ตอนที่ 222 สมรู้ร่วมคิด
พระสันตะปาปาโยนไพ่ออกไป
ไพ่ใบนั้นระเบิดกลุ่มก้อนแสงเจิดจรัส และหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
แทนที่ด้วยร่างหนึ่งที่ปรากฏขึ้นตรงข้ามกับกู่ฉิงซาน
มันคือร่างของสาวกศักดิ์สิทธิ์คนโตที่พึ่งถูกหลอกไปในริมทะเลสาบ...ฮัทท์
กู่ฉิงซานเฝ้ามองฉากนี้ด้วยความประหลาดใจ
คนออกมาจากไพ่อย่างนั้นเหรอ?
นี่มันเป็นการแหวกมิติ หรือว่าจะเป็นการอัญเชิญเสมือนกันแน่นะ?
ในโลกใบนี้ แทบทุกคนไม่มีใครเคยทราบถึงพลังของพระสันตะปาปามาก่อนเลย ทว่าตอนนี้ ในที่สุดเบาะแสของมันก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากู่ฉิงซานแล้ว
เขายืนนิ่งอยู่เงียบๆ มือโยนหนึ่งเม็ดยาฟื้นฟูเข้าไปในปาก
ตามด้วยอีกหนึ่งเม็ดยาวิญญาณ
ขณะเดียวกันนั้นเองสาวกศักดิ์สิทธิ์ที่พึ่งปรากฏกายขึ้นก็เอ่ยปากออกมา
“ข้ากำลังคิดว่าจะทรมานไอ้คนที่กล้าเล่นตลกกับข้าอยู่พอดี…เตรียมตัวเตรียมใจที่จะถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วใช่ไหม?”
ฮัทท์ถลึงตามองกู่ฉิงซานอย่างใกล้ชิดชนิดหัวชนฝา เปล่งเสียงเล็ดลอดไรฟันที่ขบแน่น
ลวดลายที่งดงามและน่าเกรงขามแผ่ซ่านอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
มันคือเทคนิคเทียนซวนอันลึกลับแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ราชาในหมู่มวลเทียนซวนด้วยกัน ‘สวรรค์พิพากษา!’
ลวดลายศักดิ์สิทธิ์เบื้องล่างของฮัทท์พึ่งถูกกระตุ้นใช้งานขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทว่าในตอนนั้นเองบังเกิดสายลมกรรโชกวูบขึ้นในห้องอย่างกะทันหัน
และต้นตอสายลมก็คือดาบยาวเล่มหนึ่ง ที่ตัดอากาศสับลงมาโดยเล็งเป้าไปยังใต้ฝ่าเท้าของฮัทท์
รวดเร็วเกินไปแล้ว!
ไอ้เจ้าบ้านี่ ฉลาดแกมโกงไม่น้อยเลย มาถึงมันก็เป็นคนเริ่มเปิดฉากเอง พุ่งเข้าจู่โจมอย่างไม่คาดฝัน ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวและยากที่จะต่อต้าน
สีหน้าของฮัทท์แปรเปลี่ยนไป หนึ่งเท้าย่ำลงบนพื้น ทะยานตัวถอยกลับไปยังเบื้องหลังอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ทะยานหนี ดาบยาวก็ดูราวกับมีสตินึกคิด มันเบนทิศตามติดเขาไปทันที จ้วงแทงมายังเขาด้วยความเร็วที่พุ่งสูงขึ้นอย่างกะทันหัน
วี้ด!
เสียงชั้นอากาศถูกฉีกกระชาก ขนาดของดาบยาวยิ่งขยายใหญ่ขึ้นตามระยะที่มันค่อยๆ ร่นเข้ามาใกล้ในวิสัยทัศน์ของฮัทท์
แบบนี้ชักจะไม่ดีแล้ว!
ฮัทท์ที่รู้ตัวเองว่าเคลื่อนไหวช้า จำต้องยกมือขึ้นเพื่อป้องกันศีรษะ และดึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะใช้ออกในส่วนของการโจมตีมาห่อหุ้มตัวเองเพื่อทำการป้องกันแทน
ปลายดาบเสียบจ้วงเข้ามา
อย่างไรก็ตามแม้ว่าคมดาบนี้จะว่องไว ทว่าพลังอำนาจของมันมิได้มากมายนัก ตัวฮัทท์ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ทั้งคนทั้งร่างกลับเสียสมดุล ทั้งขาทั้งแขนชี้ไปคนละทิศทาง ถูกส่งปลิวม้วนขึ้นไปในอากาศ
พระสันตะปาปาจ้องมองเหตุการณ์ตรงหน้าที่พึ่งเกิดขึ้น ในหัวใจของเธอบังเกิดความประหลาดใจขึ้นเล็กน้อย
“อะไรกัน? วิชาดาบที่ใช้ลอบสังหารข้าเมื่อครู่ มันมิได้ด้อยอำนาจถึงเพียงนี้นี่นา”
“เขาคิดจะแสดงความเมตตาอย่างนั้นหรือ…กระทั่งเวลานี้ก็ยังกล้าที่จะแสดงความเมตตา?”
เธอบ่นงึมงำ
กู่ฉิงซานไม่มีเวลามามัวสนใจว่าเธอจะคิดยังไง เขาทุ่มจิตสัมผัสเทวะตกลงบนตัวดาบพิภพ คอยเฝ้าสังเกตมันอย่างลับๆ
ดาบแรกที่เขาฟาดฟันออกมา เป็นการขัดขวางไม่ให้ฮัทท์ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ บีบบังคับให้รัศมีแสงของมันสลายไป ทว่าทันทีที่แสงของอีกฝ่ายจางหาย ตัวดาบพิภพกลับบังเกิดแสงจรัสอันน่าอัศจรรย์ใจขึ้นมาแทน
แสงจรัสที่ว่านี้คือการผสานระหว่างพลังวิญญาณและวิชาลับของกู่ฉิงซาน เฉกเช่นเดียวกันกับการผสานกันระหว่างพลังศักดิ์สิทธิ์และความแข็งแกร่งของฮัทท์
แสงเหล่านั้นเวียนว่ายอยู่รอบใบดาบพิภพอย่างเสรี จนกระทั่งมันเริ่มไหลตกลงมาใกล้กับด้ามดาบ ก็หยุดนิ่งลง
เมื่อเห็นมัน กู่ฉิงซานก็สูดลมหายใจเล็กน้อย สีหน้าท่าทีของเขากลับกลายเป็นจริงจัง
ดาราดวงแรกเริ่มก่อตัวขึ้นแล้ว
ยังคงเหลืออีกหกดวงดารา
เพลงดาบเมื่อครู่นี้ คือกระบวนท่าแรกของเจ็ดดารามังกรแหวกธารา ‘สุญญากาศ!’
หากต้องการที่จะปลดปล่อยพลังอำนาจที่รุนแรงที่สุดของเทคนิคลับนี้ คุณจำเป็นต้องมีสมาธิมุ่งเน้นโจมตีศัตรูให้ได้เจ็ดครั้งอย่างต่อเนื่อง
ทว่านั่นแหละ คือสิ่งที่ยากมากที่สุด
เจ็ดดารามังกรแหวกธาราขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่เพลงดาบที่ทรงพลังที่สุดภายใต้ดาบนิรันดร์ และยังเป็นวิชาลับที่รุนแรงที่สุดที่กู่ฉิงซานครอบครองในตอนนี้อีกด้วย
กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือกอื่น จำต้องหันมาพึ่งวิชาลับนี้ เพราะมันคือพลังเพียงหนึ่งเดียวในปัจจุบันที่จะสามารถช่วยชีวิตเขาได้
กู่ฉิงซานเฝ้ามองสาวกศักดิ์สิทธิ์ที่ยังลอยคว้างอยู่ในอากาศ ประกายแห่งความดุดันวาบผ่านเข้ามาในแววตาของเขา
ต้องโจมตีต่อเนื่องมิให้ขาดห้วง!
เขากระโจนขึ้นไป วาดดาบพิภพตามติด
กระบวนท่าที่สอง ทะลวงชีพ! (ขอเปลี่ยนจากหนามชีวิตเป็นทะลวงชีพ)
ปรากฏเส้นแสงสว่างเสมือนเข็มแหลมที่บางเบาราวกับชั้นผ้าไหมขึ้นบนดาบพิภพ
ฮัทท์สยายสองมือออก จุดกลุ่มก้อนเปลวเพลิงสีขาวนวลให้ลุกโชนขึ้น
เขาตะคอกคำหนึ่ง เหวี่ยงมือทั้งสองออกไปเผชิญหน้า
แต่ด้วยความว่องไวของคมดาบของกู่ฉิงซานที่รวดเร็วจนเกินไป และมันเป็นเพียงรังสีดาบเล็กแหลมที่บางเบาราวกับเส้นผมประจวบกับทั้งสองอยู่ใกล้กันในระยะประชิด จึงมิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปัดป้องได้ทัน
ได้ยินแค่เสียง ‘ฟิ้ว’
เส้นใยรังสีดาบที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณธรรมชาติ หลบเลี่ยงสองมือของฮัทท์ และเจาะผ่านร่างกายของเขา จนบังเกิดรูเล็กๆ ราวกับรากไม้ที่ชอนไชขึ้น
กระบวนท่าที่สองก็ยังตีโดน!
ปรากฏรัศมีแสงเจิดจรัสขึ้นอีกครั้งบนดาบพิภพ
แสงจรัสนี้ เป็นการผสานกันระหว่างเลือดและเนื้อในกายเขา มันถ่ายเทลงไปยังใบดาบพิภพอย่างเงียบๆ จนในที่สุดก็แสงจรัสก็หยุดนิ่งลงบริเวณด้ามดาบเบื้องหน้าอย่างสงบ
ฮัทท์ก้มลงมองบาดแผลของตน
บาดแผลเล็กๆ พวกนี้ ไม่นับว่าเป็นอันใด มันไม่ได้สร้างอาการบาดเจ็บให้แก่เขาเลย
เขาปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ออกมาครอบคลุมทั่วร่างกาย และพบว่าทุกสัดส่วนมิได้มีความผิดปกติใดๆ
เพียงพลังศักดิ์สิทธิ์กวาดผ่าน บาดแผลเล็กๆ ตามร่างกายเมื่อครู่ก็สลายหายไปอย่างรวดเร็ว
“ครอบครองเพียงกระบวนท่ากระจอกๆ เหล่านี้ แต่ถึงขั้นกล้าที่จะมาก่อความวุ่นวายแก่คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ?” ฮัทท์เอ่ยปากกล่าวด้วยความผิดหวัง
เมื่อเห็นว่ากู่ฉิงซานกำลังร่วงตกลง เขาก็เริ่มเปิดใช้งานเทคนิคเทียนซวนอีกครั้ง
“จงพิพากษา!” เขาตะโกน
หลุมดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาในอากาศที่ว่างเปล่า กระจายไปทั่วห้อง
ฮัทท์เอื้อมมือเข้าไปในหลุม และคว้าคนสองคนที่ใกล้จะตกตายออกมา แผดเผาพวกเขาด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์จนหลงเหลือทิ้งไว้เพียงร่างโครงกระดูก
“ตัวข้าได้พิพากษาแล้วว่า...”
เสียงของเขาหาดห้วงไป
มองไปยังกู่ฉิงซานที่ยืนหยัดอยู่บนพื้นดินตรงข้ามกับฮัทท์จากระยะไกล ขณะเดียวกันปลายดาบยาวก็ชี้มายังทิศทางของฮัทท์
ในอากาศที่ว่างเปล่า ปรากฏรังสีดาบเล็กๆ นับหลายร้อยเล่ม กำลังพัดโชยไปมาอย่างแผ่วเบาจากที่ทุกทิศทาง
กระบวนท่าที่สาม ลมวน!
ชุดคลุมของฮัทท์ถูกตัดหั่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ภาพนี้แลดูราวกับว่าเขากำลังถูกลงทัณฑ์โดยการเปลื้องผ้าทีละชิ้นๆ สภาพเขาดูน่าเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
กู่ฉิงซานมองไปยังดาบยาว และเห็นว่ามีสามแสงจรัสที่แลคล้ายดวงดาราสามดวงปรากฏขึ้นแล้วบนดาบพิภพ มันเข้าไปร้อยเรียงเวียนว่ายที่ในที่เดียวกันกับสองแสงแรกก่อนหน้า
อย่างไรก็ตาม เพลงดาบนี้มิได้มีพลังมากมายอะไร ถึงแม้ว่าสภาพของผู้ที่ถูกมันโจมตีใส่อย่างฮัทท์จะดูย่ำแย่ แต่แท้จริงแล้วมันมิอาจเชือดเฉือนเข้าถึงเนื้อหนังร่างกายของฮัทท์ด้วยซ้ำ
แม้กระบวนท่าดาบเหล่านี้จะไม่ทรงพลังนัก แต่มันกลับช่างน่าแปลกใจตรงที่กู่ฉิงซานสามารถใช้พวกมันออกมาได้อย่างกะทันหัน ลงมือในช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วยความแยบยลอยู่เสมอ ส่งผลให้ฮัทท์ไม่ทันได้แม้กระทั่งต่อต้านหรือหลบเลี่ยง
สองคิ้วของพระสันตะปาปาขมวดเข้าหากัน ปากเอ่ยกล่าว”ข้ารู้สึกได้ว่ามันยังมีอีกสองกระบวนท่า”
เธอดึงไพ่ออกมาอย่างรวดเร็ว และวางมันตรงหน้าเธอ
มองไปยังคนที่อยู่ในไพ่เบื้องหน้า มันยังคงเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์คนโตฮัทท์ ที่กำลังคำรามด้วยความโกรธ
พระสันตะปาปาดึงไพ่ขึ้นมาอีกใบ และคราวนี้ บนไพ่กลับปรากฏรูปของโล่ขนาดใหญ่
เธอวางไพ่ใบที่สองลงเหนือไพ่ของสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์
“ขออำนวยพรให้เจ้า จงปกป้องคุ้มครองสาวกศักดิ์สิทธิ์แห่งข้า” เธอกล่าว
ไพ่ทั้งสองกะพริบไหวและหลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว หลงเหลือไพ่เพียงแค่หนึ่งใบ
บนหน้าไพ่ ภาพในตอนนี้แปรเปลี่ยนไป มันกลายเป็นภาพของสาวกศักดิ์สิทธิ์ฮัทท์ที่กำลังถือโล่ใบใหญ่ ยื่นมันออกไปเบื้องหน้า ใช้มันปัดป้องการโจมตีจากศัตรู
ภายในห้อง เบื้องหน้าของฮัทท์ จู่ๆ ก็ปรากฏโล่สีฟ้าอ่อนขนาดใหญ่ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ขนาดโล่ เทียบเท่าได้กับความสูงของกู่ฉิงซาน เวลานี้ หากเขาต้องการคิดจะโจมตีฮัทท์ต่อไป มันคงจะไม่ง่ายดายดังเช่นในครั้งที่ผ่านๆ มา
บนโล่ใหญ่เปล่งประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว และในทุกๆ ครั้ง ร่องรอยบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บของฮัทท์ก็จะถูกรักษาอย่างรวดเร็ว
รวดเร็วชนิดที่ว่าตาเปล่าก็สามารถมองเห็นได้
นี่คืออุปกรณ์ที่ทรงประสิทธิภาพ มันไม่เพียงแต่จะสามารถทานทนต่อการโจมตีอันรุนแรงได้ แต่ยังสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของผู้ใช้ได้อีกด้วย
ในการต่อสู้นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ทราบว่ามีตัวตนที่ทรงพลังกี่คนกันแน่ ที่ได้เผชิญหน้ากับโล่ใบนี้ และสุดท้ายก็ตกตายลงด้วยความคั่งแค้น
ฮัทท์ถือโล่ใหญ่ในมือ ปากอ้าร้องตะโกนคลั่ง “ไอ้เด็กเหลือขอ ข้าจะจับเจ้าโยนเข้าไปในกรงที่ลึกที่สุด ให้เจ้าต้องทนประสบกับความทุกข์ทรมานทุกชนิด”
กู่ฉิงซานมองไปยังโล่ สายตาเย็นชาขึ้นหลายส่วน
อย่างไรก็ตาม ดาบที่สี่’สะบั้นต่อเนื่อง’จำต้องจู่โจมให้โดนให้ได้ ไม่ว่ายังไงเขาจะต้องก่อร่างเจ็ดดาราให้สมบูรณ์!
เขากระโจนขึ้นไปในมุมสูง ยกดาบพิภพชูเหนือหัว ทะยานตรงไปยังฮัทท์
“เห็นแบบนี้แล้วยังกล้าที่จะบุกเข้าไปอีกอย่างงั้นหรือ? ข้าคิดว่าเพียงเขาได้เห็นพลังของโล่ศักดิ์สิทธิ์ เขาก็คงจะรีบวิ่งหนีไปซะอีก…” พระสันตะปาปาหัวเราะคิกคัก จู่ๆ เธอก็เริ่มบังเกิดความสนใจขึ้นมาอีกครั้ง
เธอโบกมือออกไป
ภายในห้องทั้งหมด บังเกิดระลอกคลื่นที่ไม่สม่ำเสมอระเบิดขึ้นในชั้นอากาศ
ยามที่ชั้นอากาศกลับคืนสู่สภาพเดิม ก็ปรากฏไพ่ใบหนึ่งขึ้นในมือของพระสันตะปาปา
บนไพ่ เป็นรูปบานประตูไม้ และบนประตูถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนาด้วยโซ่เหล็กขนาดใหญ่
“ช่างเป็นมนุษย์ที่กล้าหาญยิ่ง หากเป็นแบบนี้ ข้าสมควรที่จะเปลี่ยนไพ่…”
พระสันตะปาปาใช้ไพ่ที่พึ่งได้มา เคาะก๊อกๆ อย่างแผ่วเบา สักพักมันก็กระจายเหือดหายไปในอากาศ ก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไปเบื้องหน้า และคว้าจับไพ่ออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าอีกครั้ง
และดูท่าว่าไพ่ใบนี้เธอก็ยังไม่พอใจ เธอโยนไพ่ที่ได้มาไปออกมา และยื่นมือไปหยิบไพ่ใบใหม่อีกรอบ
...........................................................