ตอนที่ 231 แสงและเงา
อีกฝ่ายลุกออกจากหน้าเตาผิง และเดินไปนั่งลงบนโซฟา
แสงอันอบอุ่นส่องพาดผ่านเบื้องหลังเธอ ส่งผลให้ใบหน้าของเธอถูกซ่อนเอาไว้ในความมืดมิได้ดูน่าหวาดกลัวอีกต่อไป
เธอชี้นิ้วส่งสัญญาณให้ซูเซี่ยเอ๋อร์นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง
ซูเซี่ยเอ๋อร์นั่งลง และมองไปยังอีกฝ่าย
ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน จู่ๆ ในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อร์ตอนนี้กลับรู้สึกถึงความผ่อนคลายและอบอุ่นอย่างไร้เหตุผล
“เจ้าต้องการที่จะเห็นอนาคตของเจ้าหรือไม่” หญิงอาวุโสเอ่ยถามออกมา
“ไม่ต้องการ” ซูเซี่ยเอ๋อร์ส่ายหัวของเธอ
“ทำไมล่ะ? การที่สามารถแง้มมองโชคชะตาได้ มันก็เป็นเรื่องที่ดีมิใช่หรือ?”
“หนูมาที่นี่ก็เพื่อหลบหนีจากโชคชะตา เพราะฉะนั้นหนูไม่อยากจะรู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง”
หญิงอาวุโสหยุดกึกทันที แล้วเอ่ยถามออกมา “เจ้ารู้สึกไม่พอใจกับชีวิตอย่างนั้นหรือ?”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
“ก็เจ้าเป็นถึงคุณหนูชนชั้นสูง ครอบครองชีวิตอันหรูหรา เต้นรำในงานเลี้ยง ขี่ม้าในยามว่าง และจิบชาในยามบ่าย ไม่ว่าจะวันใดก็ล้วนได้สวมใส่ชุดและเครื่องประดับที่งดงาม”
“แต่หนูเป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าที่ฝึกปรือมาจนถึงขั้นสี่แล้ว เจ้าพวกสิ่งเหล่านี้มันเปรียบดั่งเงาสะท้อนในภาพนิ่ง ไม่ใช่ความจริง เป็นแค่สิ่งน่ารำคาญ” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว
“อยากจะใช้ชีวิตแบบพวกมืออาชีพมากกว่าอย่างนั้นสินะ…ดังนั้นความตั้งใจของเจ้าที่มายังที่นี่ก็เพราะหมายที่จะได้รับความแข็งแกร่งใช่หรือไม่?”
“ใช่ หนูต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองให้กลายเป็นคนแข็งแกร่ง” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว
หญิงอาวุโสอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน
“สมแล้วที่เป็นผู้สืบทอดที่แท้จริง! กี่ร้อยปีแล้วนะ ที่ข้าไม่ได้พบเจอกับตัวตนแบบนี้!”
ท่าทีของเธอที่แสดงออกมาดูมีความสุขมาก
“ผู้สืบทอดแต่ละคนมักจะลังเลว่าสมควรจะร้องขอให้ข้าช่วยเหลือสิ่งใดดีระหว่าง ‘อิทธิพล’และ ‘ความแข็งแกร่ง’”
“คนฉลาดมักจะเลือก ‘อิทธิพล’ เพราะหลังจากที่มีอิทธิพลแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาแค่เอ่ยปากเพียงคำเดียว ย่อมเป็นธรรมดาที่ผู้คนทั้งหมดจะก้มหัวทำตาม น้อมรับว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”
“มีไม่กี่คนนักหรอกที่จะเลือกสืบทอด ‘ความแข็งแกร่ง’ ”
“เส้นทางสายนี้ มันยากและอันตรายมากเกินไป มีโอกาสที่จะตกตายได้ตลอดเวลา และถ้าหากตายไปเจ้าก็จะไม่ได้รับอะไรเลย แม้กระทั่งข้าก็ยังไม่สามารถปกป้องเจ้าได้”
“ทางเลือกของเจ้าเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เช่นนั้นหลังจากนี้ไป เจ้าจะสามารถเอ่ยถามข้าเกี่ยวกับเรื่องความแข็งแกร่งได้”
“เจ้าคงไม่เคยต้องมาพูดจาหรือทำอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ข้าขอเตือนว่าเจ้าจงเก็บรักษาสิทธิ์นี้ไว้ให้ดี” เธอเอ่ยเสริม
ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว “หนูได้เห็นถึงแผงควบคุมของยานอวกาศแล้ว นี่หมายความว่าพวกเรา เก้าตระกูลใหญ่มาจากดาวดวงอื่นใช่ไหมคะ?”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วทำไมถึงต้องหนีมาที่นี่?”
“เพราะในห้วงจักรวาล มันเต็มไปด้วยมอนสเตอร์เอกภพแออัดอยู่มากมาย แต่ที่แห่งนี้เป็นดวงดาวที่ห่างไกล ห่างไกลจนเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสรวงสวรรค์เลยทีเดียว”
“สรวงสวรรค์? พวกเราหลบหนีมันจนมาถึงที่นี่?”
“ช่างเป็นเด็กที่หลักแหลมนัก”
ซูเซี่ยเอ๋อร์เอ่ยถามต่อ “แต่ในโลกใบนี้ จู่ๆ ก็เกิดภัยพิบัติขึ้นมามากมาย เช่นนั้นมีสิ่งใดบ้างที่พวกเราสมควรจะทำในอนาคตต่อจากนี้”
“ภัยพิบัติกระนั้นหรือ? นี่เจ้ากำลังหมายถึงอะไร”
“ก็พวกอสูรแห่งท้องทะเล ผีดิบนักฆ่า เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ แล้วก็เพชฌฆาตตัวตลก”
“เรียกเจ้าสิ่งพวกนั้นว่าเป็นภัยพิบัติ? นี่เป็นการยกยอพวกมันเกินไปหน่อยไหม? พวกมันแท้จริงแล้วเปรียบดั่งเสียงฟ้าร้องและฝนพรำเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”
หญิงอาวุโสส่ายหัว ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ “จงถนอมและหวงแหนชีวิตในปัจจุบันเอาไว้ให้ดีเถิด โลกใบนี้ของพวกเราจะสงบสุขอยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น”
“คุณกำลังจะบอกว่ามันจะเกิดภัยพิบัติที่เลวร้ายยิ่งกว่าในตอนนี้อีกอย่างนั้นเหรอ?”
“เด็กน้อย นั่นไม่ใช่คำถามที่เกี่ยวข้องกับตัวเลือก ‘ความแข็งแกร่ง’ ดังนั้นเจ้าไม่สมควรที่จะเอ่ยถาม” อาวุโสขัดจังหวะคำถามของเธอ
ซูเซี่ยเอ๋อร์เงียบ
หญิงอาวุโสมองเธอราวกับว่าสามารถมองเห็นลึกเข้าไปถึงก้นบึ้งในหัวใจของซูเซี่ยเอ๋อร์ได้
“ข้ารู้สึกได้ถึงความกังวลใจของเจ้า แต่ข้าอยากจะบอกว่าจงรักษาโอกาสนี้เอาไว้ให้ดี จ้าวมณฑลทุกคนจะมีโอกาสเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของพวกเขาได้แค่ในวันที่แต่ละคนได้รับสืบทอด…ในวันนี้วันเดียวเท่านั้น”
“หลังจากผ่านพ้นวันนี้ไป ต่อให้เจ้ารู้สึกเสียดายแค่ไหน เจ้าก็ไม่อาจได้รับความช่วยเหลือจากข้าได้อีกตลอดกาล”
ซูเซี่ยเอ๋อร์กัดฟันและกล่าว “ถ้าหนูเอ่ยถามผิดประเด็น โปรดอย่าถือสา”
“ไม่เป็นไร ลองว่ามาสิ”
“หนู…จะต้องทำยังไงถึงจะสามารถได้รับความแข็งแกร่งของผู้ใช้ธาตุทั้งห้าในขั้นห้าได้?”
“ทำไมเจ้าถึงต้องการความแข็งแกร่งในขั้นที่ห้า?”
“เพื่อที่จะควบคุมโชคชะตาของตนเอง”
“ทุกคนที่มาที่นี่ คนแล้วคนเล่าเอาแต่เอ่ยถามว่าจะควบคุมโลกได้อย่างไร แต่กลับมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ต้องการจะควบคุมตัวเอง”
“คุณสามารถให้คำตอบแก่หนูได้ไหม”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ ไหนมานี่สิ ขอให้ข้าได้มองเจ้าใกล้ๆ”
ซูเซี่ยเอ๋อร์ลุกขึ้น เดินไปหยุดตรงเบื้องหน้าอีกฝ่าย
หญิงอาวุโสเหยียดนิ้วที่เหลือเพียงหนังแห้งๆ ที่คอยห่อหุ้มชั้นบางๆ ออกมาจับกับมือของซูเซี่ยเอ๋อร์อย่างอ่อนโยน
“ห้าธาตุจำเพาะ ธาตุลมขั้นสี่…ตัวเจ้ามาถึงขีดจำกัดแล้ว ไม่อาจจะทะลวงฝ่าไปยังด่านต่อไปได้” หญิงอาวุโสกล่าวเสียงกระซิบ
“ไม่นะ”
ใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อร์ซีดเซียว เธอเริ่มส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง
ความปรารถนาที่เฝ้าหวังให้เป็นจริงมากที่สุด ได้แตกสลายลงแล้ว
ในความเป็นจริง ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็พอจะสัมผัสได้อย่างคลุมเครือเกี่ยวกับพรสวรรค์ของเธออยู่ก่อนแล้ว
เพราะในโลกทั้งใบ น้อยคนนักที่จะสามารถบรรลุ ธาตุทั้งห้าในขั้นที่ห้าได้
หญิงอาวุโสปลอบประโลม “โชคชะตามิได้เป็นนิรันดร์ พวกเรามักจะมีวิธีที่จะเปลี่ยนทิศทางของมันเสมอ”
“เช่นนั้นโปรดบอกมันแก่หนู”
“ข้าต้องการที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมสำหรับคุณสมบัติในตอนนี้ของเจ้า จงคุกเข่าลง และเชิดศีรษะขึ้น”
ซูเซี่ยเอ๋อร์คุกเข่าลงตามคำขอ เพื่อให้อีกฝ่ายมองตัวเธอได้ชัดขึ้น
หญิงอาวุโสหันหลังไป ยื่นมือไปคว้าแท่งเหล็กเขี่ยๆ ถ่านในเตาผิง
ไฟอันสดใสและอบอุ่นสว่างวาบอยู่ยิ่งกว่าเดิม
หญิงอาวุโสยังคงนั่งนิ่งโดยมีแสงจากเตาผิงสะท้อนให้เห็นถึงเงาของเธอที่ทอดยาวออกไป ก่อนจะยื่นมือสีขาวที่แทบจะไม่แตกต่างไปจากกระดูกมาประคองใบหน้าของซูเซี่ยเอ๋อร์และจ้องมอง อย่างใกล้ชิด
ซูเซี่ยเอ๋อร์หันหน้าเข้าหาเปลวไฟในเตาผิง ในสายตาเต็มไปด้วยประกายแห่งความปรารถนา
เนิ่นนานผ่านไป กว่าที่หญิงอาวุโสจะเอ่ยปากพูด
“พลังหวนคืนไร้ลักษณ์ดูเหมือนจะไม่ชื่นชอบเจ้า”
“ส่วนเทียนซวน…มันถูกตัดขาดจากร่างกายของเจ้าและไม่สามารถเข้าไปถึงจิตวิญญาณของเจ้าได้”
“ธาตุทั้งห้า จิตแห่งลม ขีดจำกัดพลังของมันกำลังจะเต็มในไม่ช้าและคงไม่อาจที่จะรองรับพลังที่เพิ่มขึ้นได้มากไปกว่านี้”
“ช่างเป็นโชคชะตาที่รุนแรงและแข็งกร้าวอะไรเช่นนี้...”
“เด็กสาวตัวน้อย เจ้าไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเจ้าด้วยวิธีการอย่างเช่นเลือกที่จะได้รับ ‘อิทธิพล’ เลยหรือ?”
หญิงอาวุโสถอนหายใจและเอ่ยต่อ “ที่ข้าพูดแบบนี้ เพราะเจ้าเป็นผู้สืบทอดในแบบที่นานๆ ครั้งจะปรากฏตัวออกมา ข้าเลยต้องการที่จะช่วยเจ้าจริงๆ”
“ข้าสามารถบอกเจ้าได้ถึงการวิธีการ ‘กำจัดจักรพรรดิแห่งฟูซี’ บอก ‘ความลับเล็กๆ น้อยๆ ของประธานาธิบดี’ หรือแม้แต่ ‘สั่งคนของทางคริสตจักร’ ให้ออกหน้ากระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อเจ้า หรือกระทั่งข้ายังสามารถช่วยเจ้า ‘ต่อสู้กับจ้าวมณฑลคนอื่นๆ’ เพื่อขยายอิทธิพลของตระกูลซูให้เป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเลยก็ยังได้”
“หรือหากเจ้ากำลังมองหาหุ้นส่วนที่น่าพอใจ ข้าก็ยังสามารถปรับสิทธิอิทธิพลของเจ้าให้สามารถ ‘สั่งการเทพธิดากงเจิ้ง’ ให้รับฟังทุกคำสั่งของเจ้าก็ยังได้”
“สั่งการเทพธิดากงเจิ้ง…”
“ใช่ เธอจะกลายเป็นทาสรับใช้ของเจ้า”
ซูเซี่ยเอ๋อร์นิ่งคิดสักพักก่อนจะส่ายหัว “คงต้องขอปฏิเสธ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งภายนอก และมันไม่อาจช่วยให้บรรลุความปรารถนาภายในของหนูได้”
“ทั้งหมดที่หนูต้องการ มีเพียงแค่ความแข็งแกร่งที่จะใช้ในการควบคุมตัวเองก็เท่านั้น”
หญิงอาวุโสกล่าว “สิ่งที่เจ้าต้องการมันเป็นเรื่องยากลำบากมาก ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้มันมาก็มหาศาลเช่นกัน มันอาจถึงขั้นต้องจ่ายด้วยชีวิตเลยก็ได้”
“หนูยินดีที่จะจ่ายมันไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าว
หญิงอาวุโสจ้องมองเธออย่างลึกซึ้งและโบกมือออกไป
และโต๊ะไม้เตี้ยๆ ก็ปรากฏถัดออกไปจากคนทั้งสอง
“ตามกฎของพิธีกรรมสืบทอด” หญิงอาวุโสกล่าว “ผู้สืบทอดทุกคนมีสิทธิที่จะขอให้ข้า ใช้เทคนิคเทียนซวนประเภทโชคชะตาให้ได้ครั้งหนึ่ง แต่ปกติแล้วความปรารถนาที่พวกเขามี มันมักจะตื้นเขินเกินไป จนทำให้ข้าสามารถมอบมรดกสืบทอดให้แก่พวกเขาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ”
“และเจ้า...สาวน้อย เจ้ามีสติและเป็นผู้ตื่นรู้ที่ไม่เลวเลย เจ้าสามารถตระหนักได้ว่าสิ่งใดสำคัญที่สุดสำหรับตัวเจ้าเอง”
“แล้วคุณจะช่วยหนูได้ยังไง?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม
“ข้าขอย้ำอีกครั้ง เส้นทางสายนี้ที่เจ้าเลือก มันมีความเป็นไปได้สูงจริงๆ ที่เจ้าจะตกตาย” หญิงอาวุโสกล่าว
“หากตกตายลงบนเส้นทางแห่งความปรารถนา ตัวหนูก็ยินดีน้อมรับมัน”
“คำที่เจ้าเอ่ยปากออกมานี้ มันคือความกล้าหาญหรือความประมาทกันแน่...แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ข้าก็นับถือในความยึดมั่นของเจ้าอย่างแท้จริง” หญิงอาวุโสเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ เริ่มเอ่ยต่อ “หากเจ้าจริงจังถึงเพียงนี้ ดูท่าว่าข้าคงไม่อาจน้อยหน้าเจ้าแล้ว”
“จงเอาสิ่งของที่เจ้านำติดตัวออกมา”
ในเวลาเดียวกันกับที่หญิงอาวุโสเอ่ย ไพ่สีดำก็ปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ มันลอยเด่นอยู่ในอากาศที่ว่างเปล่าเหนือศีรษะของเธอ
“จะให้หนูเอาออกมากี่ชิ้น?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม
“ทั้งหมดเลย” อีกฝ่ายตอบ
“…ถ้าเอาออกมาสิ่งเหล่านั้นมันจะไม่ถูกทำลายลงใช่ไหม” ซูเซี่ยเอ๋อร์เผยท่าทีลังเล
“ย่อมแน่นอนว่าไม่”
ในตอนที่ออกมาจากตระกูล ซูเซี่ยเอ๋อร์รีบร้อนจนแทบจะไม่มีเวลาพกอะไรมากมายนำติดตัวมาด้วย
แต่ก็ยังพอจะมีบางอย่างที่มักจะพกติดตัวมาเสมออยู่บ้าง เธอค่อยๆ วางพวกมันลงบนโต๊ะทีละชิ้นๆ
.......................................................