับทั้งสอง
ทั้งสามได้เผชิญหน้ากัน
“ฉันขอเปิดก่อน!” หลี่ตงหยวนพูด
ทั้งคนทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำทะเลลึก ส่งผลให้รูปลักษณ์ของเขาในขณะนี้แลดูไม่แตกต่างจากยักษ์
ซ่งเทียนหวู่ถอยไปหนึ่งก้าว และส่งสัญญาณขึ้นไปบนท้องฟ้า
ไม่นานเกินรอ จุดสีดำมากมายก็โผล่ออกมาจากระยะไกล
กู่ฉิงซานเบนสายตาหันไปมองตามด้วยความสงสัย ก่อนที่เขาจะต้องร้อง’อ๋า’ ออกมาในที่สุด
เพราะจุดสีดำๆ ที่ว่านั่น แท้จริงแล้วมันคือมืออาชีพที่สวมใส่ชุดเครื่องแบบทหาร กำลังบินตรงมาอย่างรวดเร็วจากทุกทิศทาง
และความสามารถในการเหินอากาศ...เป็นสัญลักษณ์ของมืออาชีพขั้นห้า!
ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ที่กองทัพของรัฐบาลกลางมีมืออาชีพขั้นห้ามากมายเพียงนี้?
เขาปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดมันไปยังฝูงชน
“อ้อ จริงๆ แล้วเป็นอย่างนี้นี่เอง”
กู่ฉิงซานเบนสายตากลับมามองหลี่ตงหยวนกับซ่งเทียนหวู่อีกครั้ง
มืออาชีพทุกคน แม้มองแวบแรกจะดูแตกต่างกันออกไป แต่รูปร่างของพวกเขา แท้จริงแล้วเหมือนกับสองนายพลทุกประการไม่มีผิดเพี้ยน
ทั้งหมดเป็นร่างโคลน
เป็นมืออาชีพขั้นห้าในร่างโคลน
และที่เข้ามาสมทบในที่นี้ โดยสิ้นเชิงแล้วมีทั้งสิ้นหกสิบคน!
นี่นับว่าเป็นพลังอำนาจที่สามารถล้างโลกได้เลยทั้งใบ!!
จักรพรรดิฟูซี คว้าจับมือนายพลที่เอื้อมไปรับ ก่อนจะค่อยๆบินขึ้นมา และหยุดลงตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน
เขาผุดยิ้มที่หาได้ยากยิ่งบนใบหน้าและกล่าว “เกมมันจบแล้ว มันไม่สำคัญว่าเจ้าจะทำอะไรได้มากมายแค่ไหน แต่สุดท้ายโลกทั้งใบก็จะถูกชำระล้างโดยนรก และผลลัพธ์นี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
กู่ฉิงซานจ้องมองอีกฝ่าย ราวกับเป็นคนไม่รู้จัก
“ฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงหม่น “ผมคิดมาตลอดว่าท่านต้องการที่จะพิชิตโลก...มากกว่าที่จะทำลายมัน”
จักรพรรดิฟูซีเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “เมื่อบรรพบุรุษของข้ามาถึง ข้าก็รับรู้แล้วว่าภัยพิบัตินี้มันมิอาจผ่านพ้นไปได้”
แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังพูดกับกู่ฉิงซาน แต่แท้จริงแล้วกำลังพูดกับตัวเองต่างหาก “ตั้งแต่ที่ทั้งหมดมันเกินเลยไปกว่าที่จะสามารถกู้สถานการณ์คืนมาได้ เช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่เป็นฝ่ายก้าวเข้ามาช่วยท่านบรรพบุรุษแทนเล่า หากทำเช่นนั้น อย่างน้อยข้าก็น่าจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนไม่ใช่หรือ?”
“เมื่อตัวตนที่ทรงพลังคนอื่นๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา พวกเราก็จะได้ขึ้นปกครองแผ่นดินทั้งหมด”
เขาเกร็งกำปั้นแน่นและกล่าวว่า “นี่คือการขยายอาณาเขตของสาธารณรัฐ แค่ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปก็เท่านั้นเอง และข้าก็เต็ม...”
กู่ฉิงซานขัดจังหวะเขาอย่างกะทันหัน “แล้วถ้าวันหนึ่ง ปรากฏตัวตนที่ทรงพลานุภาพมากพอจะสามารถเอาชนะนรกเยือกแข็งได้ ท่านยังต้องการที่จะพึ่งพามันอีกหรือไม่?”
“…วิธีการที่เจ้าใช้มองปัญหามันผิดพลั้งอย่างสิ้นเชิง” จักรพรรดิส่ายหัวของเขา
“ผมน่ะหรือผิดพลั้ง?”
“หากเจ้ารู้จักแยกแยะ มองโลกผ่านตามยุคสมัยต่างๆ เจ้าจะค้นพบว่าการเปลี่ยนผ่านของเหล่าผู้ปกครองนั้นเป็นไปตามกาลเวลา เจ้าจะไม่สามารถต่อต้านกฎแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ว่านั่นได้ แม้เจ้าจะรักในยุคสมัยที่ว่านั่นมากเพียงใดก็ตาม ที่เจ้าจะทำได้ ก็เพียงแค่เฝ้ามองมันสูญสลายไปตามกาลเวลาเท่านั้น”
ใบหน้าขององค์จักรพรรดิเผยถึงความคลุ้มคลั่ง “แต่นรกที่ว่านั่นน่ะแตกต่างออกไป! บรรพบุรุษของข้ายืนหยัดอยู่ในนรกเยือกแข็งเป็นเวลายาวนานกว่าสองพันปีแล้ว และราชวงศ์ของเขาก็ยังคงดำรงอยู่สืบไป!”
“ฝ่าบาท มันมิใช่เช่นนั้น”
กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความจริงใจ “โปรดลองจินตนาการดูเถิด ว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ เมื่อโลกทั้งใบถูกทำลายลงแล้ว มนุษยชาติถึงคราวล่มสลาย ทุกคนตกลงสู่ขุมนรก ร่ำไห้กรีดร้องทุกข์ทรมานด้วยความเจ็บปวดและขมขื่น ภรรยาและลูกๆ ของท่านได้จากไป ราษฎรไร้ซึ่งความรักและภักดีต่ออาณาจักรของท่าน ไม่มีใครคอยเชิดชูบูชาท่านอย่างคลั่งไคล้ ไม่มีใครมาคอยเอาอกเอาใจหรือมาเข้าใจความรู้สึกของท่าน ไร้ซึ่งคำสรรเสริญเยินยอและกตัญญู”
“มีเพียงพระองค์ที่นั่งอยู่ลำพังบนบัลลังก์แห่งนรกเยือกแข็ง รอบกายเต็มไปด้วยเหล่าคนตายที่เชื่อฟังท่านเพียงเพราะพลังอำนาจของท่าน...แต่คิดว่าสิ่งนั้นจะคงอยู่ได้ตลอดไปกระนั้นหรือ?”
“ฝ่าบาทเชื่อกระหม่อมเถิด ท่านย่อมไม่มีทางชอบอะไรเช่นนั้นอย่างแน่นอน”
สีหน้าขององค์จักรพรรดิไร้ซึ่งอารมณ์ เขามิได้เอ่ยอะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “เอาล่ะ ลองสมมุติว่าเรื่องราวทั้งหมดที่ว่ามาเกิดขึ้นจริง และวันเวลาได้ผ่านพ้นไป โลกทั้งใบถูกทำลายลง แต่แล้วจู่ๆ ท่านก็ได้รับโอกาสให้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง กลับมายังช่วงเวลาสัก...สิบปีก่อนหน้าที่เรื่องราวทุกอย่างมันจะเกิดขึ้น ภรรยาและลูกๆ ของท่านยังคงมีชีวิตอยู่ และมันเป็นชีวิตที่ดี เปี่ยมไปด้วยความสุข ประเทศของท่านยังคงทวีความแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประชาชนยังคงรักใคร่ท่าน มนุษย์ทุกคนต่างพากันจับมือกัน ร่วมยับยั้งการแพร่กระจายของนรกเยือกแข็ง และต่อสู้กับมันอย่างห้าวหาญเพื่อชีวิตของตนเอง ครอบครัว และประเทศ! นี่ไม่ใช่หรือคือช่วงเวลาที่พระองค์สมควรจะยืนอยู่หน้าสุด ชะตากรรมของโลกอยู่ในมือพระองค์แล้ว...ถึงเวลานั้น ท่านคิดจะทำอย่างไร[footnoteRef:1]?” [1: ประโยคนี้กู่ฉิงซานกึ่งๆกล่าวถึงตนเองด้วยเช่นกัน]
“ฝ่าบาท โปรดทรงคิดทบทวนอีกครั้ง”
ความเงียบจมลงสู่บริเวณโดยรอบ เว้นไว้แต่เพียงเสียงลมและฝน
ปากขององค์จักรพรรดิอ้าหุบอยู่หลายครั้ง และในที่สุดก็กล่าวออกมา “ดูเหมือนว่าเจ้าจะลืมเลือนไปเรื่องหนึ่งนะ”
“ฝ่าบาทเชิญชี้แนะ”
“นรกน่ะอยู่ยงคงกระพัน แต่มนุษย์น่ะอย่างไรก็ต้องตาย ยามเมื่อเผชิญหน้ากับพวกเรามีแต่จะพ่ายแพ้เท่านั้น”
“ฝ่าบาทเหตุใดท่านจึงแลดูเหมือนกับคนที่ไม่มีคุณสมบัติเป็นกษัตริย์เลย?”
“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น”
กู่ฉิงซานถอนหายใจ “ยามเมื่อประเทศพินาศลง อย่างน้อยกษัตริย์ก็ควรจะเป็นคนสุดท้ายที่ยอมแพ้ แต่ท่านกลับกลายเป็นคนแรกที่ทรยศมนุษยชาติทั้งโลก”
ทันใดนั้นเขาก็ตบลงไปในถุงสัมภาระ พร้อมกับเกราะรบนายพลที่ลอยขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่า
แต่ละชิ้นส่วนของเกราะรบเปล่งแสงสีทองของพลังวิญญาณธรรมชาติ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าประกบลงตามส่วนต่างๆบนร่างกายของกู่ฉิงซาน
ในเสี้ยววินาที ชุดเกราะรบทั้งหมดก็ถูกสวมใส่โดยสมบูรณ์
………………..………………..