ตอนที่ 255 กระแสมิติและเวลาที่ไหลเชี่ยว
ตอนนี้คือช่วงเวลาสำคัญ และกู่ฉิงซานก็เตรียมพร้อม เฝ้ารอให้มารสวรรค์เข้ามาใกล้ จากนั้นจึงค่อยลงมือสะบั้นหัวมันเสีย
แต่ไม่คาดคิดเลยว่า ดาบพิภพจะมีความคิดริเริ่มฆ่าสังหารมารสวรรค์ด้วยตนเอง
ในหัวใจของกู่ฉิงซานพลันบังเกิดประกายวาบ
ใช่แล้ว จริงด้วยสิ มันคืออาวุธเทวะ ดาบพิภพเดิมทีแล้วครอบครองจิตวิญญาณอันลึกลับด้วยเช่นกันนี่นา!
ซึ่งนี่มันจะแตกต่างไปจากดาบแตกหักที่ถูกตบไปปักอยู่บนผนังเมื่อครู่ ตัวดาบพิภพลอยอยู่เคียงข้างเขา บินโฉบไปมาเฝ้าปกปักษ์เขาอย่างแน่นหนา
ดาบพิภพเปล่งเสียงนุ่มลึก “จงรวบรวมจิตวิญญาณ แล้วกระทำการทะลวงฝ่าอย่างเต็มกำลัง”
กู่ฉิงซานรีบข่มความประหลาดใจลง หลับตา แล้วเข้าสู่สภาวะยกระดับอีกครั้ง
ใช่แล้ว นี่คือช่วงเวลาที่สำคัญมาก
ทั้งหมดเอาไว้หลังจากยกระดับแล้ว ค่อยมาว่ากันอีกครั้ง
กู่ฉิงซานใช้ออกด้วยเทคนิคลับรังสรรค์แก่นแท้แห่งปราชญ์ร้อยบุปผาอย่างเงียบๆ เพื่อเริ่มที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตแก่นทองคำ
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและราบรื่นอย่างไม่น่าสมเหตุสมผล
ตั้งแต่ที่ได้ต่อสู้กับพระสันตะปาปา กู่ฉิงซานก็รู้สึกว่าเขาได้มาถึงสภาวะจุดสูงสุดของขอบเขตก่อตั้งโดยสมบูรณ์แล้ว
ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นจึงไม่อาจทำการทะลวงด่านได้
สถานการณ์ตอนในนี้เข้าสู่ช่วงสำคัญแล้ว แถมร่างกายของเขาก็หายดีสมบูรณ์ มันจึงเหมาะสมสำหรับช่วงเวลาที่จะเสาะแสวงหาความแข็งแกร่งให้มากที่สุดโดยเร็ว!
พลังวิญญาณของกู่ฉิงซานอิ่มตัวแล้ว ส่วนห้วงสติอารมณ์ สภาวะจิตใจ ก็ได้มาถึงจุดที่ดีที่สุด
ภายในอุโมงค์ที่สาดแสงสีแดงอ่อนๆ จู่ๆ แสงของมันก็ถูกกลบด้วยแสงสว่างสีฟ้าที่หลอมรวมตัวกัน และแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่ทรงพลานุภาพ
แสงสีฟ้าค่อยๆ ก่อร่างเป็นพลังงานสีขาวของเล่ยเดี๋ยน แปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นงูสายฟ้าหลายตัวโฉบฉวัดเฉวียนไปรอบกายของกู่ฉิงซาน
เมื่อเวลายิ่งผ่านพ้นไป มากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ เล่ยเดี๋ยนก็ยิ่งรวบรวมงูสายฟ้าทวีจำนวนมากยิ่งขึ้น จนพวกมันแหวกว่ายไปทั่วทั้งอุโมงค์รอบๆ บริเวณที่กู่ฉิงซานนั่งอยู่
กู่ฉิงซานลืมตาขึ้นในทันใด ในมือบีบออกด้วยผนึกมนตรา ปากตะโกนเสียงต่ำ “จงหลอมรวม!”
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง งูสายฟ้าทั้งหมดพลันหลอมรวม แปรเปลี่ยนร่างเป็นมังกรสายฟ้า
มังกรสายฟ้าแหวกว่ายไปมาในอากาศเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งตัวลง วูบเข้าปะทะกับกู่ฉิงซานจากเบื้องบน
นี่คือร่างของจิตวิญญาณที่เป็นตัวแทนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตขั้นก่อตั้ง บ่งบอกได้กลายๆ ว่าผู้ที่สามารถมาถึงจุดนี้ ก็เพียงพอที่จะเรียกได้ว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ขอบเขตแก่นทองคำคือผู้ฝึกยุทธที่ได้รับการปลดปล่อยจากสภาวะของความสับสน ค่อยๆ บังเกิดความตื่นรู้และแปรเปลี่ยนออกมาในรูปแบบของจิตวิญญาณซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล
จิตวิญญาณนี้ถูกเรียกว่าแสงสวรรค์
แสงสวรรค์นั้นทรงพลังยิ่งกว่าพลังวิญญาณมากนัก มันสามารถใช้โจมตีได้เมื่อถูกปลดปล่อยออกมา ขณะเดียวกันก็สามารถใช้เพื่อป้องกันตนเองได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังสามารถนำไปปรับแต่งในการหลอมกลั่นอาวุธ ปรุงยา ทำนายดวงชะตา สร้างค่ายกล ฯลฯ ในอีกหลายๆ ด้าน
การสร้างแสงสวรรค์เป็นสิ่งที่ไม่ยากเย็นจนเกินไป หากท่านสามารถบรรลุมาจนถึงขั้นตอนนี้ได้ นั่นหมายความว่าการทะลวงด่านได้ผ่านพ้นไปกว่าครึ่งทางแล้ว
ส่วนอีกครึ่ง ที่จะต้องทำก็คือการแปรสภาพแสงสวรรค์อันทรงพลังนี้รวบรวมเข้าไปในตันเถียน
การรวบรวมแสงสวรรค์เข้าไปในตันเถียนได้อย่างสมบูรณ์ จะเป็นการทำลายข้อผูกมัด และทะยานขึ้นสู่ผู้ฝึกยุทธระดับแก่นทองคำอย่างแท้จริง
นี่เป็นกระบวนการที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง และมันสามารถทำร้ายตันเถียนได้อย่างง่ายดาย
ผู้ฝึกยุทธมากหน้าหลายตา ได้ตกตายลงในช่วงเวลานี้
ส่วนพวกที่ไม่ตกตาย แต่ตันเถียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และจำต้องใช้เวลากว่าหลายปีในการฟื้นฟู จากนั้นจึงเริ่มค่อยมาเริ่มทำการทะลวงฝ่าอีกครั้ง
กู่ฉิงซานชักนำแสงสวรรค์อย่างระมัดระวัง
แม้ว่าเขาจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงกระบวนการรังสรรค์แก่นแท้แห่งปราชญ์ร้อยบุปผาได้อย่างสมบูรณ์แล้วก็ตามที แต่อย่างไรเสียมันก็จำเป็นที่จะต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง
ในเวลานี้เอง ท่ามกลางอากาศที่ว่างเปล่า หัวของอสูรกายที่แลดูน่าเกลียดหก็พลันผุดออกมา
ชั้นอากาศโดยรอบที่เปล่งประกายแสงโดยกู่ฉิงซานพลันถูกย้อมจนกลับกลายเป็นสีดำโดยมัน
มันจดจ้องไปยังกู่ฉิงซาน น้ำลายเริ่มไหลหยดย้อย
“ช่างเป็นเนื้อหนังที่น่าดึงดูดเสียนี่กระไร … ”
เสียงพูดยังไม่ทันจะตกลง ดาบพิภพก็กะพริบไหวในฉับพลัน
บังเกิดเสียงกรีดร้องอันน่าสมเพช มารร้ายถูกจ้วงแทงด้วยคมดาบ
มันรีบหายตัวไปในความว่างเปล่าทันที
ดาบพิภพโฉบฉวัดเฉวียนมาตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซานอีกครั้ง และยังคงเฝ้าทำหน้าที่ปกปักต่อไป
ส่วนกู่ฉิงซาน เขายังคงอยู่ในกระบวนการกลั่นแสงสวรรค์
หลังจากนั้นไม่นาน
สภาพแวดล้อมโดยรอบก็บังเกิดเสียงกรอบแกรบ ฉีกกระชาก กรีดร้อง ร่ำไห้ ทุกสรรพชนิดของเสียงที่แตกต่างกันนับไม่ถ้วนดังออกมา
ดาบพิภพวูบไหว ใบดาบจิ้มลึกเข้าไปกว่าครึ่งในอากาศที่ว่างเปล่า ตามด้วยบังเกิดเสียงปราณหนักทึบระเบิดขึ้นในทันใด
เสียงคำรามของดาบพิภพดังกึกก้องไปทั่วทั้งอุโมงค์ ราวกับต้องการจะส่งผ่านไปยังผู้สังเกตการณ์ที่ลอบเร้นอยู่ทั้งหมด
“มารสวรรค์ตนใดที่คิดย่างกรายเข้ามาใกล้ มันทั้งหมดต้องตาย!”
ฮู้มมมม!
บังเกิดเสียงสายลมหวีดหวิว
คลื่นอากาศที่มองไม่เห็นแปรสภาพเป็นสายลมกรรโชก โหยหวนไปมาทั่วทั้งถ้ำ
เมื่อเวลาผ่านไป สายลมก็กระจัดกระจาย ทุกสิ่งอย่างพลันเงียบลง ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ ในความว่างเปล่าอีกต่อไป
ดาบพิภพฉวัดกลับคืน ตกลงเบื้องหน้ากู่ฉิงซาน
เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ
เบื้องหลังของกู่ฉิงซานขณะนี้ เริ่มปรากฏร่างเงาของมังกรขึ้นมา
มันคือร่างเงาเสมือนที่เปล่งประกายระยับของสายฟ้าเล่ยเดี๋ยน
นี่เป็นตัวบ่งบอกว่าการกลั่นได้ดำเนินมาจนถึงช่วงเวลาสุดท้าย
หากแต่กู่ฉิงซานกลับไม่ขวัญหนี ไม่หวาดกลัว เขาเริ่มเข้าสู่สภาวะหมกมุ่นจนลืมตัวไปแล้ว
เขาแนบจิตสัมผัสเทวะลงบนร่างเสมือนของมังกรที่กำลังขดตัวแลคล้ายดักแด้อย่างระมัดระวัง และเริ่มทำการกลั่นมันอย่างรวดเร็ว
ร่างเสมือนของมังกรค่อยๆ จางหายไปทีละน้อย ขณะที่แรงกดดันจากร่างกายของกู่ฉิงซานกลับเริ่มโถมทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เมื่อร่างเสมือนมังกรหายไปอย่างสมบูรณ์ พลังวิญญาณของกู่ฉิงซานก็พุ่งสูงขึ้นในฉับพลัน
ขณะเดียวกันนั้นเอง ช่องว่างในความว่างเปล่าก็พลันเปิดออก
กู่ฉิงซานรู้สึกว่าจิตของเขาได้ละทิ้งกายหยาบ และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความว่างเปล่าอันโกลาหลนี้
พลังอันลึกลับฉุดลากเขา ให้ลอยตรงไปยังทิศเดิมตลอดเวลา
บางสิ่งที่ดูแปลกตามากมายผ่านเข้ามาในวิสัยทัศน์ของเขาไปตลอดเส้นทาง
ไม่ว่าจะเป็นเต่ายักษ์ที่สูงยิ่งกว่าภูเขา มันกำลังลากเกาะน้อยใหญ่อยู่ท่ามกลางกระแสความว่างเปล่าของมิติและเวลา
หรือจะเป็นมารสวรรค์นับสิบที่งดงามและทรงเสน่ห์ กำลังควบคุมกลีบดอกไม้หลากสีสัน ปากอ้าขับขานเป็นท่วงทำนองอันแผ่วเบา บางตนเดินเหินไปยังทิศทางประตูเรืองแสงที่จ้าจนมิอาจมองเห็นภายใน
กระทั่งร่างเงาที่คล้ายคลึงกับวิญญาณ โผบินผ่านด้านข้างของเขา ทว่ายามที่พวกมันหันมาประจันหน้า จู่ๆ พวกมันก็กลับบังเกิดความหวาดกลัว และโฉบหนีหายเข้าไปในกระแสความว่างเปล่า
และสุดท้าย เสายักษ์สีดำที่แม้จะยังอยู่ไกลออกไป แต่ระยะห่างระหว่างเขาและมันกลับร่นเข้าหากันเรื่อยๆ
กู่ฉิงซานที่กำลังล่องลอย คุ้นเคยกับความรู้สึกเช่นนี้ดี
จิตใต้สำนึกของเขาตระหนักชัด ตนกำลังมุ่งหน้าไปยังโลกของเสายักษ์สีทองแดง
ท่ามกลางกระแสมิติและเวลาอันเชี่ยวกราก ไม่อาจคาดคำนวณได้ถึงห้วงเวลา กระทั่งตัวกู่ฉิงซานเองก็ยังไม่ทราบว่าเขาล่องลอยมานานแค่ไหนแล้ว ทว่าทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกว่าได้ถูกพลังอันแข็งแกร่งคว้าจับไว้
พลังนี้ฉีกกระแสอันปั่นป่วนเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว วิสัยทัศน์ของเขาพลันมืดบอด และผลักดันเขาชักนำเข้าสู่โลกเบื้องหน้า
เมื่อวิสัยทัศน์กลับคืนมาอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็พบว่าเสายักษ์ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสายักษ์สีทองแดง
เสาทองแดงตั้งเด่นทะลุลงไปในพื้นดิน สูงลิ่วขึ้นไปจนถึงชั้นฟ้ามิอาจมองเห็นหัวและหางของมันได้
บนเสาทองแดง ก็ยังคงเห็นถึงร่างที่สูงใหญ่ราวกับตึกสิบชั้นถูกตอกตรึงเอาไว้อยู่
ร่างนั้นยังคงถูกตรึงในสภาพห้อยหัว สวมใส่ชุดเกราะสีดำหมึก และไม่รู้ว่าอยู่เช่นนี้มานานกี่ปีแล้ว
พื้นดินเบื้องล่างของร่างที่ถูกตรึง เต็มไปด้วยโครงกระดูกสีดำ
พวกโครงกระดูกพยายามอย่างสุดฝีมือเพื่อไต่เต้าขึ้นไปบนเสาทองแดงขนาดยักษ์
เพียงแค่จ้องมอง ก็พอจะบอกได้ว่าสิ่งที่พวกมันต้องการนั้นคือร่างที่ถูกตรึงเอาไว้นั่นเอง
“ข้ามิได้เจอท่านมานานทีเดียว” กู่ฉิงซานกล่าว
“อันที่จริง มันมิได้นานนมสักเท่าใดสำหรับข้า เพราะที่นี่มันพึ่งจะผ่านพ้นไปเพียงแค่หนึ่งส่วนสี่ชั่วยามเท่านั้นเอง” ร่างในเกราะดำกล่าว
“คราก่อน คำถามสุดท้ายก่อนที่ห้วงเวลาจะบิดผัน ท่านยังมิได้ตอบคำตอบของข้าเลย” กู่ฉิงซานกล่าว
“โอ้ คำถามนั่นสินะ ครั้งก่อนเจ้าก็เห็นแล้วนี่ ยามที่ข้าคิดจะตอบเจ้า ทัณฑ์สายฟ้าของโลกใบนี้ก็ซัดเข้าใส่ข้าจนเกือบตาย”
ร่างใหญ่หันมองไปมารอบๆ และเอ่ยปากกล่าว “เจ้ายังจดจำข้อตกลงของพวกเราได้หรือไม่”
“ยามเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้นในวันหนึ่ง ข้าจะต้องช่วยเหลือท่านให้หลุดพ้นออกไปยังเบื้องนอก” กู่ฉิงซานกล่าว
“ดีมาก” น้ำเสียงของร่างใหญ่ค่อนข้างพอใจ “นี่เป็นสัญญาที่แต่ละฝ่ายทำข้อตกลงร่วมกัน ข้าจะสามารถตอบคำถามนั้นของเจ้าได้ แต่จำเป็นต้องขอเวลาอีกสักหน่อย”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะทันทีที่ข้าบอก ข้าก็จะเริ่มถูกทรมาน และอำนาจของข้าก็จะไม่อาจยื้อให้เจ้าอยู่ที่นี่อีกต่อไปได้”
ร่างใหญ่ชะงักลงชั่วคราว ก่อนเอ่ยปากด้วยความประหลาดใจ “บนตัวเจ้ามีกลิ่นอายของหลายโลก นี่แสดงว่าเจ้ากำลังอยู่ในช่วงสงครามใช่หรือไม่?”
“เป็นเช่นนั้น ตอนนี้พวกเรากำลังทำการบุกไปยังต่างโลก” กู่ฉิงซานกล่าว
“แน่นอน การสู้รบระหว่างต่างโลก มันเปรียบดั่งสงครามชั่วนิรันดร์ที่ไม่มีวันสิ้นสุด…” ร่างใหญ่ถอนหายใจด้วยอารมณ์อันหลากหลาย
ภายในจิตใจของกู่ฉิงซานมีเรื่องบางอย่างที่คิดกังวล เขาจึงไม่ทันได้สนใจเกี่ยวกับคำกล่าวเมื่อครู่ และเอ่ยถามออกไปอย่างรวดเร็วว่า “หากผู้ฝึกยุทธขอบเขตประทับเทพกำลังจะตกตายลง ลางสังหรณ์ของพวกเขาจะจะเป็นจริงหรือไม่?”
ร่างใหญ่กล่าว “ยิ่งเป็นตัวตนที่น่าเกรงขามมากเท่าใด ลางสังหรณ์ก็ยิ่งมีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น”
ร่างใหญ่ยังคงกล่าวต่อ “หากเป็นถ้อยคำของขอบเขตประทับเทพ บางทีนั่นอาจหมายถึงว่าตัวคนผู้นั้นสามารถก้าวผ่านสายน้ำแห่งโชคชะตา และมองผ่านไปยังอนาคตของตนเองแล้วก็เป็นได้”
“อีกความหมายนึงก็คือ มันจะบังเกิดขึ้นอย่างแน่นอน?” กู่ฉิงซานเริ่มใจเสีย แต่ก็ไม่ยอมแพ้ที่จะเอ่ยถาม
“ไม่ทั้งหมดหรอก แต่อย่างน้อยก็เก้าในสิบส่วนนั่นแล”
“เช่นนั้นมีวิธีที่จะหลบเลี่ยงมันได้หรือไม่”
ร่างใหญ่เงียบไปครู่หนึ่งและกล่าว “ดูข้าสิ ข้าทรงพลังยิ่งกว่าขอบเขตประทับเทพเป็นหมื่นเท่า แต่สุดท้ายก็มิอาจหลีกเลี่ยงลางสังหรณ์ได้”
กู่ฉิงซานจมลงสู่ความเงียบ
ร่างใหญ่กล่าว “ทว่า ก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีใดเลย”
กู่ฉิงซานรีบเอ่ยถามทันที “วิธีการที่ว่าคืออะไร?”
ร่างใหญ่หัวเราะหยันแก่ตนเองเล็กน้อย “ในกรณีของข้า มันคือลางสังหรณ์ที่บอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้า แล้วข้าก็มิอาจทำลายมันได้ เนื่องเพราะตัวข้าไม่มีผู้ใดคอยช่วยเหลือ”
“แม้ข้าจะแข็งแกร่งมาก แต่ไม่มีสหายหรือผู้คนคอยสนับสนุน จึงต้องมาจบลง ณ จุดนี้”
“มีผู้คนคอยช่วยเหลือ? เช่นนั้นมันก็เป็นเรื่องง่ายน่ะสิ” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยความสงสัย
ร่างใหญ่กล่าว “มันก็เปรียบดั่งธารที่เต็มไปด้วยกระแสน้ำอันเชี่ยวกราก หากเจ้าติดอยู่เบื้องล่าง ก็ยากที่จะหาหนทางกลับขึ้นมาได้ นอกเสียจากจะมีผู้คนคอยฉุดดึงเจ้าขึ้นมา”
“ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าต้องฉุดดึงคนผู้นั้นให้รอดพ้นจากช่วงเวลาที่เป็นลางสังหรณ์แห่งความตาย”
“แต่เจ้าต้องจดจำเอาไว้ให้ดีว่า ใครบางคนที่ทำหน้าที่ฉุดดึง คนผู้นั้นก็จำต้องจ่ายราคาออกไป”
“แล้วราคาที่ต้องจ่ายนั้นคืออะไร? ชีวิตแลกชีวิตกระนั้นหรือ?”
“ไม่ มันมิได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถคาดคำนวณถึงราคาของมันได้ แต่จะมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นหลังจากนั้น และมันจะเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักและมิอาจคาดเดาได้อีกด้วย”
ร่างใหญ่กล่าวเตือน “ข้าหวังว่าผู้ที่จะคิดผลักดันนั้นจะไม่ใช่เจ้า เพราะเจ้าในยามนี้เป็นเพียงตัวตนที่เล็กจ้อยอ่อนแอเกินไป มิอาจทานทนต่อเรื่องไม่คาดฝันได้”
“…ข้าเข้าใจแล้ว”
กู่ฉิงซานจดจำคำกล่าวของอีกฝ่ายไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
......................................................