webnovel

0264 ทางเข้า

ตอนที่ 264 ทางเข้า

กู่ฉิงซานนั่งอ่านมันอยู่อย่างเงียบๆ สักพักจึงเอ่ยถาม “ถ้าสองภารกิจถูกผสานควบรวมเข้าด้วยกันแล้วฉันสามารถบรรลุมันได้จนเสร็จสมบูรณ์ นี่จะหมายความว่าฉันสามารถสกัดสองพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เลยพร้อมกันใช่รึเปล่า?”

“ไม่ ยังคงสามารถสกัดได้เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์เดียวเท่านั้น” ระบบกล่าว

“ถ้าเป็นแบบนั้น ใครมันจะไปเลือกข้อสองกัน? อุตส่าห์ลำบากลำบนยกระดับขึ้นมาถึงสองขอบเขตใหญ่ แต่กลับจะได้เพียงแค่การสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์หนึ่งครั้งเป็นรางวัลเนี่ยนะ?” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

ระบบกล่าวตอบ “แต่ในตัวเลือกที่สอง คุณจะมีโอกาสสกัดได้พลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทต่อสู้เพิ่มสูงขึ้น”

“และคุณจะมีโอกาสสามารถสกัดสกิลเทวะได้”

กู่ฉิงซานถึงขั้นลืมหายใจ สัมผัสได้ถึงชั้นอากาศอันเย็นเยียบที่แตะตรงปลายจมูกในทันใด

สกิลเทวะ?

ไม่ใช่แค่เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เขาอาจจะสามารถสกัดสกิลเทวะได้ด้วย!?

หากนี่เป็นเรื่องจริง อย่างนั้นตัวเลือกที่หนึ่งก็ไม่จำเป็นต้องนำมาพิจารณาอีกต่อไป เขาจะต้องคว้าโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่จะได้รับสกิลเทวะนี้มาให้จงได้!

หากมีสกิลเทวะอยู่ในมือ ยามต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่อันตราย ตัวเขาเองคงมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายเท่า!

“ฉันอยากจะถามว่า แล้วโอกาสความน่าจะเป็นของการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทต่อสู้ หากเทียบกับโอกาสที่จะสามารถสกัดได้สกิลเทวะแล้วนั้นมันแตกต่างกันมากแค่ไหน?”

ระบบตอบ “โอกาสการสกัดได้พลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทต่อสู้ มีความน่าจะเป็นห้าสิบเปอร์เซ็นต์

ส่วนโอกาสการสกัดสกิลเทวะ มีความน่าจะเป็นสามสิบเปอร์เซ็นต์”

สามสิบเปอร์เซ็นต์?

เดิมพัน!

แบบนี้ต้องเดิมพันกับมันดูซักตั้งแล้ว!

กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไป เขาทำการเลือกหัวข้อที่สองเลยโดยตรง

โอกาสความน่าจะเป็นที่จะได้รับมีถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ก็นับว่าสูงมากแล้ว!

แม้ว่าจะย้อนกลับไป แล้วระบบบอกว่ามีโอกาสแค่เพียงสิบเปอร์เซ็นต์ กู่ฉิงซานก็ยังเลือกที่จะเดิมพันกับมันอยู่ดี!

ติ๊ง!

“ผู้เล่นได้ทำการเลือกตัวเลือกที่สอง”

“เริ่มทำการผสานภารกิจการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์แก่นทองคำ/ก่อกำเนิด เข้าด้วยกัน”

“ผู้เล่นมีโอกาสที่จะทำการสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ประเภทต่อสู้ และมีโอกาสสกัดได้สกิลเทวะ”

“จำนวนทั้งหมดหลังจากที่ทำการผสานภารกิจพลังศักดิ์สิทธิ์ของสองขอบเขต...เจ็ด”

“สเกลของภารกิจจะใหญ่ขึ้นและยากยิ่งขึ้น”

“คุณได้เสร็จสิ้นไปแล้วสองภารกิจ ภารกิจคงเหลือ...ห้า”

“ตอนนี้ ภารกิจเริ่มดำเนินการต่อแล้ว”

“โปรดเพิ่มพูนความแกร่งส่วนตนของคุณ เพื่อที่จะสามารถบรรลุเงื่อนไขในการรับภารกิจที่สาม”

นี่คือบรรทัดตัวอักษรสุดท้ายที่เด้งขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังบรรทัดตัวอักษรบนหน้าต่าง ในมือเผลอเกร็งกำปั้นจนแน่นโดยไม่รู้ตัว

เจ็ดภารกิจ!

เนื่องจากจำนวนของภารกิจถูกระบุออกมาแล้ว แต่เวลาที่จำกัดแค่เพียงเจ็ดวันยังไม่ได้รับการแก้ไข ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำก็คือ เร่งบรรลุภารกิจให้เร็วที่สุด!

ยิ่งสกัดพลังศักดิ์สิทธิ์ได้เร็วขึ้นเท่าไหร่เขาก็จะยิ่งแกร่งไวขึ้นเท่านั้น!

ยามค่ำคืน มิจำเป็นต้องกล่าวบทบรรยายใดๆ

วันต่อมาหนิงเยว่ฉานก็เลือกสรรผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่ในขอบเขตก่อกำเนิดและก้าวสู่เทพหลายสิบคน เดินทางไปออกตามหาเบาะแสในซากปรักหักพังร่วมกับกู่ฉิงซานและเหลิงเทียนสิง

ที่แห่งนี้คือทะเลทรายอันรกร้างและไร้ผู้คน

เรือเหาะหลายสิบลำค่อยๆ ร่อนลงจอดอย่างช้าๆ

ผู้ฝึกยุทธเดินทางมาถึงสถานที่ดังกล่าวอย่างรวดเร็ว และล้อมรอบมันเอาไว้

หนิงเยว่ฉานหยิบกล่องหยกที่ทำการปิดผนึกเป็นอย่างดีออกมาอย่างระมัดระวัง และเปิดมัน

ข้างในเป็นชิ้นส่วนของดิสก์ค่ายกลที่อยู่ในสภาพรุ่งริ่ง

“นี่คือดิสก์ค่ายกล” หนิงเยว่ฉานกล่าวอธิบาย “มันเป็นดิสก์ที่นายพลกงซุนหยิบขึ้นมาจากพื้น และเพียงแค่ลองพยายามที่จะปรับแต่งมัน แต่เมื่อเขาค้นพบถึงร่องรอยของบางสิ่งใต้พื้นดิน เขาก็กลับล้มลงสิ้นสติไปทันที”

“ร่องรอยอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม

“หลังจากที่เขาสิ้นสติไป ร่องรอยที่ว่านั่นก็ปิดลง” หนิงเยว่ฉานกล่าว

“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นดิสก์ค่ายกลประเภทกลไก ไหนลองเอามาให้ข้าดูหน่อยซิ” กู่ฉิงซานกล่าว

หนิงเยว่ฉานส่งกล่องหยกให้เขาและกล่าวเตือน “เจ้าจงระมัดระวังให้ดี”

กู่ฉิงซานรับกล่องมา โบกมือปัดๆ เพื่อสำรวจส่วนบนของมัน และจ้องมองลงไปอย่างเงียบๆ

แล้วจู่ๆ เขาก็เผยสีหน้าแปลกๆ ออกมา

“ข้ามิได้รู้จักมักคุ้นกับเขาถึงเพียงนั้น ทว่าเขากลับคิดจะปรับแต่งข้า…ดังนั้นจึงต้องถูกลงโทษ…” เขาเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

เหล่าผู้ฝึกยุทธไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาเบนสายตามาสบกันด้วยความงงงวย

นายพลกงซุนสิ้นสติลงเมื่อจับมัน แต่ดูเหมือนคนผู้นี้จะกลายเป็นบ้าแทนใช่หรือไม่?

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นว่าสีหน้าของทุกคนแปลกไป เขาจึงเลือกที่จะปิดปาก และส่งข้อความสื่อสารกับดิสก์ค่ายกลผ่านทางความคิดแทน

ผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง กู่ฉิงซานหยิบศิลาวิญญาณออกมาหลายก้อน และวางมันลงบนดิสก์ค่ายกล จากนั้นก็ทำการกระตุ้นพลังวิญญาณอีกครั้ง

ผืนดินส่งเสียงกึกๆ สั่นสะท้านไหว ก่อนจะแยกออกจากกัน เปิดเผยถึงประตูที่มีทางลงบันไดลากยาวไปยังเบื้องล่าง

“เอาล่ะ ลองลงไปกันเถอะ” กู่ฉิงซานเก็บดิสก์ค่ายกลกลับคืน ปากเอ่ยกล่าว

ทุกคนหันไปสำรวจตัวเขา และพบว่าไม่ว่าจะเป็นสติอารมณ์ สภาวะจิตใจ ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างแท้จริง ไม่มีสัญญาณว่าจะเกิดอาการสิ้นสติลงเลยแม้เพียงน้อย

“เจ้าสามารถทำเช่นนี้ได้อย่างไร?” หนิงเยว่ฉานอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

“ดิสก์ค่ายกลนี้มีจิตอาร์ติแฟคสถิตอยู่”

กู่ฉิงซานกล่าวพร้อมกับโยนดิสก์ค่ายกลขึ้นไปในอากาศ

“พวกเจ้าทุกคนจงเฝ้ามองดูสิ”

พร้อมกับคำกล่าวของเขา ดิสก์ค่ายกลก็หยุดลอยนิ่งอยู่กลางเวหาอย่างกะทันหัน ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ และปรากฏจิตธรรมชาติสีเทาจางๆ บนร่างกายของมัน

“จิตอาร์ติแฟค!” บางคนอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดล้วนตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง!

ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธอาวุธที่สามารถเบิกภูมิปัญญาทางจิตได้นั้นนับว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง!

มันไม่ง่ายเลยที่จะได้รับอาวุธหรือสมบัติมนตราที่สามารถผลิตภูมิปัญญาทางจิตได้ สิ่งนี้จะต้องใช้เวลายาวนานหลายปีในการฝึกฝน ถึงจะพบกับร่องรอยของความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น

ทว่าอย่างไรก็ตามในตอนนี้ ดิสก์ค่ายกลที่หยิบฉวยขึ้นมาจากพื้นกลับกลายเป็นว่ามันครอบครองจิตอาร์ติแฟค!

แต่เดี๋ยวก่อนนะ!

เช่นนั้นนี่อาจอุปมานได้ว่าอาการสิ้นสติของเหล่าผู้ฝึกยุทธก่อนหน้านี้ สมควรที่จะเกิดจากการที่พวกเขาไม่ได้รับการยอมรับจากจิตอาร์ติแฟค แล้วพยายามปรับแต่งอาวุธโดยพลการ จึงเป็นการยั่วยุให้จิตอาร์ติแฟคโกรธ พวกมันจึงลงมือโจมตีจิตเทวะของผู้ฝึกยุทธใช่หรือไม่?

แต่ผู้ฝึกยุทธคนใดเล่าจะไปคิดว่า อาวุธที่พวกเขาหยิบขึ้นมาส่งๆ มันจะไปมีจิตอาร์ติแฟคสถิตอยู่ ทั้งหมดจึงไม่ทันได้เตรียมรับมือสำหรับสิ่งนี้

ทุกคนเฝ้ามองดูดิสก์ค่ายกลที่ลอยอยู่กลางเวหา ดวงตาของพวกเขาบังเกิดสีแดงเรื่อเล็กน้อย

อาวุธที่มีวิญญาณลึกลับ! ครอบครองพลังอำนาจอันไม่อาจหยั่งถึง!

ไม่คาดคิดเลยว่ายามเมื่อมาถึงโลกเทวะ พวกเขาจะได้พบกับอุปกรณ์ระดับนี้!

“แล้วเจ้าทราบเกี่ยวกับมันได้อย่างไร?” หนิงเยว่ฉานเอ่ยถาม

“ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยได้พบกับดาบที่มีจิตอาร์ติแฟคด้วยเช่นกัน แต่ข้ามิได้พยายามที่จะปรับแต่งมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

“เรื่องราวหลังจากนั้นเล่า?”

“หลังจากนั้นก็เดินทางร่วมกัน พวกเราเข้ากันได้ดีทีเดียวล่ะ”

“หากเป็นในกรณีนี้ นี่มิได้หมายความว่าอาวุธที่ตกหล่นอยู่ในทุกสถานที่ของโลกเทวะนั้นครอบครองจิตธรรมชาติหรอกหรือ?” เหลิงเทียนสิงกล่าว

“เรื่องนั้นเป็นความจริง” กู่ฉิงซานกล่าว

ดิสก์ค่ายกลบินวนกู่ฉิงซานสองรอบ แล้วจู่ๆ มันก็พุ่งตรงเข้าไปในทางเข้าซากปรักหักพังได้ดินและหายตัวไป

“เร็วเข้า! พวกเราต้องเร่งฝีเท้าตามมันไปให้ทัน” หนิงเยว่ฉานกล่าว

ทุกผู้คนพยักหน้า และเร่งกระโจนลงไปในซากปรักหักพัง

ยิ่งลึก ขั้นบันไดก็ยิ่งมืดลง มืดจนไม่เห็นสุดปลายของสายตา

ดิสก์ค่ายกลบินนำอยู่เบื้องหน้า และทุกครั้งที่มาถึงทางตัน มันก็จะสั่นไหวเล็กน้อย และทันใดนั้นก็จะปรากฏเส้นทางสายใหม่ขึ้น

กลุ่มผู้ฝึกยุทธกับดิสก์ค่ายกลเดินทางมาแล้วร่วมหนึ่งชั่วยาม จนในที่สุดพวกเขาก็มาถึงวัดแห่งหนึ่ง

มันเป็นวัดที่กว้างขวางและสูงลิ่ว ใหญ่โตจนทั้งหมดรู้สึกว่าตนเองช่างเล็กจ้อย

ที่นี่มีพระพุทธรูปตั้งประดิษฐานอยู่

รูปปั้นของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์นั้นเหมือนจริงมาก เหมือนจนราวกับว่าพวกเขามีชีวิต แต่ละคนเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มที่ดูเมตตา ขณะที่ในวิสัยทัศน์ราวกับสามารถมองเห็นถึงทุกสรรพชีวิตทั้งมวล

อย่างไรก็ตาม ตลอดทั่วทั้งวัดกลับเต็มไปด้วยฝุ่นหนาเตอะ เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ที่นี่เป็นระยะเวลานานมากแล้ว

เหล่าผู้ฝึกยุทธยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าประตูวิหาร กวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจ

นอกเสียจากแท่นบูชาพระพุทธรูป ภายในช่างวิเวกวังเวง แทบจะไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่เลย

มีเฉพาะเพียงโต๊ะที่วางอยู่เบื้องหน้าพระพุทธรูป และบาตรพระที่ตั้งอยู่เท่านั้น

ทั่วทั้งตัวบาตรเป็นสีดำ พื้นผิวถูกปกคลุมด้วยร่องรอยขีดข่วน เห็นได้ชัดว่ามันเป็นสิ่งที่เก่าแก่และตกทอดมายาวนานมากแล้ว

พวกเขาอุตส่าห์เดินทางมาอย่างยาวไกลจนกระทั่งมาถึงที่นี่ แต่กลับพบเพียงแค่บาตรธรรมดาๆ เท่านั้น ส่งผลให้เหล่าผู้ฝึกยุทธค่อนข้างที่จะรู้สึกผิดหวัง

แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นว่าดิสก์ค่ายกลบินลอยไปหยุดอยู่เบื้องบนบาตรแน่นิ่งไม่ไหวติง ทั้งหมดก็อดไม่ได้ที่จะชะโงกคอไปยังเบื้องหน้าเล็กน้อย

“แล้วตอนนี้สิ่งที่พวกเราต้องทำต่อไปเล่า?” หนิงเยว่ฉานเอ่ยถามเสียงแผ่ว

“ข้าเดาว่าพวกเราสมควรต้องปฏิบัติตามมัน” กู่ฉิงซานกล่าว

เขาหันหน้าไปทางบาตรพระ โค้งคำนับเป็นพิธี ก่อนจะเดินเข้าไปในวิหารพุทธะ

พริบตานั้นพลันปรากฏประกายแสงสีทองสว่างวาบขึ้นในทันใด มันตกลงบนร่างของกู่ฉิงซาน และกวาดเขาหายเข้าไปในบาตรอย่างกะทันหัน

“นั่นวิชากลืนมิติ! แท้จริงแล้วมันคือสิ่งประดิษฐ์ประเภทมิติที่ทรงพลังเป็นอย่างยิ่งนี่เอง!” ผู้ฝึกยุทธที่ชำนาญการปรับแต่งกล่าวด้วยความตื่นเต้น

“แล้วกู่ฉิงซานถูกส่งไปที่ใด” หนิงเยว่ฉานเอ่ยถาม

“สมควรที่จะมีพื้นที่มิติเล็กๆ ภายในบาตรพระ ดังนั้นเขาก็น่าจะถูกส่งไปยังที่นั่น” ผู้ฝึกยุทธคนนั้นกล่าวตอบ

“จะเป็นอันตรายหรือไม่?”

“ไม่หรอก โดยทั่วไปแล้วพระพุทธเจ้ามักจะโปรดสัตว์ มิเข่นฆ่าผู้ใด ดังนั้นสิ่งประดิษฐ์ที่ว่านี้ โดยทั่วไปแล้วคาดว่าน่าจะใช้ในการถ่ายทอดข้อมูลเสียมากกว่า”

“แต่ที่นี่เป็นโลกเทวะ เทคนิคการปรับแต่งของพวกเขาอาจจะเหนือล้ำยิ่งกว่าพวกเราก็เป็นได้…”

หนิงเยว่ฉานเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบเป็นเวลานาน มิอาจเอ่ยต่อได้แม้เพียงครึ่งคำ เธอจึงโค้งคำนับพอเป็นพิธี และก้าวเข้าไปในวิหารพุทธะ

บาตรสาดรัศมีแสงสีทองออกมาอีกครั้ง เปล่งประกายไปทั่วทั้งโถงวิหารและกวาดรับเอาร่างของเธอเข้าไป

และเหลิงเทียนสิงก็ทำตามและถูกดูดเข้าไปติดๆ

.....................................................