webnovel

0331 มาตรฐานความเป็นมืออาชีพ

ตอนที่ 331 มาตรฐานความเป็นมืออาชีพ

 “ทรยศ? นี่เจ้าด่าว่าข้าเป็นคนทรยศอย่างนั้นหรือ?” 

กล้ามเนื้อบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิอดไม่ได้ที่จะกระตุก ราวกับว่าคำนี้มีผลต่อความโกรธในจิตใจของเขา 

องค์จักรพรรดิกล่าว “ทางข้ามีมืออาชีพขั้นห้าอยู่มากมาย แต่เจ้ามีเพียงลำพัง มิรู้หรือ ว่าหากข้าเปล่งวาจาสั่งแม้เพียงครึ่งคำ ปากที่พ่นคำเน่าเหม็นนั่นออกมาเมื่อครู่จะต้องหุบลงไปตลอดกาล!” 

“ฝ่าบาท กระหม่อมเคยคิดว่าท่านเป็นผู้พิชิต และหากท่านยังเป็นบุคคลดังที่ว่า ที่หมายมั่นจะโค่นล้มเก้าตระกูลใหญ่ ตราบใดที่ทุกๆ การกระทำหรือเคลื่อนไหวของท่านมันไม่ก่อให้เกิดสงคราม กระหม่อมย่อมไม่คิดก้าวเข้ามาแทรกแซงอย่างแน่นอน” 

กู่ฉิงซานสวมหน้ากากเงินลงบนใบหน้าของเขาและเอ่ยต่อว่า “แต่ผมไม่คิดเลย ว่าจริงๆ แล้วท่านจะเป็นเพียงสุนัขขี้ขลาด ถ้าเป็นในกรณีนี้ ตัวเลือกของผมคงเหลือเพียงปลดปล่อยท่านจากตราบาปนี้โดยการฆ่าเท่านั้น” 

“บังอาจ!” องค์จักรพรรดิไม่อาจแบกรับคำครหาได้อีกต่อไป เขาคำรามก้อง “ทุกคน ฆ่ามันซะ!” 

“ลงมือได้!” หลี่ตงหยวนและซ่งเทียนหวู่ตะโกนออกมาพร้อมกัน 

ร่างโคลนทั้งหมดก็ตะเบ็งเสียงขานรับคำ “ฆ่า!” 

รัศมีแสงเรืองรองของธาตุทั้งห้าผุดออกมาจากพวกเขา เปล่งประกายระยับไปทั่วฟ้า 

“ใช้วิธีหมาหมู่แบบนี้...ดูเหมือนว่าผมคงจะต้องมอบบทเรียนแก่ท่านเสียแล้ว” กู่ฉิงซานถอนหายใจและส่ายหัว

  เขาล็อกสมญาเทพสงครามเป็น ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ พร้อมด้วยทั้งคนทั้งร่างที่หายวับไปอย่างกะทันหัน 

เห็นแค่เพียงเส้นแสงสีทองเพียงหนึ่งพุ่งปะทะปัง! เข้ากลางดงศัตรู 

ในพริบตา ปราณดาบเหลือคณาก็พรั่งพรูไปทั่วผืนฟ้า 

ตามด้วยการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงของชั้นอากาศโดยรอบ 

ทั้งสองฝ่ายก้าวเข้าสู่สนามรบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

… 

ณ สาธารณรัฐฟูซี 

วังโอเอซิสท่ามกลางทะเลทราย 

บนบัลลังก์ว่างเปล่า 

ตลอดทั้งห้องโถงใหญ่ก็ว่างเปล่าเช่นกัน เว้นไว้แต่เพียงคนหนึ่งๆ 

จักรพรรดินียืนอยู่ตรงหน้าต่าง จ้องมองลงไปยังโอเอซิสเบื้องล่าง 

แล้วทันใดนั้นจู่ๆ ประตูห้องโถงใหญ่ก็ถูกกระแทกเปิดออกอย่างกะทันหัน 

ตามด้วยซางหยิงฮ่าวที่เดินเข้ามา 

ในฐานะผู้รับหน้าที่คุ้มครองความปลอดภัย จึงมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกที่นี่ 

“ฝ่าบาท มีรัฐมนตรีหลายคนต้องการขอเข้าเฝ้าท่าน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว 

จักรพรรดินีมิได้เบนสายตาหันกลับมามอง 

“ปฏิเสธไปซะ บอกให้พวกเขาถอนตัวกลับไป มาเจอข้าตอนนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?” จักรพรรดินีกล่าวอย่างสงบ 

“ท่านลองไตร่ตรองดูอีกครั้งเถิด ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นจะเป็นกลุ่มคนที่สนับสนุนท่านนะ” ซางหยิงฮ่าวพยายามโน้มน้าว 

“โอ้? แล้วเจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร?” 

“กระหม่อมย่อมทราบเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับลูกค้าอยู่แล้ว เพราะมันจะช่วยให้กระหม่อมสามารถบริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น” 

“หากไม่สามารถเข้าม่านเหล็กได้ จะทำสิ่งใดมันก็ล้วนไร้ประโยชน์” จักรพรรดินีถอนหายใจ 

ซางหยิงฮ่าวขบคิดและกล่าวว่า “รอบตัวผมพอจะมีแฮ็กเกอร์อยู่บ้าง บางทีท่านอาจจะอยากสนทนาและบอกข้อมูลเกี่ยวกับการใช้ชีวิต หรือความเป็นอยู่ของพระสวามีท่านแก่พวกเขา” 

“ทำเช่นนั้นแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?” 

“หลังจากที่พวกเขาเข้าใจถึงความคิดและการกระทำขององค์จักรพรรดิอย่างถ่องแท้ พวกเขาอาจจะค้นพบกุญแจแห่งความหวังที่จะใช้เจาะเข้าไปยังม่านเหล็กได้ก็เป็นได้” 

จักรพรรดินีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มออกมา 

“เข้าใจเขา? เข้าใจสวามีข้าอย่างนั้นหรือ?” 

ความโศกเศร้าพาดผ่านลงบนใบหน้างดงามของเธอ 

“ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้เจ้าฟัง เมื่อนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งข้าเคยจดจำได้ว่า ยามที่เขาเมาและเผลอบอกข้าว่าเขามีความใฝ่ฝันว่าได้ครอบครองมงกุฎทองคำบริสุทธิ์ตั้งแต่ในวัยเด็ก และฝังอัญมณีหาได้ยากยิ่งในโลกลงไป” 

จักรพรรดินีเอ่ยต่อย่างช้าๆ “และหลังจากที่ข้าเฝ้าสรรหาอัญมณีที่ว่ามาตลอดถึงสิบปี ในที่สุดก็ค้นพบอัญมณีเอกภพ มณีนี้มีเอกลักษณ์และงดงามเป็นอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่ามันมีเพียงชิ้นเดียวในโลก” 

“หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาในการเฟ้นหาและหลอมสร้างมาอย่างยาวนาน มงกุฎก็ถูกรังสรรค์จนสมบูรณ์ และในวันงานเทศกาลประจำปี ข้าก็ได้เซอร์ไพรส์โดยการมอบมันให้แด่เขา” 

“หลังจากที่เขาได้เห็นมัน นั่นเป็นหนึ่งในไม่กี่ครั้งเลยที่ใบหน้าของเขาปรากฏถึงร่องรอยแห่งความสุขออกมา เขาขอบคุณสำหรับน้ำใจและความมุ่งมั่นของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า และสวมใส่มงกุฎที่ว่าตรงนั้นทันที” 

“แล้วมันไม่ดีหรือ?” ซางหยิงฮ่าวงง 

“แต่หลังจากวันนั้น เขาก็ไม่เคยสวมใส่มงกุฎที่ว่านั่นอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นในสถานการณ์ใด ไม่เคยอีกเลยแม้แต่ครั้งเดียว” 

จักรพรรดินีกล่าวด้วยความคับข้องใจ “เขามักจะแสดงความผิดปกติทางอารมณ์ออกมาอยู่เสมอ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว เจ้าจะยังให้ข้าบอกข้อมูลแด่คนของเจ้าไปทำการวิเคราะห์ที่ว่านั่นอยู่อีกไหม?” 

ซางหยิงฮ่าวถอนหายใจ “นั่นมันคงยากเกินไป ถ้าเป็นอย่างในกรณีนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าทางเราก็จนปัญญาจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว” 

ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงดังวุ่นวายขึ้นจากภายนอก 

ไม่นานเกินรอ รัฐมนตรีคนหนึ่งก็ถูกคุมตัว และถูกบังคับให้คุกเข่าลงตรงทางเข้าห้องโถง 

ตามตัวรัฐมนตรีคนที่คุกเข่ามีคราบเลือดเกรอะกรัง เขาเอ่ยร้องตะโกนออกมา “ฝ่าบาท ท่านจะต้องคิดหาหนทางแก้ไขให้เร็วที่สุดแล้ว อีกสองร้อยไมล์ หุ่นรบของฟูซีจะเข้าสู่อาณาเขตของรัฐบาลกลางแล้ว!” 

หากหุ่นรบแนวหน้าของฟูซีรุกล้ำเข้าไปยังรัฐบาลกลาง นั่นหมายถึงไฟแห่งสงครามครั้งใหญ่ได้ถูกจุดขึ้น 

จักรพรรดินีเฝ้ามองดูรัฐมนตรีคนที่ว่า 

เขาคือรัฐบุรุษเก่าแก่ที่รับใช้ฟูซีมายาวนานกว่าสามแผ่นดิน เป็นอาวุโสเก่าแก่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดินีมาโดยตลอด 

ในเวลานี้ เขากลับกำลังคุกเข่าบนพื้น ร่ำไห้น้ำตาเป็นสาย 

“ฝ่าบาท เก้าตระกูลใหญ่ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด เมื่อเลือกที่จะต่อสู้แล้ว ทางเรามิอาจรู้ได้เลยว่าจะสามารถคว้าชัยชนะหรือพ่ายแพ้กลับมา แต่ที่รู้แน่ๆ คืออีกไม่กี่ปีนับจากนี้ ผู้คนนับไม่ถ้วนจะต้องตกตายลงในสงคราม!” 

จักรพรรดินีถอนหายใจ ก้าวเดินไปข้างหน้าและพยุงชายชราขึ้น 

“แต่ข้าไม่มีวิธีใดที่จะหยุดยั้งมันเลย” เธอกล่าวด้วยความหดหู่ 

จากนั้นรัฐมนตรีอีกคนหนึ่งก็แทรกตัวผ่านเข้ามาและคุกเข่าลง “ฝ่าบาท ทั้งสามเหล่าทัพของรัฐบาลกลางเริ่มทำการระดมพลแล้ว กองกำลังของพวกเขาเคลื่อนพลมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว คาดว่าไม่นานคงจะมาถึงชายแดน” 

“และผู้นำกองทัพของรัฐบาลกลางในครั้งนี้ ก็คือเทพนักสู้ซางซ่งหยาง!” 

เทพนักสู้ ซางซ่งหยาง 

ชายผู้นี้เปรียบดั่งเทพสงครามแห่งรัฐบาลกลาง มีเขาเพียงหนึ่ง ก็เปรียบดั่งมีทหารกล้านับพันในสนามรบ 

เมื่อสองกองทัพเข้าปะทะกัน และเขาเริ่มลงมือ สถานการณ์จะเข้าสู่ช่วงเลวร้ายที่สุดทันที 

และต่อให้รัฐบาลกลางจะไม่ชนะ แต่สาธารณรัฐย่อมต้องประสบกับความสูญเสียอย่างร้ายแรง 

จักรพรรดินีเวโรน่าในที่สุดก็เริ่มวิตกกังวล 

เธอเดินวนไปรอบๆ กลับไปกลับมาด้วยใบหน้าสลด 

“ข้าสมควรทำอย่างไรดี...” 

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน “ฝ่าบาท กระหม่อมจดจำได้ว่าท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงม่านเหล็กเช่นกัน” 

“ข้าไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ องค์จักรพรรดิได้ทำการล็อกอำนาจของคนทั้งหมดเอาไว้แล้ว ดังนั้นจึงมีเพียงเขาที่สามารถสั่งกองทัพได้!” จักรพรรดินีกล่าว 

ซางหยิงฮ่าวนิ่งคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วเอ่ยสวนไปว่า “เช่นนั้นหากเขาตายเล่ามันจะเกิดอะไรขึ้น? กระหม่อมเคยได้ยินมาว่าสิทธิ์อำนาจในการเข้าถึงม่านเหล็กมีไว้สำหรับราชวงศ์เท่านั้นมิใช่หรือ” 

“หากเขาตายลง แน่นอนว่าสิทธิ์อำนาจของม่านเหล็กย่อมตกมาถึงข้าเป็นธรรมดา แต่ในโลกใบนี้ยังจะมีผู้ใดที่สามารถสังหารเขาได้อีกหรือ?” 

จักรพรรดินีส่ายหัวซ้ำๆ เอ่ยปากกล้าวด้วยความโศกเศร้าว่า “ไม่มีวิธีที่เราจะสามารถหยุดเขาได้เลย” 

ซางหยิงฮ่าวโค้งศีรษะลง และเอ่ยถามผ่านทางสมองควอนตัม “กู่ฉิงซานรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้หรือเปล่า?” 

เทพธิดากงเจิ้ง “เขารู้ดี” 

“แล้วเขาพบองค์จักรพรรดิหรือยัง?” 

“ใต้เท้ากู่ฉิงซานค้นพบถึงร่างจริงขององค์จักรพรรดิแล้ว และพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ในเขตชานเมืองของเมืองหลวง” 

ซางหยิงฮ่าวพยักหน้า และหันไปพูดกับจักรพรรดินีว่า “กระหม่อมคิดว่าท่านสมควรจะลองพยายามดู ว่าท่านจะสามารถเชื่อมต่อกับม่านเหล็กได้หรือไม่” 

“ข้าจะลองดู” จักรพรรดินีกล่าว 

“ลองมันอีกครั้ง หากมิได้ก็อีกครั้ง และอีกครั้ง บางทีอาจจะมีครั้งที่ท่านสามารถเข้าสู่ระบบของมันได้ก็ได้” 

จักรพรรดินีมองไปยังอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถาม “เพราะเหตุใดเจ้าจึงมั่นใจเช่นนั้น?” 

“ขออภัยที่ต้องกล่าวแบบนี้ แต่กู่ฉิงซานย่อมต้องมีวิธีที่จะสังหารพระสวามีของท่านอย่างแน่นอน” 

“บางทีเขาอาจจะลงมือทำมันในอีกวินาทีต่อไปเลยก็ได้” ซางหยิงฮ่าวกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว 

“เรื่องนี้...” กล่าวยังไม่ทันจบ จักรพรรดินีก็นึกขึ้นมาได้ถึงพลังของกู่ฉิงซานในตอนที่เขาอยู่ในวัง เธอกัดฟันกรอด และทำการตัดสินใจในที่สุด 

เธอหยิบสมองควอนตัมของตัวเองออกมา และตัดสินใจพรมมือลงอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเข้าสู่หน้าต่างในส่วนปฏิบัติการ 

ปรากฏกำแพงเหล็กอันเยียบเย็น สูงตระหง่าน 

“ม่านเหล็ก ข้าคือจักรพรรดินีเวโรน่า เมดิซี โปรดให้ข้าเข้าสู่ระบบด้วย” จักรพรรดิพูดกับสมองควอนตัม 

และเสียงจักรกลก็ดังสวนตอบกลับมา “คุณไม่มีอำนาจในการสั่งการกองทัพ และไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ระบบ” 

จักรพรรดินีโกรธ และตบลงบนสมองควอนตัม “เข้าไม่ได้!” 

ดูเหมือนว่าการต่อกรกับองค์จักรพรรดิจะไม่ง่ายเลย อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่ 

ดวงตาของซางหยิงฮ่าวกะพริบไหว และเอ่ยถาม “ถ้างั้นตอนนี้ใครกันที่เป็นผู้บัญชาการหุ่นรบขับเคลื่อนของสาธารณรัฐ?” 

จักรพรรดินีเข้าใจถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อทันที และหันไปมองรัฐมนตรีอาวุโส 

เนื่องจากไม่สามารถเข้าสู่ระบบของม่านเหล็กได้โดยตรง ถ้าเช่นนั้นก็เข้าหาผู้บัญชาการกองทัพโดยตรงแทนเสียเลยสิ หากเป็นในกรณีที่ว่า บางทีอาจจะสามารถหยุดการบุกโจมตีได้ก็ได้ 

ตอนนี้สิ่งที่ขาดมากที่สุดก็คือเวลา 

เราจะต้องหาหนทางที่จะชะลอการปะทุของสงครามจนกว่ากู่ฉิงซานและองค์จักรพรรดิจะตัดสินผลแพ้ชนะ! 

รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวว่า “เป็นจอมพลจางเพ่ยเจี่ย กระหม่อมจะคุยกับเขาทันที!” 

ว่าแล้วอีกฝ่ายก็เปิดสมองควอนตัมและโทรไปยังหมายเลขหนึ่ง 

ทว่าการเชื่อมต่อกลับถูกปฏิเสธ 

สองตาของรัฐมนตรีหรี่แคบลง เขาลังเลก่อนจะกล่าว “เขาปฏิเสธคำขอเชื่อมต่อกับข้า...” 

จักรพรรดินี “นั่นเพราะสถานการณ์มันแตกต่างกันออกไป นี่คือช่วงเวลาสงคราม มันยังพอเข้าใจได้ว่าเขาไม่อาจมุ่งสมาธิมาสนทนากับเจ้าได้ แต่หากเป็นข้า เขาอาจจะยังพอฟัง” 

จักรพรรดินีตัดสินใจทันที “แบบนี้ไม่ดีแน่ ข้าจะต้องส่งราชทูตออกไปเป็นการส่วนตัว บางที นี่อาจจะช่วยให้เขาหยุดกองนำทัพได้ชั่วคราว” 

แม้ว่าจอมพลจะสามารถชะลอสงครามได้แค่เพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่สถานการณ์ก็อาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นก็ได้ 

รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว “แต่ใครเล่าจะเป็นราชทูตผู้ส่งสาร? ระหว่างทางมีหลายคนคอยจับตามองท่านจอมพลอยู่ตลอดเวลา และหากท่านจอมพลเลือกที่จะยืนอยู่ฝั่งองค์จักรพรรดิ ตัวผู้ส่งสารเองก็จะได้รับอันตราย...” 

จักรพรรดินีขบคิดและกล่าว “ไม่อาจส่งเจ้าหน้าที่พลเรือน ข้าราชบริพารก็ไม่ได้ รวมไปถึงคนจากทางกองทัพด้วย” 

รัฐมนตรีอาวุโสกล่าวต่อ “ทหารย่อมไม่ดี เพราะท่านจอมพลเป็นผู้บัญชาการสูงสุด หากนายทหารเผชิญหน้ากับถ้อยคำรุนแรงของจอมพล เขาคงจะทำตามที่พวกเราต้องการไม่สำเร็จ” 

ขณะที่ทั้งสองกำลังหารือ จู่ๆ จักรพรรดินีก็หันไปทางซางหยิงฮ่าว 

“มีอะไรหรือท่าน?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม 

จักรพรรดินีขบคิดอย่างจริงจังและกล่าว “ข้าได้ทราบถึงความสามารถของเจ้ามาแล้ว เจ้าเป็นถึงราชานักฆ่าแห่งรัฐบาลกลาง ในมือมียอดนักฆ่านับไม่ถ้วนที่ยินดีอุทิศชีวิตให้แก่เจ้า แม้ว่าช่วงหลังๆมานี้ เจ้าจะถอยห่างเลือกที่จะคอยหลบอยู่หลังฉาก แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าในปัจจุบัน ย่อมต้องเพิ่มพูนยิ่งกว่าในครั้งอดีตเป็นแน่” 

“แล้วสิ่งที่พระองค์ต้องการจะสื่อก็คือ?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว 

“ด้วยกลยุทธ์และความแข็งแกร่งของเจ้า แน่นอนว่าย่อมสามารถทำมันได้ ดังนั้นข้าขอให้เจ้ารับหน้าที่ส่งจดหมายลับของข้า นั่งรถเหินเวหาไปมอบมันให้แด่ท่านจอมพลโดยเร็ว” 

จักรพรรดินีจับปากกาไว้ในมือ และเขียนบางสิ่งลงบนกระดาษอย่างรวดเร็ว 

“จอมพลจาง...แล้วทัศนคติของคนคนนี้ล่ะ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม 

“เป็นกลาง แต่บางครั้งก็เอนเอียงมาทางฝั่งพวกเรา” รัฐมนตรีอาวุโสกล่าว 

ซางหยิงฮ่าวไตร่ตรองอย่างรอบคอบ 

จักรพรรดินี “เจ้าจงนำตราประทับและลายลักษณ์อักษรของข้าไปให้จอมพลจาง และทำการโน้มน้าวเขาหรือหาหนทางอะไรก็ได้เพื่อชะลอการปะทุของสงคราม” 

“แล้วเขาจะฟังหรือ?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถามต่อ 

“ข้าคิดว่าเขาจะต้องฟังข้าแน่ๆ” จักรพรรดินีกล่าว 

ซางหยิงฮ่าวเริ่มตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาเอ่ยปากออกมาว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมคือนักฆ่า กล่าวได้ว่ากระหม่อมมีหน้าที่สังหารผู้คน แต่เรื่องที่ท่านกำลังร้องขอนี้ มันมิได้อยู่ในธุรกิจของกระหม่อม” 

จักรพรรดิจับจ้องเขาอย่างจริงจัง “รางวัลของเจ้า ข้าจะเพิ่มให้สองเท่า” 

ซางหยิงฮ่าวชะงักงันไปหนึ่งถึงสองวิ 

“จักรพรรดินีผู้แสนจะใจกว้าง กระหม่อมขอสัญญาว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่ท่านต้องการ” เขาเอ่ยปากตอบรับคำทันที 

“หลังจากที่เจ้าไป แม้ว่าจะไม่สามารถพูดคุยกับจอมพลจางได้ แต่เจ้าก็ต้องหาวิธีการที่จะชะลอสงครามให้จงได้” 

จักรพรรดินีเอ่ยประโยคที่สำคัญที่สุดออกมา 

“โปรดวางใจในมาตรฐานความเป็นมืออาชีพของกระหม่อม” ซางหยิงฮ่าวกล่าว 

หลังจากนั้นไม่นาน จดหมายลับของจักรพรรดินีก็ถูกเขียนขึ้น 

เธอถึงขั้นอ่านย้อนทวนเนื้อความในจดหมายอยู่หลายครั้ง ก่อนจะยื่นมันให้แก่ซางหยิงฮ่าวด้วยท่าทีจริงจัง 

ซางหยิบฮ่าวหยิบเอาตราประทับและจดหมายลับจากจักรพรรดินีมา 

พร้อมกับร่างของคนในชุดดำหลายคนที่โผล่ออกมาจากเงามืด และติดตามเขาออกจากพระราชวังอย่างรวดเร็ว

………………..………………..