ตอนที่ 265 ไม่มีใครกล้าทำเสียงดัง
หลังจากที่ทั้งสามคนเข้าไปในบาตรพระ ผู้ฝึกยุทธคนแล้วคนเล่าก็เริ่มปฏิบัติตามบ้าง
บาตรสาดแสงสีทองอีกครั้ง กวาดไปทั่ววิหารพุทธะรวบผู้ฝึกยุทธหลายคนเข้าไป
ด้านนอกวิหารพุทธะหลงเหลือผู้ฝึกยุทธอีกคนเดียวเท่านั้น
เขาจงใจเฝ้ารอให้ทุกคนถูกดูดเข้าไปในบาตรจนหมด และไม่คิดเคลื่อนไหวใดๆ
ในขณะนี้ เมื่อเห็นว่าทางสะดวกแล้ว ใบหน้าของเขาก็เผยถึงร่องรอยของความปีติยินดีออกมา และเหินอากาศตรงไปทางดิสก์ค่ายกล
ในจิตใจของเขาฟุ้งไปด้วยความโลภ ตั้งแต่ที่ไล่ตามดิสก์ค่ายกลลงบันไดมาแล้ว
ก็ในเมื่อรู้แล้วว่าดิสก์ค่ายกลที่อยู่เบื้องหน้านั้นมีจิตวิญญาณ ที่เขาต้องทำก็แค่เตรียมการป้องกันเอาไว้ให้ดี จะได้ไม่ต้องหวาดเกรงว่าจิตเทวะจะได้รับบาดเจ็บโดยฝีมือของดิสก์ค่ายกลก็เท่านั้น
ตัวเขาคือปรมาจารย์ค่ายกลในขอบเขตก้าวสู่เทพ ยามเมื่อได้รับรู้ว่าดิสก์ค่ายกลที่มีจิตวิญญาณธรรมชาติมาอยู่ตรงหน้า แล้วเขาจะปล่อยผ่านมันไปได้อย่างไร?!
หากเขาได้ครอบครองดิสก์ค่ายกลนี้ กระทั่งกงซุนซีก็คงมิใช่คู่มือของเขาอีกต่อไป
ตอนนี้ทุกคนได้เข้าไปในบาตรแล้ว ช่วงเวลานี้นับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุด ที่จะลงมือยึดดิสก์ค่ายกลมาไว้ในครอบครอง
แล้วเมื่อทุกคนกลับออกมาอีกครั้ง และไม่อาจหาดิสก์ค่ายกลเจอ ตัวเขาก็สามารถแกล้งโง่ว่าตนก็ไม่รู้ว่ามันหายไปที่ไหนเหมือนกัน เท่านี้แผนการก็จบลงอย่างสมบูรณ์แบบ!
“ฮ่าๆๆ เจ้าเป็นของข้า! ของๆ ข้า!”
เขาตะโกนด้วยความตื่นเต้น
ผู้ฝึกยุทธบินไปเบื้องหน้าดิสก์ค่ายกล จากนั้นก็เอื้อมมือไปคว้าจับมัน
แต่แล้วในวินาทีต่อมา เมื่อดิสก์ค่ายกลได้เข้าสู่อ้อมอกของเขา
พริบตานั้นบาตรพระสีดำก็พลันเปล่งแสง และกวาดมันใส่ผู้ฝึกยุทธคนนั้นวูบหนึ่ง
ทันทีที่แสงวาบผ่าน เนื้อหนังของผู้ฝึกยุทธก็วูบหาย หลงเหลือทิ้งไว้เพียงชั้นโครงกระดูกที่ไร้ซึ่งผิวหนัง ร่วงตกกระแทกลงกับพื้น เด้งกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ในขอบเขตก้าวสู่เทพ ตกตายลงโดยสมบูรณ์ในพริบตาเดียว!
ดิสก์ค่ายกลร่อนลงเหนือหัวกะโหลกของโครงกระดูก ก่อนจะทิ้งตัวมันเองลงไปเคาะกับอีกฝ่ายเบาๆ จนเกิดเสียงดังเป๊าะ แสดงท่าทีสื่อความหมายถึงความเย้ยหยัน
หลังจากนั้นไม่นาน ดิสก์ค่ายกลดูเหมือนกับจะสัมผัสได้ถึง ‘บางสิ่ง’ มันค่อยๆ บินกลับมาและร่อนลงไปหลบซ่อนตัวในบาตร ตามติดคนอื่นๆ ไป
ภายในบาตร
สองเท้าของกู่ฉิงซานแตะลงบนพื้น ตามมาติดๆ ด้วยหนิงเยว่ฉาน
ต่อด้วยเหลิงเทียนสิงและผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่ร่อนลงมา
ท่ามกลางความมืดมิด น้ำเสียงที่ฟังดูโศกเศร้ากังวานออกมา
“อมิตาพุทธ กองทัพมารอยู่ในช่วงเจริญรุ่งเรือง แต่ข้ากลับมิอาจปกป้องโลกใบนี้เอาไว้ได้ ภายใต้ทางเลือกสุดท้ายอันไร้ซึ่งหนทางอื่น พวกเจ้าจงเลือกที่จะร่วมมือกัน ตัดเส้นแบ่งกฎแห่งสวรรค์และโลกที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนในประวัติศาสตร์เพื่อความอยู่รอด นี่จึงเป็นที่มาของภาพกระบวนการทั้งหมดที่ถูกบันทึกเอาไว้โดยข้า เพื่อบอกกล่าวมันสืบต่อสำหรับคนรุ่นต่อๆ ไปในอนาคต”
เสียงค่อยๆ จางหายไป แต่กลับปรากฏภาพฉายขึ้นโดยรอบแทน
“นี่มัน…ภาพฉายที่ถูกเก็บบันทึกเอาไว้?” เหลิงเทียนสิงอย่างด้วยความลังเล
ฝูงชนหันไปมองรอบๆ และเห็นว่าแท้จริงแล้วพวกตนนั้นกำลังยืนอยู่บนแท่นบูชาในมุมสูง
ใต้แท่นบูชาลงไป คึกคักไปด้วยกระแสของผู้คนที่พลุกพล่าน และผู้ฝึกยุทธระดับสูงจำนวนมากล้นอีกกว่า นับล้านคน!! นับเฉพาะเพียงแค่จำนวนผู้ฝึกยุทธที่เห็นอยู่เบื้องล่างนี้ ก็เหลือคณายิ่งกว่ากำลังพลของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธที่นำทัพมาบุกยังโลกเทวะหลายสิบเท่า!
ในบรรดาผู้ฝึกยุทธ มีหลายคนได้รับบาดเจ็บ บางคนถึงกับนั่งลงบนพื้น ขณะที่คนอื่นๆ อาการย่ำแย่ยิ่งกว่า พวกเขาทำได้แค่เพียงนอนนิ่งๆ
บนร่างของพวกเขาสวมใส่ชุดเกราะรบ พวกมันได้รับความเสียหายในองศาที่แตกต่างกัน
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ อาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าต่างหาก
อาวุธเหล่านั้นมิได้ลอยอยู่อย่างนิ่งเฉย มันบินไล่ฉวัดเฉวียนกันไปมา มีเพียงแค่ช่วงเวลายามที่เหล่าผู้ฝึกยุทธเรียกขานเท่านั้น พวกมันจึงจะลอยไปหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกยุทธมากมายที่เข้ามาในบาตรล้วนแล้วแต่เป็นการดำรงอยู่ในขอบเขตก่อกำเนิดและสูงยิ่งกว่า เมื่อจ้องมองดูฉากนี้ พวกเขากลับไม่รู้ตัวเองเลยว่า ตนเพิ่งได้ถูกลากเข้าไปในชิ้นส่วนหนึ่งของอดีตที่ผ่านมา
“อาวุธเหล่านี้ การที่พวกมันเคลื่อนไหวเองได้ นั่นหมายความว่าทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีจิตอาร์ติแฟค” หนิงเยว่ฉานกล่าว
กู่ฉิงซานเอ่ยเสริม “เจ้าลองดูที่ชุดเกราะของพวกเขาสิ”
ฝูงชนต่างเบนสายตามองไปยังเกราะรบของผู้ฝึกยุทธ
มองไปยังเกราะรบที่ปรากฏรัศมีของแสงสวรรค์อันหลากหลายรูปแบบวาบผ่าน เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ปรากฏขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว บางครั้งก็เป็นรัศมีแสงรูปแบบปริศนา บางครั้งก็โผล่มาแม้กระทั่งรัศมีแสงของร่างอสูรเทวะ
หนิงเยว่ฉานถอนหายใจ “เทคนิคการปรับแต่งของพวกเขา เหนือล้ำเกินกว่าในโลกของพวกเราอยู่หลายขุมจริงๆ”
“ข้าเกรงว่ามันจะไม่ใช่เพียงแค่การปรับแต่ง ทุกคน ลองมองไปยังเบื้องหน้าของพวกเราสิ” เหลิงเทียนสิงกล่าว
กู่ฉิงซานหันหัวไป มองมายังผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าแท่นบูชา
พวกเขามีทั้งหมดทั้งสิ้นสิบสองคน
คนเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นอายที่ลึกลับราวกับมหาสมุทร แม้ความผันผวนทางวิญญาณของพวกเขาถูกปิดกั้นเอาไว้ แต่ทั้งหมดกลับยังสามารถปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าหวาดกลัวออกมาได้
“นี่คงมิผิดแล้ว ความรู้สึกนี้มัน…มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับในตอนที่สามปราชญ์กำลังยืนออกคำสั่งอยู่เบื้องหน้าข้า...” ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่คนหนึ่งอุทานออกมา
“โอ้เง็กเซียนเถอะ! เจ้ากำลังจะบอกว่า ผู้ฝึกยุทธทั้งสิบสองคนนี้ เป็นตัวตนอันแข็งแกร่งที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพอย่างนั้นหรือ?!” คนอื่นๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
กู่ฉิงซานลอบสำรวจพวกเขาอย่างเงียบๆ และก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
ภาพฉายในฉากนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก มันทำให้พวกเขาสามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของแต่ละคนได้อย่างแท้จริง
ในโลกเทวะ ปรากฏซึ่งสิบสองตัวตนอันทรงพลังที่อยู่ในขอบเขตประทับเทพ ช่างเป็นกำลังรบที่น่าหวาดหวั่นโดยแท้
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งก็วาบผ่านเข้ามาในจิตใจของทุกผู้คน
ทั้งๆ ที่มีการดำรงอยู่ของตัวตนอันแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ และยังไม่นับรวมผู้ฝึกยุทธระดับสูงเบื้องล่างอีกหลายแสนคน แต่เหตุใดพวกเขาจึงมิอาจต่อกรกับเผ่ามารได้?
คงต้องได้แต่คาดเดาเอาเองจากประสบการณ์ที่ผ่านมาว่า คงเป็นเพราะเผ่ามารนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ และจำนวนที่มากล้นจนเหลือคณานับ ส่งผลให้จำนวนมารที่สามารถทะยานขึ้นสู่ระดับสูงมีมากตามไปด้วย ชนิดที่ว่าหากพวกมันทั้งหมดร่วมมือกัน แม้กระทั่งสามปราชญ์ก็ยังมิอาจต่อกรได้ เกรงว่าในโลกแห่งนี้ก็คงจะไม่แตกต่างกัน
แต่โชคยังดีที่มารระดับสูงดังที่กล่าวมาจำนวนมากได้หายตัวไปจากโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ นั่นจึงเป็นเหตุผลหลักเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถคว้าชัยในสงครามครั้งก่อนหน้าได้
ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันจากไปไหน และไปที่ใดกันแน่
ฉากเบื้องหน้าส่งผลให้ผู้คนสูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาจนเหม่อลอย แต่ในขณะเดียวกัน ฉากเหล่านั้นก็ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดนิ่ง ตัวตนอันทรงพลังทั้งสิบสองในขอบเขตประทับเทพก็หันหน้ามามองกันและกัน ก่อนที่คนหนึ่งจะลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังแท่นบูชา
ชายคนนั้นเอ่ยปากร้อง “หนึ่งชั่วยามได้ผ่านพ้นไปแล้ว น้อมคารวะต้อนรับสี่ผู้ทรงเกียรติ!”
เสียงของเขายังไม่ทันตกลงสิบสองขอบเขตประทับเทพพร้อมทั้งผู้ฝึกยุทธทั้งหมดเบื้องล่างแท่นบูชาต่างก็พากันคุกเข่าลง หนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือประสานเข้าหากันเพื่อน้อมทำความเคารพ
ในขณะนั้นเอง ท้องฟ้าเบื้องบนทางทิศตะวันออกก็พลันปรากฏแสงสีฟ้าผุดออกมา ก่อนจะเผยถึงร่างของมังกรฟ้าห้ากรงเล็บ ที่กำลังแบกชายชราผมขาวไว้บนแผ่นหลังของมัน ขี่แหวกเมฆหมอกตรงเข้ามา
ต่อมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ พลันปรากฏเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นกลางผืนฟ้า มันเผาไหม้มวลเมฆ ลากอัคคีคำรามเป็นทางเส้นยาว โดยเบื้องหน้าสุดของเปลวเพลิง ปรากฏซึ่งใบกระบี่ยาวที่กำลังลุกไหม้ และร่างของชายที่สูงใหญ่และบึกบึนย่ำอยู่บนมัน ขี่กระบี่เหินอากาศมุ่งตรงมายังแท่นบูชา
ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พลันโหมกระหน่ำด้วยคลื่นระลอกใหญ่ม้วนกลิ้งเข้ามา พร้อมกับปรากฏร่างของชายหญิงที่ยืนหยัดโต้สายลมสายน้ำอยู่บนเกลียวคลื่น ทั้งสองพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ขณะที่ค่อยๆ มุ่งตรงมายังทิศทางนี้อย่างช้าๆ
ทันทีที่ทั้งสี่คนปรากฏตัวขึ้น ทุกคนก็เผยท่าทีเคาพรบนอบน้อมยิ่งกว่าเดิมหลายส่วน
ทั้งสี่ร่อนลงมาบนแท่นบูชา กวาดวิสัยทัศน์จ้องมองโดยรอบ ก่อนจะโบกมือและเอ่ยปากกล่าว “ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”
หลังจากได้ยินคำสั่งนี้ เหล่าผู้ฝึกยุทธจึงกล้าที่จะลุกขึ้น
กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวในทันที “คนพวกนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตประทับเทพ”
ในดวงตาของเขาติดตรึงอยู่กับร่างของทั้งสี่ และสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจอันน่าเกรงขามของอีกฝ่าย ที่แผ่ออกมาจนทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน
“พวกเขาให้ความรู้สึกคล้ายกับราชันมารสวรรค์ที่พวกเราต่อสู้ด้วยในสงครามครั้งก่อนเลย” หนิงเยว่ฉานขมวดคิ้ว
“ถูกต้อง พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นตัวตนที่ทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพ” กู่ฉิงซานวินิจฉัยก่อนจะกล่าวยืนยันการตัดสินใจของเธอ
“ตัวตนที่ทรงพลังเหนือล้ำยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพ...แถมยังมีถึงสี่คน…”น้ำเสียงของผู้ฝึกยุทธขาดๆ หายๆ เอ่ยปากกล่าวด้วยความเสียขวัญ
ทั้งหมดหันมาสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า ในจิตใจฟุ้งไปด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ
ทันทีที่เหลิงเทียนสิงเฝ้ามองมาถึงจุดนี้ เขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง จู่ๆ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนกลับกลาย ปากเอ่ยกล่าว “ถ้าหากพวกเขามีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ แล้วพวกเขาจะพ่ายแพ้แก่เผ่ามารได้อย่างไร?”
คำถามนี้ได้รับคำตอบกลับมาคือความเงียบ…เงียบเพราะไม่มีใครเอ่ยปากตอบมันได้ แต่คาดว่าคงมิกล้าเอ่ยตอบออกไปเสียมากกว่า เพราะเกรงว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจของตนเองมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม มองไปยังสี่ตัวตนอันทรงเกียรติและสิบสองประทับเทพ ที่กล่าวหารือกันอยู่บนแท่นบูชาเป็นเวลานาน ทว่าผ่านไปสักครู่หนึ่งแล้วแต่ดูเหมือนว่าทั้งหมดก็ยังไม่สามารถตัดสินใจบางอย่างได้
ภาพฉายของฉากนี้ได้หายไปทันที หลังจากนั้นครู่หนึ่งภาพฉากใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในจุดนี้ ภาพฉายได้กระโดดข้ามช่วงเวลาไปยังเบื้องหน้าเป็นเวลานาน
ภายในฉากใหม่นี้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายได้ออกไปจากแท่นบูชาไปกันหมดแล้ว หลงเหลือทิ้งไว้เพียงร่างของสี่ตัวตนอันทรงเกียรติที่ยืนประจำตำแหน่งอยู่ตามมุมต่างๆ ของแท่นบูชา และกำลังจีบออกด้วยเทคนิคลับไปพร้อมๆกัน
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังร่วมมือกันใช้ออกด้วยเทคนิคลับชนิดพิเศษ
เมื่อทั้งสี่บนแท่นบูชาร่ายคาถาของพวกเขา ท้องฟ้าเหนือแท่นบูชาก็พลันแยกออก และเผยให้เห็นถึงกระแสปฐมบทแห่งความโกลาหล มิติและห้วงเวลาอันเชี่ยวกราก!
มิติและห้วงเวลายังคงเกิดความโกลาหลอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่นานมันก็สลายหายไป สวรรค์และโลกกลับคืนสู่ความปกติ
พร้อมกับชิ้นเครื่องประดับแปลกตาที่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเบื้องบน และกำลังค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
เครื่องประดับสาดแสงกะพริบไหว ทว่าสุดท้ายก็ถูกทำลายและแตกสลายกลายเป็นผง
ในวินาทีต่อมา ร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าขึ้นมาแทนที่มัน
กู่ฉิงซานและคนแหงนหน้ามองขึ้นไป ทุกคนคาดหวังว่าจะได้เห็นรูปลักษณ์ของพวกเขา ทว่าจู่ๆ ภาพทั้งหมดกลับหายวับไปอย่างกะทันหันเสียอย่างนั้น?!
พร้อมกับในเวลาเดียวกันพวกเขาทั้งหมดก็ถูกดีดส่งออกจากบาตร
เหล่าผู้ฝึกยุทธทยอยกันปรากฏตัวขึ้นทีละคน ทีละคนในวิหารพุทธะอย่างต่อเนื่อง
“เอ๋?”
“นี่พวกเราออกมาแล้ว?”
“กำลังถึงช่วงเวลาสำคัญเลย ทำไมจู่ๆ ถึงมาขัดจังหวะกันแบบนี้?”
เหล่าผู้ฝึกยุทธโวยวายอยู่เพียงครู่ แต่แล้วสักพักทั้งหมดก็นิ่งค้างไป
ทุกคนหันไปมองในทิศทางเดียวกัน
ทางเข้าวิหาร
ปรากฏร่างของเหล่าผู้ฝึกยุทธแปลกหน้ากำลังยืนอยู่ที่นั่น
พวกเขาสวมใส่หมวกไม้ไผ่ทรงกว้างที่หุบมันต่ำลงมายังเบื้องหน้า ตามตัวสวมชุดคลุมสีดำ ขณะที่มือทั้งสองพับเข้าหากันอยู่ในแขนเสื้อโปร่ง
เครื่องแต่งกายแบบนี้ ทำให้ผู้คนไม่อาจมองเห็นใบหน้าของพวกเขาได้ และไม่สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวในระดับละเอียดอ่อนของมือพวกเขาได้ด้วยเช่นกัน
ในชั้นอากาศ ยังหลงเหลือคลื่นความผันผวนของพลังมนตราอยู่
และคลื่นที่ว่าก็ถูกส่งออกมาจากตรงบาตรพระ ที่ขณะนี้ปรากฏถึงร่องรอยขีดข่วนรอยใหม่ที่แลคล้ายกับเพิ่งถูกเผาไหม้มาสดๆ ร้อนๆ
ดังนั้น นี่ก็น่าจะเพียงพอที่จะระบุได้ว่า ผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าเหล่านี้เพิ่งจะทำการโจมตีใส่บาตร ส่งผลให้กู่ฉิงซานและคนอื่นๆ ถูกบังคับส่งตัวกลับมา
ผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าเหล่านี้ปลดปล่อยคลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณในขั้นก่อกำเนิดและก้าวสู่เทพออกมาเช่นเดียวกันกับพวกเขา
ทางฝั่งผู้ฝึกยุทธแปลกหน้าแลดูตกตะลึงไม่แพ้กัน พวกเขาเชิดหน้าขึ้นมาเล็กน้อย และมองสวนกลับมาด้วยสีหน้าที่เผยถึงร่องรอยของความประหลาดใจภายใต้หมวกไม้ไผ่
ทั้งสองฝ่ายต่างประจันหน้าซึ่งกันและกัน
ในบรรยากาศเช่นนี้ ไม่มีใครกล้าทำเสียงดังใดๆ ออกมา
ในช่วงเวลานี้ ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังหยุดนิ่ง
ผู้ฝึกยุทธในโลกฝึกยุทธพบว่าตนเองไม่เคยเจอกับแขกที่สวมหมวกไม้ไผ่เหล่านี้มาก่อนเลย
หนิงเยว่ฉาน เหลิงเทียนสิง เป็นผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ ทั้งสองเป็นนายทหารระดับสูงที่คอยควบคุมสั่งการคนในกองทัพมาตลอดหลายปี นั่นย่อมหมายความว่าพวกเขาเคยใช้จิตสัมผัสเทวะกวาดลงใส่ทุกคนผู้คนในกองทัพ และจดจำถึงลักษณะของพวกเขาได้อย่างไม่หลงลืม
ดังนั้นเมื่อดวงตาของทั้งสองตกลงไปยังฝ่ายตรงข้าม พวกเขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าไม่เคยพบเห็นคนเหล่านี้มาก่อน อีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง!
แม้กระทั่งเครื่องแต่งกายและอาวุธของคนเหล่านี้ ทั้งสองก็ยังไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
หรือว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้ฝึกยุทธแห่งโลกเทวะ?
แต่ผู้ฝึกยุทธแห่งโลกเทวะสิ้นชีพลงไปหมดแล้วอย่างแน่นอน ไม่น่าจะมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่อีก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ สามปราชญ์เป็นคนตรวจสอบ และเอ่ยวินิจฉัยออกมาด้วยตนเอง
ดังนั้นเหล่าแขกไม่ได้รับเชิญที่สวมหมวกไม้ไผ่เหล่านี้ ย่อมไม่ได้เป็นคนของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ และก็ไม่ได้เป็นคนของโลกเทวะเช่นกัน
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ทั้งเหล่าผู้ฝึกยุทธรวมไปถึงกู่ฉิงซานต่างก็พากันตระหนักได้ถึงบางสิ่งไปตามๆ กัน
มันเป็นสิ่งที่ทุกคนไม่เคยเลยที่จะคาดคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
โดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ประวัติศาสตร์ใหม่ได้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอีกคราหนึ่งแล้ว!
ในขณะนี้ สองโลกที่มีอารยธรรมแตกต่างกัน ได้บังเอิญมาพานพบกันในโลกที่สามซึ่งเป็นโลกเทวะที่ถูกทำลายล้างลงไปแล้ว!
เวลายังคงเดินหน้าต่อไป แต่ทว่ากลับยังคงไม่มีใครกล้าผ่อนลมหายใจออกมา
แต่แล้วในที่สุด ก็มีคนที่อาสาทำลายความเงียบ
“เอ๋? มีคนอื่นอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?”
หัวหอกของผู้ฝึกยุทธแปลกหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้ม
เขาเป็นชายที่ถือดาบยาวในมือ ขณะเดียวกันระหว่างกล่าว มือข้างหนึ่งของเขาก็วางลงบนด้ามดาบอย่างไม่ได้ตั้งใจ
.....................................................