ตอนที่ 214 งานเลี้ยงอาหารค่ำ
แต่ละคนจากรถแต่ละคันเริ่มทยอยกันเปิดประตูออกมา และมองไกลออกไป
บริเวณจุดตรวจ นักบวชในชุดคลุมสีขาวของคริสตจักรกำลังสาดส่องสายตามายังรถแต่ละคันอยู่
ท่านทูตขยิบตาไปทางคนขับรถ
แล้วคนขับก็เดินไปข้างหน้า หลังจากนั้นไม่นานก็เดินกลับมา
“คริสตจักรศักดิ์สิทธิ์กำลังค้นหาตัวคนที่น่าสงสัย และได้บังเอิญพบกับพวกมืออาชีพหลายคนของกองกำลังปฏิวัติ”
“พวกเขาถูกจับหรือเปล่า?” ท่านทูตถาม
“ไม่ แต่ถูกฆ่าตายทันทีโดยสาวกศักดิ์สิทธิ์”
พอได้ฟัง หลายคนก็ปิดปากเงียบ
หลังจากนั้นไม่นาน
เส้นทางก็ถูกเปิดออก และรถยนต์ก็เริ่มเคลื่อนผ่านจุดตรวจอีกครั้ง
ท่านทูตโบกมือให้คนทั้งหมดเข้าไปในรถ และเคลื่อนที่ตามคันข้างหน้าต่อไป
การจราจรมักจะหยุดชะงักเป็นครั้งคราว และบ่อยครั้งจะปรากฏเสียงปืนสะท้อนออกมาและเสียงร้องตะโกนจากสถานที่ห่างไกล
เมื่อใดก็ตามที่รถหยุด เสียงพวกนี้ก็จะดังขึ้นตามมา
ท่านทูตถอนหายใจ ปากบ่นพึมพำ “ดูเหมือนว่ายังคงมีกองกำลังจำนวนมากที่ต้องการเข้าไปป่วนทำลายงานเลี้ยง”
“สถานการณ์ในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์เวลานี้ ได้มาถึงระดับสุ่มเสี่ยงขนาดนี้แล้วอย่างนั้นหรือครับ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
“ใช่แล้วล่ะ ภายในมีสามกองกำลังที่ต้องการจะยึดอำนาจ ภายนอกมีฟูซี ส่วนผีดิบนักฆ่าและอสูรแห่งท้องทะเลก็กำลังอาละวาดอยู่ทุกหนแห่ง แต่กลับไม่มีใครไปกวาดล้างพวกมันเลย” ท่านทูตกล่าว
“ใครที่อยู่ในจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ตอนนี้ ก็ไม่แตกต่างไปจากอาศัยอยู่ในนรกหรอก” เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งเอ่ยแทรก
ถึงแม้ว่ากู่ฉิงซานจะได้รับรู้เรื่องนี้มาก่อนแล้วก็ตาม แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอยู่ดี
ภายในรถยนต์ แววตาของแต่ละคนดูหม่นสลัว สื่อความหมายแทนคำต่างๆออกมา
แล้วในที่สุด รถของพวกกู่ฉิงซานก็มาถึงจุดตรวจ
ตามมาด้วยได้ยินเสียงคนตะโกนจากภายนอก “รายงาน! นี่คือรถของสถานเอกอัครราชทูตแห่งรัฐบาลกลาง”
“คณะทูตอย่างนั้นเหรอ…ปล่อยพวกเขาไป” เสียงที่ฟังดูหนักแน่นเอ่ยกล่าว
ผู้คนในรถชะโงกออกไปดูภายนอก
ตามเส้นทางทั้งสองด้าน เต็มไปด้วยพวกกองกำลังติดอาวุธแห่งคริสตจักรยืนอยู่
และสายตาของทั้งหมดก็ตกลงบน ร่างชายที่ดูมีพลังอันยิ่งใหญ่ สวมชุดคลุมสีขาว สองมือยกขึ้นกอดอก และกำลังสาดสายตาไปตามรถแต่ละคัน
สาวกศักดิ์สิทธิ์ อีวาน
เขาเหล่สายตาไปมา โน้มตัวลงมาด้านหน้าเล็กน้อย ราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกระโจนพุ่งเข้าไปขย้ำเหยื่อได้ทุกเมื่อ
กู่ฉิงซานมองลอดหน้าต่าง และสบตาเข้ากับเขาวูบหนึ่ง
“หือ?” สาวกศักดิ์สิทธิ์ลุกขึ้น ก้าวตรงมาทันที
เขาเคาะกระจก
กู่ฉิงซานกดเลื่อนกระจกรถลงและเอ่ยถาม “มีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอ?”
สาวกศักดิ์สิทธิ์ก้มลงมองเครื่องแบบทหารของเขา ก่อนจะเบนสายตาไปยังเหรียญแห่งอิสรภาพ และเอ่ยปากกล่าว “โห? นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้พบเจอกับนายทหารยศสูงแห่งรัฐบาลกลาง”
“ก็แล้วตกลงว่ามีปัญหาอะไรกันแน่?” กู่ฉิงซานเอ่ยอย่างไม่แยแส
ในแววตาของสาวกศักดิ์สิทธิ์เผยให้เห็นถึงความดุร้าย ปากเอ่ยกล่าว “ข้าไม่ได้เล่นกับนายทหารระดับสูงของรัฐบาลกลางมาสักพักแล้ว ถ้าเจ้าเต็มใจ สนใจที่จะได้รับการสอนสั่งจากข้าไหม?”
บนรถยนต์ สีหน้าของหลายคนเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “คุณเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงกำลังขวางรถของผม แต่ยังต้องการที่จะสอนสั่งผมอีกด้วย?”
ท่าทีของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เปิดประตูเตรียมที่จะออกไป“แน่นอน ผมก็อยากจะลองขอคำชี้แนะจากเทคนิคเทียนซวนแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ของคุณดูเหมือนกัน”
สาวกอีวานจดจ้องเขาอย่างใกล้ชิด เมื่อเขาเห็นปฏิกิริยาดังกล่าว ก็แสดงถึงสีหน้าผิดหวังออกมา
และกู่ฉิงซานก็ถูกท่านทูตลากกลับเข้ามาในรถ
ท่านทูตโผล่หัวออกมาและหันไปกล่าวกับสาวกศักดิ์สิทธิ์ “คุณแน่ใจนะว่าต้องการจะต่อสู้กับนายทหารของพวกเรา? แถมยังเป็นในที่แบบนี้ สถานการณ์แบบนี้?”
คณะทูตได้รับเชิญเป็นแขกที่จะมาเข้าร่วมงานเลี้ยง การถูกขวางกลางถนนก็นับว่าไม่สุภาพมากพอแล้ว และตอนนี้ยังถูกยั่วยุท่ามกลางสายตาของสาธารณชนอย่างไม่คาดคิด หากมันเกิดเรื่องขึ้นในบริเวณนี้จริงๆ นี่คงจะกลายเป็นเรื่องขบขันครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์การทูตของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
มันจะกลายเป็นการสร้างความอัปยศให้แก่ สหพันธรัฐ รัฐบาลกลางทั้งประเทศ ผลพวงที่ตามมายากที่จะคาดเดา
ดังนั้น แม้ว่าท่านทูตจะเป็นเพียงคนธรรมดา แต่สาวกอีวานก็มิกล้าที่จะเอ่ยเถียง
สาวกยอมถอยออกไปก้าวหนึ่ง และคร้านเกินกว่าที่จะเหลือบแลกู่ฉิงซาน เขาโบกมือส่งสัญญาณ “ปล่อยให้พวกเขาผ่านไป”
สิ่งกีดขวางทั้งหมดบนถนนถูกเคลื่อนย้ายออกอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่รถยนต์ขับออกไปได้ไกลหลายไมล์แล้ว เจ้าหน้าที่ในรถก็คิดจะเอ่ยปากพูด ทว่ากู่ฉิงซานโบกมือ และชี้ไปที่หลังหูของเขา
เพียงได้เห็นสัญญาณ ผู้ที่ทำงานด้านการทูตในต่างประเทศย่อมมิใช่คนโง่ พวกเขาเป็นคนที่มีสติ และความคิดที่ลึกซึ้ง ทั้งหมดจึงพอจะคาดเดาได้ไม่ยาก
ชายคนนั้นเห็นถึงสัญญาณเตือนของกู่ฉิงวาน เขาก็หุบปากลงทันที
หลังจากผ่านไปนาน จนกระทั่งรถยนต์มาหยุดอยู่ทางเข้าคฤหาสน์ กู่ฉิงซานจึงเอ่ยปากในที่สุด “ตามที่ตกลงกันไว้ เรื่องงานเต้นรำปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผม ส่วนพวกคุณก็คอยรับฟังคำสั่งจากเทพธิดากงเจิ้ง”
คนทั้งหลายพอได้ฟังก็เข้าใจ และเดินลงจากรถไปอย่างเงียบๆ
ทันทีที่ลงไปพนักงานต้อนรับก็พุ่งตรงเข้ามาทันที และอาสาขับรถเข้าไปจอดให้ จากนั้นก็มีคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นบริกรหญิงปรากฏตัวขึ้น เธอทักทายกับทุกคนอย่างสุภาพ และเดินพาพวกเขาเข้าไปในห้องโถง
ที่ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงใหญ่โต
ผู้ที่มีชื่อเสียง สมาชิกคนสำคัญของรัฐทั้งในและนอกประเทศ และแขกผู้ทรงเกียรติจากทุกสาขาอาชีพก็มาเข้าร่วมและพบปะกันที่นี่
ทุกคนถูกนำตัวไปยังที่นั่งที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า และเฝ้ารอช่วงเวลารับประทานอาหารค่ำที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
และมันไม่สะดวกที่จะเคลื่อนไหวในเวลานี้ เนื่องจากหากที่นั่งว่างลง มันจะเป็นการดึงดูดความสนใจของบริกรที่กำลังอำนวยความสะดวกในงานเลี้ยง
หากกู่ฉิงซานต้องการที่จะขึ้นไปยังชั้นสาม เพื่อหาสูตรยา เขาจะต้องฉวยจังหวะหลังอาหารเย็นเท่านั้น
ท่านทูตนั่งอยู่ในแถวแรก กับนักการทูตของจักรวรรดิฟูซี
กู่ฉิงซานเป็นเจ้าหน้าที่ทหาร จึงถูกจัดให้นั่งอยู่ในแถวสาม
ทั้งหมดที่นั่งอยู่ในแถวของเขา ล้วนถือครองตำแหน่งรองในรัฐบาล หรือไม่ก็มีสถานะไม่สูงเกินไปกว่าขุนนางของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
ผู้คนที่นี่ไม่ได้รับภารกิจใดๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับคำพูดที่จะเอ่ยออกมามากเกินไปนัก และท่าทีของคนทั้งหลายจึงค่อนข้างที่จะดูผ่อนคลาย
สองนายทหารแห่งฟูซีดูจะให้ความสนใจกับกู่ฉิงซานเป็นอย่างมาก และเริ่มที่จะเอ่ยพูดคุยกับเขา
และมันไม่นับว่าเป็นปัญหาสำหรับกู่ฉิงซานเลย เมื่อครั้งในช่วงชีวิตก่อนหน้า เขาคุ้นเคยกับพวกสาธารณรัฐฟูซียิ่งกว่ารัฐบาลกลางเสียอีก สนทนากันเพียงแค่สองสามประโยค เขาก็เริ่มที่จะสนิทกับเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองคนแล้ว
ไม่ทราบว่านานแค่ไหนกัน จู่ๆท่วงทำนองอันไพเราะของเปียโนก็ดังขึ้น
เสียงเปียโนอันไพเราะ ทว่ายังคงระดับเสียงไม่สูงหรือต่ำจนเกินไป นั่นทำให้มันไม่ส่งผลกระทบต่อการพูดคุยของผู้คน
ณ จุดนี้เอง เจ้าภาพในงานเลี้ยง มาดามดู่ก็ปรากฏตัวขึ้น
เธอช่างเป็นคนที่มีเสน่ห์และสง่างามมากจริงๆ ทุกๆ การกระทำและรอยยิ้มที่หันไปมอบให้แก่ผู้คนโดยรอบ ช่างงดงามจนยากจะบรรยาย
ทันทีที่เธอมาถึง แขกคนสำคัญก็ทยอยกันลุกขึ้นและทักทายต้อนรับเธอด้วยรอยยิ้ม
เธอนั่งอยู่บริเวณใจกลางของแถวแรกสุดในงานเลี้ยง ทางด้านซ้ายเป็นเจ้าชายแห่งสาธารณรัฐฟูซี ขณะที่ทางขวาเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์ในชุดคลุมขาวที่ดูทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง และกู่ฉิงซานก็เคยได้เห็นเขามาก่อน
“นี่นายกำลังมองไปที่อีวานใช่ไหม?” ทหารฟูซีสังเกตเห็นถึงสายตาของกู่ฉิงซาน
“ใช่แล้ว เมื่อได้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับสาวกศักดิ์สิทธิ์แห่งคริสตจักร การบังคับตนไม่ให้เบนสายตาไปมองเขา นับว่าเป็นเรื่องยากจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าว
“ฉันพอจะเข้าใจนะ ก็กำลังรบของเจ้าพวกนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป แถมยังไม่กลัวตาย พอมีโอกาส มันเลยเป็นเรื่องยากที่จะไม่ถือโอกาสแอบมอง” นายทหารฟูซีกล่าวพลางเดาะลิ้น
ณ ขณะนี้ การพูดคุยทักทายของมาดามดู่ก็ได้จบลงแล้ว
หลังจากที่สนทนาเล็กๆน้อยในห้องโถงเสร็จ จานอาหารที่ถูกปรุงสุกก็ถูกยกเข้ามาเสิร์ฟ
งานเลี้ยงอาคารค่ำได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ในเวลานี้ กู่ฉิงซานจะต้องหาที่นั่งและรับประทานมันพวกมันจนหมด
นับตั้งแต่วันสิ้นโลกได้มาถึง นี่คือมื้ออาหารเย็นที่หรูหราที่สุดที่เขาเคยได้กินมา
ครีบฉลามที่ต้มด้วยไวน์ขาวชั้นเลิศ เสิร์ฟคู่กับหอยนางรม กุ้ง และอาหารทะเลอื่นๆ แขกเหรื่อแต่ละคนจะถูกเสิร์ฟหม้อเล็กๆ และเมื่อเปิดมาภายในจะพบกันเนื้อนกกระทารมควันกับไก่ย่างหอมกรุ่น ตบแต่งด้วยมันฝรั่งและผลไม้สด ของหวานก็เป็นพวกขนมปังสีขาวสดที่เอาไว้ทากับครีมหวาน แยม เยลลี่และน้ำตาลสูตรผลไม้ นอกจากนี้ยังมีเค้กแฟนซีและไอศกรีมที่ทำจากผลไม้เฉพาะฤดูอีกด้วย
เครื่องดื่มก็ยังแยกต่างหากของผู้หญิงจะเป็นแชมเปญและไวน์ ส่วนผู้ชายก็จะเป็นเหล้าหมักที่มีฤทธิ์แรงและกลมกล่อม
กู่ฉิงซานเลือกหยิบเหล้าขึ้นมาขวดหนึ่ง และบริกรข้างหลังเขาก็เดินเข้ามาและเปิดจุกมันให้พร้อมกับรินให้เขาทันที
เหล้าขวดนี้มีสีใส เฉกเช่นเดียวกันกับคุณภาพที่ดีเลิศ รสของมันเมื่อสัมผัสเข้ากับลิ้น จะส่งผลให้ผู้ดื่มรู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก
กู่ฉิงซานกินดื่มอย่างเพลิดเพลิน และบางครั้งก็ช่วยไม่ได้ที่จะเกิดอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย
ขณะนี้มีผู้คนจำนวนมากที่กำลังดิ้นรนอยู่ไปขอบเหวแห่งชีวิตและความตาย แต่ในสถานที่แห่งนี้ ทั้งหมดกลับยังคงเพลิดเพลิน สนุกสนานไปกับมาตรฐานในช่วงเวลาที่ยังสงบสุขอยู่
ผู้คนพูดคุยกระซิบกระซาบกันอยู่ตลอดเวลา และบ่อยครั้งก็บังเกิดเสียงหัวเราะคิกคัก
งานเลี้ยงอาหารค่ำที่เลิศหรูและถูกจัดโดยเจ้าภาพชั้นสูงเช่นนี้ ทำให้แม้กระทั่งพวกขุนนางที่มักจะบ่นจู้จี้จุกจิก ก็ยังไม่กล้าที่จะหาเรื่องตำหนิใดๆ
ทุกคนพอใจกับมื้ออาหารเป็นอย่างมาก กระทั่งกู่ฉิงซานที่มาเพื่อทำภารกิจ แตกต่างจากคนอื่นๆก็ยังบังเกิดความพึงพอใจในมื้ออาหารด้วยเช่นกัน
และแล้วงานเลี้ยงเต้นรำก็เริ่มต้นขึ้น
ช่วงแรก เพลงที่ถูกบรรเลงออกมาช่างฟังดูอ่อนโยน มันช่วยขับคลอให้ผู้คนค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับบรรยากาศ และผ่อนคลายอารมณ์
ท่านทูตและคนอื่นๆรอบตัวเขา ขอตัวออกจากงานเลี้ยงไป
ส่วนกู่ฉิงซาน เขาลุกขึ้นและเอ่ยถามอย่างสุภาพว่าห้องน้ำไปทางไหน ก่อนจะถอยฉากเดินออกมา
เมื่อมาถึงห้องน้ำ กู่ฉิงซานก็ปิดประตูลง และตบลงในถุงสัมภาระ นำเครื่องจัมป์ขนาดพกพาออกมา
“เหลียวฮัง ได้เวลาทำงานแล้ว” เขากล่าว
“มาๆๆ เอ่อ ระยะทางต้องประมาณนี้ถึงจะดี มันจะได้ไม่มีการเบี่ยงเบน ช่วงก่อนทำการจัมป์ข้ามพื้นที่ แกต้องรอประมาณสามสิบวินาทีนะ” เสียงของเหลียวฮังถูกอัปโหลดออกมาจากอุปกรณ์จัมป์
และสามสิบวินาทีก็ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว
“ทำการป้อนตำแหน่งเดิมและปลายทางได้ถูกล็อกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เริ่มต้นการจัมป์ได้” เหลียวฮังกล่าว
กู่ฉิงซานก้มหัวลงมอง และเห็นแค่เพียงอุปกรณ์เครื่องจัมป์เริ่มทำงานแล้ว
วินาทีต่อมา ทั้งคนทั้งเครื่องจัมป์ขนาดพกพาก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
..........................................................