ตอนที่ 211 ชี้ให้เห็นถึง
“ก็นั่นแหละสิ่งเดียวที่ฉันกังวลเลยล่ะ” กู่ฉิงซานกล่าว “แต่ตามที่ฉันและเทพธิดากงเจิ้งได้ลองวินิจฉัยดูแล้ว มีโอกาสน้อยมากเลยนะ ที่พระสันตะปาปาจะมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้”
เย่เฟย์หยูกล่าวต่อ “หรือว่าจะให้ฉันไปกับนาย? ถ้าพวกเราบังเอิญเจอกับพระสันตะปาปาแล้ว มันกล้าทำตัวอวดดีต่อหน้าพวกเรา ฉันจะสั่งสอนมันเอง”
ทั้งหมดหันมามองหน้าเขาเป็นสายตาเดียวด้วยสีหน้าแปลกๆ
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” เย่เฟย์หยูงง เอ่ยถามด้วยความฉงน
“ฉันเดิมพันสิบแต้มเครดิต ว่าแกจะไม่ได้แม้กระทั่งสัมผัสตัวนางสัตว์ประหลาดนั่นได้” เหลียวฮังกล่าว
“นี่คุณไม่มีความมั่นใจในตัวผมเลยอย่างนั้นเหรอ?” เย่เฟย์หยูกล่าว
“ส่วนฉันเดิมพันหนึ่งร้อยล้าน ว่าจวบจนกระทั่งเฮือกสุดท้าย นายจะตกตายอย่างเจ็บปวดทรมาน” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
เย่เฟย์หยูไม่อยากจะเชื่อ เขาเบนสายตาเชิงคำถามไปยังกู่ฉิงซาน
กู่ฉิงซานตบลงบนบ่าเขาและกล่าว “เมื่อไหร่ที่นายสามารถเอาชนะแอนนาได้ เมื่อนั้นแหละนายถึงจะมีสิทธิ์ที่จะคิดเกี่ยวกับเรื่องการต่อกรกับสาวกศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักร”
“วันหนึ่ง เอาไว้นายสามารถเอาชนะแอนนากับพวกสาวกศักดิ์สิทธิ์ได้ซะก่อน ถึงตอนนั้นค่อยกลับมาคิดเรื่องจัดการกับพระสันตะปาปาอีกครั้งหนึ่งนะ”
“แต่แอนนา…เป็นแค่ผู้ใช้ธาตุทั้งห้าขั้นสี่ระดับสูงสุด ส่วนฉันเป็นถึงราชาผีดิบนักฆ่าระยะที่หกนะ นายคิดว่าฉันจะสู้เธอไม่ได้จริงๆ เหรอ...” เย่เฟย์หยูเริ่มเสียความมั่นใจ
กู่ฉิงซาน “ฉันขอบอกว่า เรื่องการจัดแบ่งระดับความแข็งแกร่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายดายแบบนั้น แอนนาเป็นผู้ใช้ธาตุทั้งห้าก็จริง แต่เธอยังสามารถปลดปล่อยมันควบคู่ไปกับเทคนิคเทียนซวนได้ ดังนั้นเธอจึงทรงพลังยิ่งกว่าพวกมืออาชีพขั้นห้าทั่วๆ ไปซะอีก”
เย่เฟย์หยูหันไปมองแอนนาและกล่าว “หรือพวกเราจะมาวัดกันซักตั้ง?”
แอนนาเอ่ยขัด “ก่อนจะทำแบบนั้น ลองดูที่แก้วไวน์ของนายก่อนสิ”
เย่เฟย์หยูก้มหัวลง และพบว่าแก้วไวน์ในมือของตัวเองละลายไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเลย
“ถ้านี่เป็นการต่อสู้จริง นายคงตายไปแล้ว” แอนนาเอ่ยปาก เชิดคางขึ้น
“ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...?” เย่เฟย์หยูกล่าวเสียงละห้อย
นี่ทำให้ความมั่นใจของเขาถูกสั่นคลอน สูญเสียมันไปเล็กน้อย
“ในความเป็นจริง นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ หรอกนะ เฉพาะในส่วนของประเภทของเทคนิคเทียนซวนอันลึกล้ำเท่านั้นแหละ ที่นายจะไม่มีทางคาดคำนวณความแข็งแกร่งของผู้ที่ครอบครองมันได้ด้วยสามัญสำนึกทั่วๆ ไป” ซางหยิงฮ่าวกล่าวปลอบประโลมเขา
และแทบจะในทันที เย่เฟย์หยูก็หันไปถามกู่ฉิงซาน “แล้วนายล่ะ? วิชาดาบของนาย นับได้ว่าทั้งชีวิตของฉัน ก็พึ่งจะเคยเห็นมันเป็นครั้งแรกนี่แหละ ถ้าเป็นนาย จะสามารถรับมือกับสาวกศักดิ์สิทธิ์ได้ไหม”
“ถ้าเป็นสาวกศักดิ์สิทธิ์ ฉันยังคงพอที่จะสู้ไหว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“แล้วถ้าหากเป็นพระสันตะปาปาล่ะ?”
“ถ้าหนีไม่พ้น คงถูกฆ่าตายอย่างแน่นอน”
“แม้กระทั่งนายก็ยังถึงกับตายเลยอย่างนั้นเหรอ?”
“พลังมันต่างชั้นกันมากเกินไป เป็นธรรมดาที่ผู้อ่อนแอ ย่อมจะต้องถูกฆ่าตายโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่า”
ซางหยิงฮ่าวกล่าวเห็นด้วย “ถ้าพระสันตะปาปาอยู่ที่นี่แล้วล่ะก็ ต่อให้พวกเราทุกคนร่วมมือกันก็คงไม่พ้นตกตายอยู่ดี”
ทันใดนั้น แอนนาก็หันไปมองกู่ฉิงซานและกล่าว “หรือว่าจะให้ฉันปลอมตัว แล้วไปกับนายดี”
“แบบนั้นไม่ดีหรอก มันอันตรายเกินไป ฉันไม่อนุญาตให้เธอไป”
แววตาและทัศนคติที่กู่ฉิงซานเผยออกมา ดูหนักแน่นมาก
เหลียวฮังที่กำลังขบคิดอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปากออกมา “ดูเหมือนว่าพวกเราคงต้องมุ่งความสนใจไปกับการเคลื่อนไหวของยายเฒ่าคนนี้”
เขาพิมพ์ข้อมูลยาวเหยียดลงบนจอม่านแสง และในที่สุดมันก็ถูกส่งไปยังเทพธิดากงเจิ้ง
“ช่วยแยกสูตรแกนหลักที่พึ่งส่งไปนี้ที แล้วทำการสกัดมันออกมา สัก...สามสิบส่วนก็แล้วกัน”
“ช่างเป็นสูตรที่ยอดเยี่ยม มิสเตอร์เหลียว” เทพธิดากงเจิ้งตอบ
กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “นั่นมันสูตรอะไร?”
“มันคือสูตรผลิตเครื่องมือสอดแนมขนาดเล็กระดับนาโน เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ฉันภาคภูมิใจมากที่สุดในชีวิตนี้” เหลียวฮังกล่าวอย่างภูมิใจ
“คุณกำลังจะบอกว่าให้ใช้มันเพื่อทำการสอดแนมพระสันตะปาปา?”
“แน่นอน ฉันจะส่งมันกระจายตัวไปทั่วทั้งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ และจะไม่มีใครสังเกตเห็นถึงมันได้”
“เจ้าสิ่งนี้ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าฟังก์ชันการทำงานของมันจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่นี้อย่างแน่นอน…นี่คุณคงไม่ได้คิดค้นมันขึ้นมาเพื่อทำอะไรไม่ดีอย่างการจะใช้มันไปแอบดูสาวๆ หรอกนะ”
เหลียวฮังเหลือบไปมองเขาวูบหนึ่ง มุมปากกระตุก ในขณะที่แววตาสื่อความหมายออกไปประมาณว่าแกจะรู้ดีเกินไปแล้ว
“ยังไงก็เถอะ ด้วยวิธีนี้ มันจะช่วยให้พวกเราสามารถรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพระสันตะปาปาได้ และสามารถแจ้งให้นายทราบได้ตลอดเวลา” แอนนากล่าวอย่างมีความสุข เธอวางมือลงบนไหล่ของกู่ฉิงซาน ความหนักอึ้งในหัวใจถูกบรรเทาลงโดยสมบูรณ์
“ดีล่ะ อย่างนั้นถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นพวกเราจะติดต่อหากัน” กู่ฉิงซานกล่าว
เขาพูดกับตัวเอง ในขณะเดียวกัน ก็บังเกิดคำถามแปลกๆ ขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ในชีวิตก่อนหน้า ท่ามกลางบรรดามนุษย์ทั้งหมดในโลกจริง พระสันตะปาปานับว่าเป็นตัวตนที่ลึกลับที่สุด
เป็นระยะเวลาเนิ่นนานมาแล้ว ครั้งหนึ่งเหล่ามืออาชีพของฟูซีนับไม่ถ้วนเคยได้ต่อสู้กับเธอ ทว่าสุดท้ายกลับมีเพียงเฉพาะจักรพรรดิแห่งฟูซีเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้
แต่เขาจำต้องต้องพักฟื้นนานกว่าครึ่งปี จึงจะสามารถเรียกคืนกำลังกลับมาได้ ส่วนเรื่องราวของการต่อสู้ในครั้งนั้น เขาเลือกที่จะปิดปากเงียบ
ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าสมเด็จพระสันตะปาปาต่อสู้โดยใช้กลวิธีใด และมีไพ่อะไรอยู่ในมือของเธอบ้าง
แต่ในความเป็นจริง ตัวเธอนั้นมีเจ็ดสาวกศักดิ์สิทธิ์คอยออกหน้าแทนอยู่แล้ว ดังนั้นในสถานการณ์ทั่วไปเธอจึงไม่จำเป็นต้องออกหน้าต่อสู้ด้วยตนเอง
แต่สิ่งที่น่าแปลกประหลาดที่สุดก็คือ ในวันสิ้นโลกปีสุดท้าย พระสันตะปาปากลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย
ไม่มีใครรู้ว่าเธอหายไปที่ไหน ยังคงมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่
แต่ในเวลานั้นจำนวนผู้รอดชีวิตก็น้อยลงทุกวี่วัน ทุกคนจึงไม่มีเวลามามัวกังวลเกี่ยวกับการหายตัวไปของเธอ ดังนั้นการสืบสวนถึงเรื่องราวดังกล่าวจึงถูกยุติลงอย่างรวดเร็ว
ในตอนนั้นเอง เสียงของเทพธิดากงเจิ้งก็ดังขึ้น
“แผนการบินพร้อมแล้ว คุณสามารถเริ่มเดินทางได้ตลอดเวลา”
“ตกลง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ล่ะ”
กู่ฉิงซานยืนขึ้นและส่งสัญญาณมือ
เกราะรบขับเคลื่อนชุดหนึ่งผุดขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่างและเพดานเบื้องบน จากนั้นก็สวมทับแนบลงตามร่างกายของเขา
มันคือชุดเกราะรบรุ่นทั่วไปของเทพธิดากงเจิ้ง
ด้วยเวลาที่มีจำกัด กู่ฉิงซานจึงยังมิได้ผลิตชุดเกราะรบขับเคลื่อนแบบเฉพาะของตนเองขึ้นมา
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ ตอนนี้มันสายเกินไปแล้วที่จะสร้างเกราะรบใหม่ ทว่าเกราะนี้ได้รับการฝังไมโครชิปขนาดเล็กที่สามารถปิดกั้นการมองเห็นเอาไว้แล้ว ซึ่งหากเปิดใช้งานมันจะสามารถลอบเร้นโดยไม่มีทางถูกจับได้ได้เป็นเวลาหนึ่งนาที” เทพธิดากงเจิ้งกล่าว
“นั่นมันหนึ่งในชุดเทคโนโลยีล่าสุดที่ฉันได้ทำการคำนวณเอาไว้ใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว‘
“หนึ่งนาทีสินะ แค่นั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะร่อนลงไปสู่พื้นดินจากบนท้องฟ้า แต่ถึงมันจะเพียงพอหรือไม่ สำหรับฉันมันก็ไม่สำคัญอยู่ดี”
กู่ฉิงซานกล่าว เขาก้าวขึ้นไปบนเรือรบประจัญบานขนาดเล็ก ก่อนจะหันกลับมาและโบกมือให้กับคนในทีม
“แล้วฉันจะรีบกลับมา” เขากล่าว
ประตูเรือรบปิดลง พร้อมกับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังขึ้นและค่อยๆ ไกลห่างออกไป
ยานรบขนาดเล็กเจาะผ่านเข้าชั้นบรรยากาศโลกอย่างรวดเร็ว
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ พวกเรากำลังเข้าสู่เขตการเฝ้าระวังของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในอีกหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้าพวกเราจะถูกตรวจพบโดยระบบเฝ้าระวังของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์”
“เปิดประตูให้ฉัน ฉันจะใช้หุ่นรบแอบเข้าไป”
เสียงประตูที่ถูกเปิดออกดังขึ้น
และกู่ฉิงซานกระโดดลงไป
อีกด้านหนึ่ง
ณ มหาวิหารภายในเมืองหลวงของจักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์
หญิงในชุดคลุมยาวสีขาว ทั้งคนทั้งร่างเปล่งประกายเจิดจรัส กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์สูง
เหนือศีรษะของเธอ ปรากฏรัศมีส่องสว่างบางเบาลอยอยู่ในชั้นอากาศ เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ มันให้กลิ่นอายของความสงบและแข็งแกร่งแพร่กระจายอยู่รอบตัว จนเธอดูราวกับเป็นทูตสวรรค์
ใช่แล้ว นี่คือพระสันตะปาปาแห่งคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์
เธอถือกระดานวาดภาพในมือ และดูเหมือนว่ากำลังใช้ปลายดินสอจรดจิตรกรรมลงบนมัน
ยามว่างเว้น เธอมักจะบรรจงวาดภาพบางอย่างขึ้น นี่เป็นงานอดิเรกของเธอ
“ท่านครับ องค์ราชาต้องการที่จะขอเข้าพบ” สองนักบวชก้าวออกมาเบื้องหน้า กล่าวรายงาน
“ให้เขาเข้ามา ส่วนคนอื่นๆ ออกไปให้หมด ข้าต้องการหารือกับองค์ราชาตามลำพัง” พระสันตะปาปาเอ่ยโดยที่มิได้เงยหน้าขึ้น
“ทราบแล้ว”
สองนักบวชก้าวถอยหลังจากไป
ไม่นานนัก องค์ราชาก็เดินเข้ามา
เขาเอ่ยเสียงสะอื้น “ท่านแม่ ข้าเหงาเหลือเกิน เหตุใดแอนนาจึงยังไม่กลับมาอีก?”
พระสันตะปาปาถอนหายใจและกล่าว “ผลงานการแสดงละครของเจ้าครั้งล่าสุดช่างน่าผิดหวังยิ่ง หากทุกผู้คนได้มาเห็นแล้วล่ะก็ พวกเขาจะบอกได้ทันทีว่าเจ้ามิใช่กษัตริย์”
เธอกล่าวต่อ “จักรวรรดิศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ แตกแยกออกจากกันแล้ว และเจ้านั่นแหละคือตัวปัญหา”
องค์ราชาอุทานเสียงแหบแห้ง “เรื่องนั้นข้าไม่สนใจ! หากท่านแม่ไม่ให้ข้าพบกับแอนนา ข้าจะไม่ทำมันอีกต่อไปแล้ว!”
พระสันตะปาปาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากด้วยกระแสเสียงที่เปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ “เราเคยตกลงกันแล้วมิใช่หรือ ว่าถ้าหากเจ้าสามารถทำผลงานได้เป็นอย่างดี ข้าจะนำแอนนามามอบเป็นรางวัลให้แก่เจ้า ให้เจ้าได้ใช้นางเป็นวัตถุดิบในการดูดกลืนวิญญาณเพื่อนำมาหล่อเลี้ยงร่างกายตน”
“แต่เจ้ากลับทำมันได้ไม่สมบูรณ์ แถมบัดนี้ก็ยังมาโวยวายต่อหน้าข้า”
“บุตรข้า เจ้านี่มันไม่ฉลาดเอาเสียเลย”
พระสันตะปาปากวาดมือออกไปกลางอากาศ
องค์ราชายังคงตะโกนบ่นอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่า เสียงของตนได้หายไปแล้ว มิอาจเปล่งมันออกมาได้อีก
“เจ้าจำเป็นต้องพักผ่อนและไตร่ตรองถึงความผิดพลาดที่จนได้ก่อไว้” พระสันตะปาปากล่าว
ยามเมื่อองค์ราชาได้ยินคำว่า ‘พักผ่อน’ สีหน้าของเขาก็เผยถึงความหวาดกลัว ปากพะงาบๆ เหมือนจะเอ่ยบางสิ่ง ทว่ากลับไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้
องค์ราชาเร่งคุกเข่าลงบนพื้น และทำท่าทางอ้อนวอนขอความเมตตา
พระสันตะปาปาส่ายหัว หนึ่งมือหยิบดินสอออกมา และเริ่มวาดภาพลงบนกระดาน
เธอวาดมันอย่างรวดเร็ว ในปากเอ่ยพึมพำ “ข้าจักมอบพื้นที่สงบๆ ให้แก่เจ้า เอาไว้ไปไตร่ตรองทบทวนว่าตนเองผิดพลั้งสิ่งใด หลังจากนั้นหากเจ้าตระหนักถึงมันได้ ข้าจึงจะเรียกเจ้าออกมาอีกครั้ง”
องค์ราชาพอได้ฟังคำนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและตื่นตระหนก
ทันใดนั้นเอง บริเวณช่วงท้องขององค์ราชาก็ถูกเปิดออก และคนแคระหน้าตาน่ากลัวก็ผุดออกมาจากท้องของเขา สองเท้าก้าวฉับๆ วิ่งหนีไป
คนแคระตะโกน “ไม่! ข้าไม่ต้องการจะกลับไป! ข้าต้องการที่จะอยู่ในโลกใบนี้!”
ทว่าทางฝั่งพระสันตะปาปา ดูเหมือนว่าจะวาดรูปเสร็จแล้ว
บนกระดาน ปรากฏภาพของกรงสีดำที่ว่างเปล่าอยู่
พระสันตะปาปาเก็บดินสอกลับคืน จากนั้นก็โยนกระดานวาดภาพไปยังความว่างเปล่าเบื้องหน้า
ภาพบนกระดานกะพริบไหว กรงสีดำปรากฏขึ้นมา และบินออกไปอยู่เหนือหัวของคนแคระ
กระดานวาดรูปขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว แลดูคล้ายกับปากใหญ่ที่อ้ากว้างเพื่อเตรียมงับอาหารคำโต และคนแคระก็ถูกกินลงไป
พระสันตะปาปาวาดมือออก และภาพนั้นก็บินกลับมาอย่างรวดเร็ว ตกลงบนมือของเธอ
มองลงไปภายในภาพ ปรากฏร่างของคนแคระที่มีใบหน้าน่าเกลียด นิ้วทั้งสิบเต็มไปด้วยเล็บยาวแหลม มันกำลังนั่งอยู่บนพื้นด้วยความหงุดหงิด
เขาถูกขังอยู่ในกรง
บนกระดานวาดภาพ ตัวอักษรราวๆ สองสามบรรทัดที่น่าจะเป็นคำอธิบายปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ที่คุมขังคนแคระ”
“คนแคระ มีพลังในด้านการควบคุมร่างกายและลอกเลียนแบบการกระทำของต้นร่างให้เหมือนกับในยามที่ยังมีชีวิตอยู่”
“คนแคระ มัวเมาในรัก ทั้งวันคืนคิดถึงแต่ผู้หญิงอันงดงามที่ครอบครองความสามารถพิเศษของธาตุทั้งห้าและเทคนิคเทียนซวน เขาต้องการที่จะดูดซับ ผสานความแข็งแกร่งของกันและกันเพื่อที่จะเติบโตวิวัฒนาการขึ้น”
พระสันตะปาปากวาดสายตาผ่านภาพนี้ และส่ายมันในมือของเธอ
ทันใดนั้น จู่ๆ ภาพวาดก็แปรสภาพกลายเป็นไพ่ใบหนึ่ง
...........................................................