ตอนที่ 312 ค้นหาความจริง
ทันทีที่ ‘เก้า’ ถูกทิ้ง หญิงสูงศักดิ์คนข้างๆ ที่กำลังเตรียมจะหงายไพ่ชุดต่อไป ก็ถูกขัดจังหวะโดยจักรพรรดินีเสียก่อน
“เก็บไพ่!” หญิงสูงศักดิ์เอ่ยอย่างมีความสุข
หลังจากเก็บไพ่เก้า เธอก็เตรียมจัดวางไพ่ชุดใหม่อีกครั้ง
ส่วนจักรพรรดินี เมื่อจั่วไพ่ใบใหม่ขึ้นมาอีกที มันก็ยังคงเป็นไพ่แปดหมื่น ชุดเดิม
คู่แปดหมื่นสองชุดถูกวางลงในแถวเดียวกัน
จักรพรรดินียกคิ้วสูงขึ้นด้วยความประหลาดใจ
พร้อมด้วยเสียงของกู่ฉิงซานที่ดังขึ้นอีกครั้ง
“ผมขอตั้งสมมติฐานว่า ถ้าหากสถานการณ์ในตอนนี้มันเลวร้ายมากเกินไป อันตรายถึงชีวิตของท่าน โปรดทิ้งสองตงด้วย”
จักรพรรดินีเก็บคู่แปดหมื่น ลงในชุดไพ่ของเธอ
จากนั้นก็ก้มมองลงไปในชุดไพ่ตัวเองและหยิบ ‘สองตง’ ขึ้นมาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“สองตง”
เสียงของกู่ฉิงซานกังวานในหูเธอ “ผมเข้าใจถึงสถานการณ์แล้ว ไว้ผมจะกลับมาอีกครั้งในภายหลัง”
บังเกิดสายลมวูบพัดผ่านไปเล็กน้อย
จิตสัมผัสเทวะของกู่ฉิงซานถูกถอนออกจากที่นั่น
บนโต๊ะไพ่นกกระจอก หญิงสูงศักดิ์ที่อยู่ถัดไปจากจักรพรรดินีที่กำลังจะลงไพ่ ถึงกับหยุดชะงักอีกครั้ง
“เก็บ! เหตุใดพระองค์จึงใจดีหยิบยื่นไพ่ดีๆ ให้แก่กระหม่อมถึงเพียงนี้” หญิงสูงศักดิ์หัวเราะและเก็บไพ่ด้วยรอยยิ้ม
ผู้เล่นที่นั่งอยู่ถัดจากจักรพรรดินีเอาแต่เก็บไพ่อย่างต่อเนื่อง จนอีกสองคนที่เล่นด้วยไม่มีโอกาสที่จะได้วางชุดไพ่ของพวกเธอลงเลย
จักรพรรดินีจั่วไพ่ขึ้นมา และจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจ
“น็อค คู่เจ็ด”
แล้วเธอก็หงายชุดไพ่ทั้งหมดตรงหน้าลง
ภายในห้องหมากรุก หลายคนทำการสลับตำแหน่งกันและเริ่มเล่นเกมใหม่อีกรอบ เหมือนว่าจับตาจะต้องเปลี่ยนทิศตำแหน่ง กันนะครับ
เมื่อหงายชุดไพ่ลง จักรพรรดินีก็ถอนหายใจพร้อมเอ่ยออกมาในทันใด “ข้าคงต้องบอกว่าเจ้าหนูตัวน้อยนั่นมีสายตาที่ไม่เลวเลยทีเดียว”
อีกสามคนที่พึ่งสลับตำแหน่งและหย่อนก้นลงพอได้ฟัง ก็รู้สึกสับสน แต่ไม่ได้เอ่ยคำใดออกไป
…
กู่ฉิงซานเปิดประตูห้องน้ำ ล้างมือ ล้างหน้า แล้วเดินออกจากห้องน้ำชายไป
เขายังคงมองหามุมเล็กๆ สงบๆ และเอ่ยขอสุราฤทธิ์แรงกับแก้วเปล่าสักใบ
ต่อด้วยเติมเองจนแทบล้น และดื่มเอง
กู่ฉิงซานค่อยๆ ดื่มเหล้าอย่างช้าๆ ขณะที่รอยยิ้มยังคงแขวนอยู่บนใบหน้า สายตาสาดส่องเหล่าบุคคลที่มีชื่อเสียงใหญ่โตที่มาร่วมงานวันนี้
เขาต้องใช้เวลาสักพักเลยกว่าจะใช้จิตสัมผัสเทวะสำรวจได้ทั่วพระราชวังเพื่อดูว่ามันมีอะไรผิดปกติ
ในตอนนั้นอุปกรณ์สื่อสารก็พลันดังขึ้น
เป็นเหลียวฮังที่โทรมา
“ว่าไง มีอะไรรึเปล่า?” กู่ฉิงซานกระซิบถาม
“ไม่มีอะไรมากหรอก แต่ตอนนี้ฉันแค่ต้องการจะดึงข้อมูลจากห้องปฏิบัติการของตาแก่ถังน่ะ แต่ข้อมูลการทดลองทั้งหมดของเขาถูกล็อกไปซะแล้ว”
“แล้วฉันต้องทำอะไร?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“มีเพียงเทพธิดากงเจิ้งเท่านั้นที่สามารถกู้คืนข้อมูลการทดลองที่เกี่ยวข้องได้ แต่เรื่องนี้นับว่าเป็นการละเมิดกฎหมายของรัฐบาลกลาง ฉันไม่มีสิทธิพิเศษ ดังนั้นเทพธิดาเลยไม่ตอบรับคำขอของฉัน”
“อนุญาตให้สิทธิ์เขาครั้งหนึ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว
“รับทราบแล้วใต้เท้า” เทพธิดาตอบรับ
“ฉันติดหนี้แกแล้ว” เหลียวฮังกล่าว และรีบวางสายไป
กู่ฉิงซานรินเหล้าให้ตัวเองแก้ว
ในโลกใบนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม หากคิดจะกำจัดชายที่แข็งแกร่งอย่างจักรพรรดิแห่งฟูซี ย่อมไม่มีทางกระทำการอย่างเงียบเชียบได้
อย่างไรก็ตาม จักรพรรดิฟูซีในเวลานี้กลับยังคงแลดูสงบ ปราศจากซึ่งวี่แววของคลื่นใดๆ มากระทบรบกวน
ในขณะนี้ ชีวิตของจักรพรรดินีกำลังตกอยู่ในอันตราย
และตลอดทั้งสาธารณรัฐฟูซี ผู้ที่สามารถทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์นั้นได้ มีเพียงองค์จักรพรรดิเท่านั้น!
แม้จะเป็นเวลานานแล้ว ที่องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีกับจักรพรรดินีจะสมรสกันในทางการเมือง แต่ทว่าทั้งสองก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี
แม้แต่ในชีวิตก่อนหน้า กระทั่งปีสุดท้ายของวันสิ้นโลกได้มาถึง ทั้งสองคนก็ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งใดๆ กัน
มันก็จริงดั่งที่บางคนได้บอกเอาไว้ว่า องค์จักรพรรดิแห่งฟูซีน่ะมีความทะเยอทะยานที่สูงล้ำ ทว่าจักรพรรดินีของเขากลับเพียงแค่ต้องการซึ่งความมั่นคงและเสถียรภาพ
และเมื่อประเทศตนเกิดเสถียรภาพ เธอก็จะสามารถหาวิธีช่วยเหลือแอนต่อสู้กับจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ได้
แม้องค์จักรพรรดิและจักรพรรดินีจะมีแรงดลใจที่แตกต่างกัน แต่บางครั้งทั้งสองก็ประนีประนอมกัน
ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงวันสิ้นโลก ภัยพิบัติได้ถาโถมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ทุกประเทศสามารถเข้าเล่นเกมหมื่นสวรรค์ได้ ทุกคนก็วุ่นอยู่แต่กับการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเอง
กระทั่งองค์จักรพรรดิฟูซียังค้นพบว่าตนเองไม่นับว่าเป็นสิ่งใดเลย ยามอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ
และก็เป็นดั่งเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ องค์จักรพรรดิเริ่มเสาะแสวงหาความแข็งแกร่งแด่ตนเองอย่างบ้าคลั่ง
เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากฝึกฝนจนขอบเขตวรยุทธสูงส่งขึ้น มันไม่เพียงแค่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่ง แต่ยังจะช่วยยืดอายุขัยให้ยืนยาวขึ้นอีกด้วย
ยามเมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นก่อกำเนิด อายุขัยของผู้ฝึกยุทธจะเพิ่มพูนขึ้นถึงหนึ่งพันปี!
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่แสนวิเศษเช่นนี้ องค์จักรพรรดิที่แสนทะเยอทะยาน ก็ลืมเลือนแผนการอย่างการแผ่ขยายอาณาเขตของตนไปจนหมดสิ้น
และนั่นส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจักรพรรดินียังคงเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีบาดหมางต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงชีวิตนี้ เกมหมื่นสวรรค์ยังไม่ได้เปิดตัว
จึงย่อมเป็นธรรมดาที่องค์จักรพรรดิยังมิได้ถูกเบี่ยงเบนความคิด หรือเปลี่ยนความสนใจของเขา
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบเข้ามาในจิตใจของกู่ฉิงซาน
ภัยพิบัติสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นในวันสิ้นโลก คือภัยพิบัติเยือกแข็ง
หากมันเป็นภัยพิบัติเยือกแข็งจริงๆ การที่องค์จักรพรรดิหมายจะลงมือกระทำบางสิ่งบางก็น่าจะสมเหตุสมผล
เพราะหลังจากทั้งหมดนี้ ต้นกำเนิดของภัยพิบัติเยือกแข็งที่เกิดขึ้นนั้น มีหนึ่งแห่งตั้งอยู่ในอาณาเขตของสาธารณรัฐฟูซี
เมื่อภัยพิบัติอันไม่อาจต้านทานได้มาถึง ในชีวิตก่อนหน้า องค์จักรพรรดิฟูซีจึงเลือกยืนอยู่เคียงข้างมนุษยชาติ
กู่ฉิงซานเทเหล้า แล้วกระดกมันขึ้นดื่ม
ในหัวใจของเขาวูบไหวอย่างกะทันหัน
ทั้งหมดนี้ อาจจะไม่ใช่อย่างที่เขาคิดก็เป็นได้
ภายนอกองค์จักรพรรดิอาจจะยืนอยู่เคียงข้างเดียวกันกับฝั่งมนุษยชาติ แต่ใครจะรู้ ลึกๆ ภายในเขาอาจจะกำลังคิดหมายบางสิ่งอยู่ก็เป็นได้ ตัวอย่างก็เช่น…
ในช่วงวันท้ายๆ ของชีวิตก่อนหน้า โลกค่อยๆ ถูกทำลายลงอย่างช้าๆ มนุษย์ทยอยกันตกตายลงคนแล้วคนเล่า
หลายคนที่แม้จะยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก็ได้หมดสิ้นแล้วซึ่งสิ่งที่เรียกกันว่า ‘ความหวัง’ หรือ ‘กำลังใจ’
ส่งผลให้บางคนยินยอม ‘ขายวิญญาณ’ ตนเองให้แด่ภัยพิบัติ
ถ้าหากภัยพิบัติเยือกแข็งปะทุขึ้นแล้ว แต่องค์จักรพรรดิฟูซียังเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ทุกคนคงพอจะเดาออกใช่ไหมว่าเขาจะเลือกอะไร?
ภัยพิบัติที่แม้กระทั่งเก้าตระกูลใหญ่ก็ยังมิอาจต่อกรกับมันได้
แล้วถ้าหากสามารถใช้ภัยพิบัตินี้ สังหารเก้าตระกูลใหญ่ลงได้ ฝ่าบาทจะพิจารณาถึงเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
กู่ฉิงซานเบนสายตาไปยังฟลอร์เต้นรำเพื่อมองหาองค์จักรพรรดิ
พระองค์กำลังเต้นรำโดยมีหญิงงามถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขน
ใบหน้าของหญิงสูงศักดิ์แดงซ่าน เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกของการถูกสวมกอดภายใต้อ้อมแขนขององค์จักรพรรดิท่ามกลางบทเพลงและแสงสีในงานเต้นรำ
แต่แล้วกู่ฉิงซานก็พลันสังเกตเห็นว่า ในวันนี้…องค์จักรพรรดิมิได้สวมใส่มงกุฎ!
กู่ฉิงซานบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้นในจิตใจของเขา
เขามัวแต่คิดถึงเรื่องขององค์จักรพรรดิไม่หยุดหย่อน จนหลงลืมไปแล้วว่าแท้จริงตนมาเพราะเรื่องของมงกุฎที่ว่านั่นด้วย!
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เวลานี้เขาจะต้องได้รับเลือดของตะวันและจันทรามาให้จงได้
กู่ฉิงซานยกเหล้าขึ้นจิบ และเสร็จสิ้นการตรวจสอบโดยจิตสัมผัสเทวะ
ในจิตสัมผัสเทวะของเขา ตลอดทั่วทั้งวังนี้ไม่ได้มีอะไรผิดปกติอย่างแท้จริง
ที่ผิดปกตินิดหน่อยก็น่าจะเป็นจำนวนของรัฐมนตรีแห่งฟูซี ที่ดูเหมือนว่าจะมีมากเกินไป
หากองค์จักรพรรดิมาใช้วันหยุดของเขาในวัง และนำผู้ช่วยบางคนมาเพื่อจัดการช่วยเหลือกับปัญหาทางการเมืองมันก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอก แต่...
แต่คราวนี้ เกือบครึ่งในงานล้วนเป็นรัฐมนตรี
กู่ฉิงซานส่ายหัว
ณ ช่วงเวลานั้นเอง นายทหารที่ตัวสูง หล่อเหลาก็เดินเข้ามาหาเขา
“สวัสดี” นายทหารกล่าว
“สวัสดี มีเรื่องอะไรให้ผมรับใช้?”
“คุณคือ กู่ฉิงซานใช่ไหม? ผู้เชี่ยวชาญด้านเกราะรบขับเคลื่อนแห่งรัฐบาลกลาง?”
“ใช่แล้วล่ะ นั่นผมเอง”
“เจ้าหญิงยังเยาว์วัยนัก ขณะเต้นรำเธอเลยทำกิริยาไม่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้นฉันจึงมาขอโทษแทนเธอ”
“ไม่เป็นไรหรอก อย่างไรเธอก็เต้นได้ดีไม่เลวล่ะนะ คุณเองก็…คงกำลังตกอยู่ในห้วงความรักล่ะสิใช่ไหม?”
“ใช่”
“ผมขอให้คุณมีความสุขนะ”
ระหว่างกล่าว กู่ฉิงซานก็ยกมือขึ้นเรียกบริกร หยิบแก้วมา และใส่น้ำแข็งลงไป
เขารินเหล้าไว้ตนเองแก้วหนึ่ง ส่วนอีกแก้วยื่นให้อีกฝ่าย
“อา ขอบใจนะ”
นายทหารหนุ่มรับแก้วมา และเริ่มจับจ้องสังเกตตัวกู่ฉิงซาน
ดวงตาของกู่ฉิงซานช่างกระจ่างชัด ทัศนคติของเขาดูเป็นคนใจกว้างและตรงไปตรงมา
เมื่อจับสังเกตอีกเล็กๆ น้อยๆ ความประทับใจที่มีต่อกู่ฉิงซานก็เพิ่มขึ้นหลายส่วน
พวกเขาชนแก้วกันและยกขึ้นดื่ม
นายทหารหนุ่มตั้งใจที่จะทำความรู้จักและเป็นสหายกับกู่ฉิงซาน แถมในชีวิตก่อนหน้าของกู่ฉิงซานเขาก็อยู่ในจักรพรรดิฟูซีมานานมาก ดังนั้นจึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ในการสนทนาระหว่างทั้งสอง ไม่นานนักพวกเขาก็คุ้นเคยกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งสรรพนามที่ใช้เรียกขานกันก็เปลี่ยนไป
“เจ้าหญิงเธอขอให้ฉันเป็นฝ่ายเริ่มเปิดฉากต่อสู้กับนาย แล้วท้าพนันต่อหน้าทุกคน”
นายทหารกล่าวอย่างหมดหนทาง
กู่ฉิงซานจึงเอ่ยทันที “ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์นะ ไม่ใช่พวกมืออาชีพ”
อย่างไรก็ตาม นายทหารกลับกล่าวสวนมาฉับพลัน “ก็นั่นน่ะสิ ฉันน่ะเป็นมืออาชีพนะ ถ้าจู่ๆ มาท้าทายฝ่ายบุ๋นที่เน้นใช้สมอง คนอื่นๆ คงจะหัวเราะฉันแย่” นายทหารกล่าว
“แล้วที่นายต้องการจะสื่อก็คือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“แน่นอนว่าจะไม่สู้ ต่อให้เจ้าหญิงจะตำหนิฉันก็ตามที...ฉันไม่สามารถรังแกคนดังอย่างนายได้หรอก” นายทหารกล่าว
“ฉันล่ะชื่นชมการตัดสินใจของนายจริงๆ ที่ไม่ได้ใช้พลังเพื่อข่มคนที่อ่อนแอกว่า” กู่ฉิงซานกล่าวสรรเสริญ
“นายก็ชมกันเกินไป”
นายทหารหนุ่มฝ่ายตรงข้ามเริ่มเขิน
กู่ฉิงซานกลับเข้าเรื่อง “ขอถามหน่อยจะได้ไหม ว่านายทำอาชีพอะไร?”
นายทหารหนุ่มยืดอกขึ้นและกล่าว “ฉันทำงานเป็นองครักษ์”
กู่ฉิงซาน “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”
ในฟูซี มีเพียงลูกหลานขุนนางที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์เท่านั้นที่จะสามารถรับตำแหน่งองครักษ์แห่งวังหลวงได้
องครักษ์ในวังนับว่าเป็นเกียรติยศและแสดงถึงสถานะ เป็นหน้าเป็นตาแก่องค์จักรพรรดิ
เนื่องเพราะภูมิหลังอันโดดเด่นของนายทหารหนุ่มผู้นี้นี่เอง เขาจึงได้รับการยินยอมให้มีส่วนร่วมในงานรื่นเริงและมีโอกาสเข้าหาเจ้าหญิง
กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “งานคุ้มกันตัวตนที่ทรงพลังดังเช่นฝ่าบาท ในแต่ละวันมันคงจะสะดวกสบายมากเลยล่ะสิ”
นายทหารหนุ่ม “ พวกเราต้องออกเคลื่อนไหวอยู่บ่อยครั้ง และยืนอยู่รอบๆ กายฝ่าบาทเพื่อทำหน้าที่คุ้มกัน แต่ก็นั่นล่ะนะ...มันก็สบายอย่างที่นายว่าจริงๆ”
พอเอ่ยถึงจุดนี้ กู่ฉิงซานกับนายทหารหนุ่มหัวเราะออกมาพร้อมกัน
กษัตริย์แห่งจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เป็นพวกที่ชอบเสวยสุข ดื่มด่ำมึนเมา ส่วนประธานาธิบดีของรัฐบาลกลางก็เป็นคนได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชน ทั้งสองจึงนับว่ามิใช่ตัวตนอันแข็งแกร่งเท่าใดนัก
มีเพียงจักรพรรดิแห่งฟูซีเท่านั้น ที่เป็นมืออาชีพ เป็นตัวตนอันแข็งแกร่ง และทรงพลังอย่างแท้จริง
และมืออาชีพส่วนใหญ่จากทั่วทั้งโลก ล้วนต้องยอมสยบต่อเขา
แล้วตัวตนที่ทรงพลังถึงขนาดนี้ เหตุใดจึงจำเป็นจะต้องให้ความคุ้มครองอีกเล่า?
กู่ฉิงซานรินเหล้าให้อีกฝ่าย
“แก้วนี้เพื่อแสดงความนับถือแด่ฝ่าบาทของนาย” เขากล่าว
“แสดงความนับถือแด่ฝ่าบาท” นายทหารกล่าว
พวกเขายกเหล้าขึ้นดื่มอีกครั้ง
มันเป็นเหล้าที่มีฤทธิ์แรงมาก ทว่าแม้กู่ฉิงซานจะดื่มมันมาสักพักแล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
ส่วนนายทหารหนุ่มหลังจัดไปหลายแก้ว ใบหน้าของเขาก็เริ่มที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงนิดๆ ดูท่าจะเมาหน่อยๆ แล้ว
………………..………………..