ตอนที่ 176 เปิดศักราชใหม่
บนสังเวียน บริเวณพื้นหินที่ไม่มีผู้คนยืนอยู่พลันพลิกคว่ำ จากบนหมุนลงล่าง พร้อมกับปรากฏไอเท็มหลายรายการวางเรียงรายอยู่บนพื้น
ไอเท็มเหล่านั้นคืออาวุธและชุดเกราะจำนวนมาก
ไม่ว่าจะเป็น กริช ดาบยาว ดาบสั้น มีดสั้น เคียว กระบี่ หอก ทวน ค้อนเหล็ก ขวานหิน ลูกดอก หมวกเหล็ก เกราะรบ กระจกคุ้มภัย เกราะแขน เกราะเท้า…
สิ่งต่างๆ เหล่านี้วางกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งสังเวียน
บางคนเริ่มที่จะทำการเลือกหยิบไอเท็มบางชิ้น พออีกคนหนึ่งเห็น พวกเขาก็เริ่มเลือกไอเท็มของตนบ้าง
ผู้คนมากมายเริ่มทำการเก็บอาวุธ
ขณะที่บางคนเห็นคนอื่นเลือกเก็บ ตนก็สอดส่องสายตาเลือกอาวุธและชุดเกราะที่เหมาะสมกับตนเองอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในคนที่เป็นมืออาชีพเลือกที่จะหยิบโล่ขึ้นมาก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ยื่นมือออกไป หมายคว้าจับกระบี่ยาวที่คมกระบี่สาดประกายเย็นเยียบ
เขานั้นเป็นผู้ใช้กระบี่ และจากมุมมองของเขา กระบี่ยาวเล่มนี้นี่แหละเหมาะสมที่จะเป็นอาวุธของเขาที่สุดแล้ว
แต่ทันทีที่เขาเอื้อมมือออกไป กระบี่ยาวก็กลับถูกฉกไปอยู่ในมือของอีกคนหนึ่งแทน
มืออาชีพเบนสายตาออกไปยังทิศทางดังกล่าว และก็พบว่าคนที่เอามันไปคือชายชราพุงพลุ้ย
มืออาชีพคนนั้นไม่รอช้า ง้างเท้าเตะตัดขาชายชรา จนอีกฝ่ายลงไปนอนหมอบกับพื้น และตนก็ได้รับกระบี่ยาวมาครอบครองในที่สุด
เขาหันไปอีกทางและเตรียมจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันจดจำได้ถึงบางสิ่ง
“ราชาจะมีเพียงหนึ่งเดียว…”
กระบี่ยาวถูกกระชับกุมในอุ้งมือ ประกายแสงเย็นเยียบถูกโบกสะบัดออกไป
ชายชราพุงพลุ้ยกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสมเพช และถูกสังหารตกตายลงอย่างโหดร้ายในพริบตา
ฉากนี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่แพร่กระจายไปโดยรอบทันที ทุกผู้คนหยุดการกระทำของตน และหันไปมองเขาอย่างเงียบๆ
เมื่อถูกจับจ้องด้วยสายตาของผู้คนมากมาย มืออาชีพคนนั้นก็เริ่มตื่นตระหนกจนผงะถอยไปก้าวหนึ่ง
และในตอนนั้นเอง เสียงชราก็ดังขึ้นอีกครั้งอย่างกะทันหัน ทว่าคราวนี้ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งแววชื่นชม
“โฮ่ ในที่สุดพวกเราก็ได้เห็นสหายตัวน้อยคนแรกที่เริ่มทำการท้าทาย เจ้าชื่ออะไรกันล่ะนี่...เฉินฉี? มืออาชีพเฉินฉี เอาล่ะพวกเรามาดูกันว่าเขาจะได้รับรางวัลอะไร?”
ได้รับรางวัลอย่างงั้นเหรอ?
ทุกคนพอได้ฟังก็ตกตะลึง และต่างพากันมองไปยังมืออาชีพเฉินฉี
สีหน้าของเฉินฉีแม้จะดูเคร่งขรึม ทั้งคนทั้งร่างยืนนิ่งมั่นคงไม่ไหวติง แต่หากสังเกตอย่างรอบคอบจะพบว่าเขากำลังหวาดกลัวอยู่นิดหน่อย
ทันใดนั้นเอง เปลวเพลิงก็พลันลุกไหม้ขึ้นบนคมกระบี่ยาวของเขา
เปลวเพลิงติดตรึงอยู่บนกระบี่ยาวเนิ่นนานไม่มอดดับลง
เสียงชราเอ่ยว่า “จงร่วมแสดงความยินดีกับเขาสิ! เพราะเขาเป็นผู้ท้าชิงที่สามารถทำแต้มได้เป็นคนแรก! อาวุธของเขาจึงได้รับพรจากจิตวิญญาณแห่งเปลวไฟอันร้อนแรง...ตอนนี้เขากลายมาเป็นผู้ที่ทำคะแนนนำแล้ว!”
เฉินฉีลองวาดกระบี่ที่ติดตรึงไปด้วยเปลวเพลิงออกไป และพบว่าเพลิงบนคมกระบี่ปะทุขึ้น กวาดกระจายออกไปทั่วทุกพื้นที่ตามทิศทางที่วาดออก
ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้กับเขามากเกินไป บังเอิญถูกสะเก็ดเพลิงสาดเข้าใส่ จนต้องส่งเสียงร้องหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา
ชายวัยกลางคนล้มกลิ้งขลุกๆ ลงกับพื้นอยู่นาน เปลวเพลิงจึงจะมอดดับลงอย่างสมบูรณ์
ทว่าตอนนี้ กว่าที่ไฟจะดับลง แขนข้างหนึ่งก็เขาก็ถูกเผาไปแล้ว ทั้งคนทั้งร่างนอนหอบหายใจบนพื้นดิน ตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย
“ฮ่าๆๆ กระบี่เล่มนี้ช่างทรงพลังจริงๆ!” สีหน้าของเฉินฉีเริ่มฉายแวววิปลาส
เขาย่างสามขุมตรงไปยังชายวัยกลางคน และยกกระบี่ขึ้นสับเข้าใส่อีกฝ่าย
ตามมาด้วยเสียงหวีดร้องโหยหวนที่ฟังดูน่าสลดใจ เลือดสาดกระจายไปทั่ว
“แต้มที่สอง!” เสียงชราดังขึ้นทันที “เฉินฉีของพวกเราได้รับแต้มที่สองมาครอบครองแล้ว!”
“เอาล่ะ มาดูกัน ว่าคราวนี้เขาจะได้รับรางวัลอะไรอีก!”
โล่ที่เฉินฉีหยิบขึ้นมาก่อนหน้านี้ จู่ๆ ส่วนนอกของมันที่มีไว้ใช้ป้องกัน บัดนี้ค่อยๆ ปรากฏปลายหนามแหลมที่ดูโหดร้ายผุดขึ้นมา
“โอ๊ะโอ่ นี่มันชักจะน่าพิศวงเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่มันเป็นไอเท็มป้องกันแท้ๆ แต่ตอนนี้มันดันใช้ได้ทั้งป้องกันและโจมตีเสียแล้ว ทีนี้จะมีใครสามารถเอาชนะผู้ที่ใช้มันได้กันล่ะนี่!?” น้ำเสียงของชายชราฟังดูขี้เล่น
เฉินฉีตะคอกคำหนึ่งด้วยความตื่นเต้น พริบตานั้นเอง เขาก็ยกโล่หนามขึ้น และกระแทกเข้าใส่อีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆอย่างแรง
คนคนนั้นถูกโล่หนามแทงจนอาเจียนออกมาเป็นเลือด ทั้งคนทั้งร่างที่ติดตรึงอยู่กับหนามแหลมถูกชูยกสูงขึ้น เลือดเอ่อล้นทะลักลงมาจนอาบโล่เปลี่ยนมันเป็นสีแดงฉาน…แขนขาผู้ถูกแทงห้อยอยู่กลางอากาศไม่ไหวติง ดูเหมือนว่าเขาจะสิ้นใจลงไปแล้ว
เสียงชราร้อนใจอดไม่ได้ที่จะเปล่งกังวานอีกระลอก
“เฉินฉี! เจ้านี่มันเป็นนักรบผู้กล้าอย่างแท้จริง! ตอนนี้เจ้ากำลังเข้าใกล้บัลลังก์ของเกมนี้เข้าไปเรื่อยๆ แล้วนะรู้ตัวไหม!”
“ทุกท่านลองมาเดากันดีกว่า ว่าคราวนี้ไอเท็มของเขาจะได้รับรางวัลเป็นอะไรกันนะ?”
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ ไม่มีใครสามารถสงบใจเฝ้าดูมันได้อีกต่อไป
มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะรอดชีวิตจากไปจากการแข่งขันในครั้งนี้ได้
พวกเขาจะยืนนิ่งอยู่เฉยๆ ให้เฉินฉีแข็งแกร่งมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ เฝ้ามองมันมาฆ่าพวกเขากระนั้นหรือ? ไม่มีวันซะล่ะ!
เริ่มบังเกิดเสียงกรีดร้องระงมขึ้นเป็นระยะๆ จากทั่วทั้งบริเวณสังเวียนแข่งขัน
เหล่ามืออาชีพที่ได้เข้าร่วมเริ่มทำการเผยธาตุแท้ออกมา แปรเปลี่ยนตนเองเป็นเพชฌฆาตล่าสังหารอย่างรวดเร็ว หนึ่งในนั้นคว้าจับแส้เหล็กขึ้นมา และเริ่มฟาดมันเข้าใส่ผู้คนไปทั่ว
เด็กสาวคนหนึ่งร่ำไห้ ปากเอ่ยตะโกนลั่น “อย่าฆ่าหนู หนูยังไม่อยากตาย หนูเข้ามาเพราะนึกสนุกคิดว่านี่มันเป็นแค่เกมเท่านั้นเอง…ใช่แล้ว คุณน้า นี่มันเป็นแค่เกมนะ เกมสนุกๆ น่ะ ไม่จำเป็นต้อง...!”
ฉัวะ!
เปลวเพลิงกะพริบวาบผ่าน ร่างของเด็กสาวถูกแยกออกจากกันโดยคมกระบี่ ร่วงกระแทกตกตายลงบนพื้น
เฉินฉีสะบัดกระบี่เพลิงที่ลุกไหม้ ก้าวผ่านร่างของเด็กสาว และมุ่งตรงไปยังชายวัยกลางคนผู้ที่กำลังตื่นตระหนกจนแข้งขาอ่อนแรงมิอาจวิ่งหนีได้คนต่อไป
เสียงโหยหวนของฝูงชนเริ่มที่จะดังขึ้น ดังขึ้นเรื่อยๆ
ทั่วทั้งสังเวียนเริ่มถูกปกคลุมไปด้วยทะเลโลหิต
“บัดซบ!” ซางหยิงฮ่าวเปิดตาขึ้น ก่นด่าสบถสาปแช่ง
“นั่นมันอาวุธบ้าบออะไรกัน มันก็เป็นแค่การยัดคนลงไปในที่ที่เดียว แล้วให้ฆ่าแกงกันเองเหมือนเกมแบทเทิลรอยัลไม่ใช่รึไง!” เขาคำรามลั่น
“บางทีเกมนี้อาจจะเหมาะกับฉัน...” เย่เฟย์หยูเอ่ยพึมพำ
“ถ้ารางวัลสุดท้ายของเกมๆ นี้คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์จริงๆ แล้วล่ะก็ มันแน่นอนอยู่แล้วว่าจะต้องทำให้ผู้คนกลายเป็นบ้า” เหลียวฮังกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอันหาได้ยากยิ่ง
“ใช่แล้วล่ะ มันเป็นความจริงที่ว่าบางคนน่ะมักจะชอบทำอะไรเสี่ยงๆ อยู่เสมอ และบางคนก็คิดว่าตนเองนั้นพิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ สมองของพวกเขาคงไม่พ้นจะคิดใช้ช่องทางนี้เป็นทางลัด เพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตอยู่ยืนยาวตลอดไปเป็นแน่” กู่ฉิงซานกล่าว
“คนที่แข็งแกร่ง มักจะยิ่งต้องการไขว่คว้าหาความแข็งแกร่งอยู่เสมอ ยิ่งเป็นเรื่องชีวิตนิรันดร์ ก็พอจะบอกได้เลยว่าเรื่องนี้ล่ะ ตัวล่อลวงชั้นเยี่ยมเลย”
เขาถอนหายใจและส่ายหัวด้วยความผิดหวัง “มันเป็นสิ่งล่อลวงที่มิอาจต้านทานได้ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งความปรารถนาของผู้คนที่ต้องการมีชีวิตนิรันดร์ได้หรอก”
“พวกเราไม่อาจพบร่องรอยและเส้นทางเข้าสู่สังเวียนนี้ได้เลย ทางเข้าสู่เกมมีเพียงการลงทะเบียนเข้าเล่นเท่านั้น นี่เราไม่มีวิธีอะไรที่จะสามารถจัดการกับมันได้เลยอย่างงั้นเหรอ!”
กู่ฉิงซานรู้สึกหม่นหมองมากขึ้นเรื่อยๆ
เกมแห่งชีวิตนิรันดร์ นั้นชมชอบในการดูดกลืนจิตวิญญาณของมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง และยิ่งมันได้กินจิตวิญญาณมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ตัวมันเองก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น
หากจะกล่าวโดยทั่วไปแล้ว การเดินทางข้ามมายังต่างโลกนั้น มันจะไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ของต่างโลกได้อย่างรวดเร็วเกินไป และจะไม่สามารถกลืนกินพลังวิญญาณของโลกใบนั้นได้
แต่สังเวียนในเกมนี้ จะใช้วิธีการเชื้อเชิญอีกฝ่าย เมื่ออีกฝ่ายตอบรับคำเชิญ นั่นก็เทียบเท่ากับว่าเขาได้ตกลง ลงนามในสัญญาแล้ว
ว่าจะมีส่วนร่วมในการแข่งขันท้าทาย และหากชนะก็จะได้รับรางวัล ทว่าหากพ่ายแพ้ต้องจ่ายราคาของมันด้วยจิตวิญญาณของตน
ภายในสังเวียน ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ตกตายลงระหว่างต่อสู้ จะถูกกลืนกินจิตวิญญาณโดยตัวเกมอย่างไม่มีข้อยกเว้น
หลังจากที่ตัวเกมได้ดูดกลืนจิตวิญญาณมากขึ้น และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกฎของเกม เพิ่มพูนจำนวนขีดจำกัดของผู้ที่เข้าร่วม และสังเวียนก็จะนองเลือดยิ่งขึ้น จนกระทั่งสุดท้าย สังเวียนขนาดย่อมนี้ จะแปรเปลี่ยนเป็นสังเวียนขนาดดาวเคราะห์ทั้งใบ!
แปรเปลี่ยนทุกพื้นที่ให้กลายเป็นพื้นที่ล่าสังหาร!
สำหรับไอ้เรื่องชีวิตอันเป็นนิรันดร์อะไรนั่นน่ะ...มันก็เป็นเพียงแค่คำนิยามที่ทำให้ฟังดูสอดคล้องกับผลลัพธ์ของรางวัลที่ได้รับเท่านั้นแหละ
เมื่อผู้ชนะที่กลายเป็นราชา ได้รับรางวัลที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ ร่างกายของเขาจะค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นมาร ซึ่งย่อมเป็นธรรมดาที่มารจะมีชีวิตยืนยาวจนเกือบจะใกล้เคียงกับคำว่าชีวิตนิรันดร์!
แต่เผ่ามารน่ะเป็นพวกที่มีความต้องการฆ่าสังหารอันไร้ที่สิ้นสุด พวกมันจะฆ่าๆๆ อย่างไม่หยุดพัก นี่คือเอกลักษณ์โดยธรรมชาติที่สลักลึกไว้ในจิตวิญญาณของพวกมัน แล้วท่านต้องการจะมีชีวิตนิรันดร์โดยแลกเปลี่ยนให้ตนกลายเป็นมารล่าสังหารไปตลอดกาลกระนั้นหรือ?
ในชีวิตก่อนหน้า มนุษย์นับไม่ถ้วนแทบจะกลายเป็นบ้ากับไอ้เจ้าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์นี้
สำหรับผู้คนที่ได้รับรางวัลเป็นชีวิตนิรันดร์ พวกเขาจะหยุดแก่เฒ่าจริงๆ ถึงขั้นแม้กระทั่งค่อยๆ เยาว์วัยลงกลายเป็นคนหนุ่มสาวด้วยซ้ำ
ทว่าภายในสามปี เอกลักษณ์ของเผ่ามารที่แฝงอยู่ในร่างกายจะค่อยๆ เกิดการเติบโตขึ้นในร่างกายของพวกเขาอย่างเงียบๆ และไม่มีใครสามารถตรวจพบมันได้
แต่ละประเทศและกองกำลังต่างๆ ได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตรวจสอบ และใช้แม้กระทั่งเทคนิคเทียนซวนของคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ ก็ยังไม่ค้นพบถึงสิ่งผิดปกติใดๆ
จนในที่สุด ผู้คนต่างก็หลงเชื่อกันว่า รางวัลที่ได้รับจากมัน คือชีวิตอันเป็นนิรันดร์ของจริง
ในช่วงสามปีแห่งความบ้าคลั่ง ผู้คนนับไม่ถ้วนได้โยนตัวเองลงไปในเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ จากนั้นก็ถูกเก็บเกี่ยวชีวิตโดยตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า และถูกตัวเกมดูดกลืนจิตวิญญาณไปอย่างต่อเนื่อง
ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพวกมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา นักการเมืองในแต่ละประเทศ ทั้งหมดต่างก็ทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เป็นร้อยเป็นพันวิธี ทำทุกอย่างที่พอจะเป็นไปได้ เพื่อที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้มีชีวิตนิรันดร์
เมื่อมีชีวิตนิรันดร์อยู่เบื้องหน้า ทุกสิ่งอย่างก็ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไป เรื่องของประเทศช่างหัวมันน่ะ เอาไว้ทีหลังก็แล้วกัน!
สามปีต่อมา เมื่อผู้ที่ได้รับชีวิตนิรันดร์เริ่มที่จะแปรเปลี่ยนกลายเป็นมาร ในที่สุดความจริงก็ถูกเปิดเผย ประชากรจากทั้งโลก ก็หลงเหลืออยู่แค่เพียงสามในสิบส่วนจากแต่เดิมที่ล้มหายตายจากไปถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ ในช่วงสิบวันแรกเท่านั้น
ที่สัดส่วนการล้มตายมันลดน้อยลง ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกา ได้ปรากฏขึ้นในระหว่างช่วงสามปีนั้นพอดี ทำให้ผู้คนสามารถเดินทางไปยังโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ และมุ่งมั่นทุ่มเทความสนใจไปยังการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตนเสียมากกว่า นับตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ค่อยๆ ใจเย็นลง และลดจำนวนการมีส่วนร่วมในเกมแห่งนิรันดร์มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในโลกใบนี้ เกมหมื่นสวรรค์สิ้นโลกายังคงไม่ปรากฏ มีเพียงแค่เกมแห่งนิรันดร์เท่านั้นที่เปิดตัวให้เล่นแล้วในตอนนี้
จำเป็นต้องเฝ้ารออีกกว่าครึ่งปีเชียวหรือ เกมหมื่นสวรรค์จึงจะมาถึง?
เกรงว่ามันคงจะสายเกินไป เพราะเมื่อเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ได้ดูดกลืนจิตวิญญาณมากเพียงพอแล้ว มันจะเกิดการวิวัฒนาการและเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ!
เมื่อเวลานั้นมาถึง มันก็จะทำทุกวิถีทางที่พอจะเป็นไปได้เพื่อกระตุ้นความปรารถนาในหัวใจของมนุษย์ หมายมั่นตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนผู้คนให้มาตกตายลงในสังเวียนเพิ่มมากขึ้น
อารยธรรมมนุษย์จะล่มสลายลงภายใต้สิ่งล่อลวงที่เรียกกันว่าชีวิตนิรันดร์
โลกใบนี้มันจะต้องจบสิ้นลงจริงๆ แล้วน่ะหรือ?
กู่ฉิงซานขบคิดอย่างเงียบๆ
“เฮ้เจ้าหนู มัวแต่คิดอะไรอยู่ รู้ตัวรึเปล่าว่าท่าทีของแกในตอนนี้มันเป็นอย่างไร!”
เหลียวฮังที่กำลังเฝ้าดูเขา ได้ยื่นมือออกไปตบเตือนสติอีกฝ่ายแล้วกล่าว
“เอ๋? แล้วมันทำไมงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานไม่ได้เงยหน้าขึ้น เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหนักหน่วง
“เห็นท่าทีที่แกแสดงออกมาตอนนี้รึเปล่า มันดูไม่เหมือนสีหน้าท่าทีของมนุษย์เลย” เหลียวฮังกล่าว
“แม้กระทั่งในสถานการณ์แบบนี้ ปากแกก็ยังคงพ่นแต่คำหมาๆ ออกมาเป็นอย่างเดียวเลยรึไง” ซางหยิงฮ่าวอดไม่ได้ที่จะกล่าวหยุดอีกฝ่าย
“ให้เขาพูดเถอะ” กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้น มองไปยังเหลียวฮัง
เหลียวฮังลุกขึ้น และเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้ากู่ฉิงซาน เหลือบสายตามองลงไปยังเขา
“มันว่าฉันพ่นคำหมาๆ ออกมา” เหลียวฮังจ้องเขม็ง “แต่ฉันคิดว่าพวกแกนั่นแหละที่ตอนนี้ดูเหมือนหมาขี้แพ้”
คิ้วของเย่เฟย์หยูขมวดเข้าหากัน เขาผุดลุกขึ้นและกล่าว “พูดแบบนี้ แกคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่ไหม?”
“ไม่เป็นไร ปล่อยให้เขาพูด ฉันต้องการจะฟังสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ” กู่ฉิงซานยกมือขึ้นปรามเย่เฟย์หยู
“แกน่ะมันหมาขี้แพ้ ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าแกไปรู้อะไรมา แต่พอเกิดสถานการณ์แบบนี้ขึ้น แกก็ท้อแท้ซะแล้ว นี่แกยังเป็นลูกผู้ชายอยู่รึเปล่า?” เหลียวฮังก่นด่า
เขาเอื้อมมือไปคว้าคอเสื้อของกู่ฉิงซาน และยกร่างอีกฝ่ายขึ้น
“เผื่อแกยังจำไม่ได้ ฉันอุตส่าห์ปลีกตัวกลับมาจากห้วงจักรวาลอันหนาวเหน็บ กลับมาเพื่อที่จะได้อิ่มเอมกับอาหารเลิศรสและเด็กสาวเอ๊าะๆ ไปยาวๆ แต่นี่ยังไม่ทันไร แกกลับทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้ใส่ฉันซะแล้วไม่ใช่รึไง”
“ทำหน้า ทำท่าทีราวกับว่าตัวแกเองเคยผ่านประสบการณ์วันสิ้นโลกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนอย่างนั้นแหละ ไร้สาระสิ้นดี!”
“แต่ถึงแม้ว่านี่จะเป็นวันสิ้นโลกก็แล้วมันจะทำไมวะ พวกเราเป็นลูกผู้ชายนะเว้ย เลวร้ายที่สุดก็แค่ตายไม่ใช่รึไง แต่แกกลับทำตัวอ่อนแอ เหมือนกับตัวเองฉลาด ได้คำนวณทุกอย่างเอาไว้แล้วอย่างงั้นแหละ”
“มองฉันสิ!” เหลียวฮังใช้มืออีกข้างตบลงบนหน้าอกตนเอง “ฉันเพียงลำพังที่ต่อสู้กับประเทศยักษ์ใหญ่ ยอมใช้ชีวิตอยู่ในห้วงจักรวาลอันหนาวเหน็บกว่าสามสิบปี สุดท้ายก็ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในตอนนี้ แล้วแกล่ะ!”
กู่ฉิงซานแกะมือของอีกฝ่ายออก ฝืนยิ้มออกมา “แต่ว่านะมิสเตอร์เหลียว พวกเราน่ะแตกต่างกันนะ”
“แตกต่างกันป้าแกน่ะสิ!”
“นี่แกอายุเท่าไหร่กัน? รู้ไหมว่าถึงฉันจะหลบหนี ซ่อนตัวตนมายาวนานกว่าสามสิบปี แต่ฉันยังไม่เคยคิดยอมแพ้ที่จะแก้แค้นเลย แล้วแกล่ะ วันเดียวก็ยอมซะแล้วรึไง”
กู่ฉิงซานยังคงยิ้ม ทั้งคนทั้งร่างราวกับกำลังฟื้นคืนสติ
สีหน้าของเขาดูดีขึ้นหลายส่วน วางมือลงบนไหล่ของอีกฝ่ายและกล่าว “อย่างไรก็เถอะ ขอบคุณมากนะ”
“บ๊ะ!” เหลียวฮังปัดมือออก กล่าวเย้ยหยัน “ถ้าไม่ใช่เพราะพวกสาวๆ และเด็กๆ ของฉันจะต้องคอยพึ่งพาแต้มบุญของแกแล้วล่ะก็ ฉันไม่ยินดีมายุ่งวุ่นวายกับปัญหาของแกหรอก!”
เขาหมุนตัวเดินกลับไปด้วยความโกรธ ทิ้งตัวลงบนโซฟา
กู่ฉิงซานเอ่ยคำหนึ่ง “ขอบคุณจริงๆ มิสเตอร์เหลียว”
เหลียวฮังโบกมืออย่างหงุดหงิด “ถ้าปัญหาที่เจอมันยากนัก แกก็ยิ่งต้องทำงานอย่างหนักเพื่อที่จะแก้ไขมัน ไม่ใช่มาทำหน้าเหมือนหมาหงอยแบบนี้ อย่างมากก็แค่ตาย จะไปหวาดกลัวอะไร!”
“ที่อยากจะพูดฉันก็พูดไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับตัวแกเองแล้วล่ะ”
“นั่นสินะ คุณพูดได้ถูกต้องแล้ว”
กู่ฉิงซานตอบรับคำหนึ่ง และก้าวเดินออกจากห้องไป
ซางหยิงฮ่าวกับเย่เฟย์หยูมองหน้ากันวูบหนึ่ง และรีบติดตามเขาไปอย่างรวดเร็ว
สองเท้าของกู่ฉิงซานยังคงก้าวเดินต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงบริเวณปลายยอดเขาภายนอกวิลล่า
ณ ขณะนี้ ฝนได้หยุดตกลงชั่วคราว
ดวงดาวบนฟากฟ้า แขวนเด่นเป็นสง่าในยามค่ำคืน ระยิบระยับราวกับสายน้ำแห่งโชคชะตาที่เปล่งประกายไปไม่มีที่สิ้นสุดในความมืดมิด
ไกลออกไป จะสามารถมองเห็นตัวเมืองที่ส่องแสงสว่างสีเหลืองทองประปราย ช่างแลดูอบอุ่นยิ่ง
แสงสลัวยามค่ำ สายลมที่โดดเดี่ยวพัดใบไม้จนปลิดปลิว บังเกิดเสียงคำรนของรถเหินเวหาและยานรบดังแว่วมาตามสายลมบ้างเป็นครั้งคราว
กู่ฉิงซานยืนอยู่เงียบๆ บนยอดเขา
ซางหยิงฮ่าวเดินเข้ามาข้างเขา พร้อมกับขวดไวน์ ใช้นิ้วโป้งดีดจุกไวน์จนมันเด้งออกและกล่าว
“สามสิบปีแล้วก็ยังไม่ยอมแพ้อย่างงั้นสินะ ตาแก่นั่นพูดได้ไม่เลวเลย…ดื่มนี่สักหน่อยไหม ฉันว่านายต้องการมันนะ” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“ขอบใจ” กู่ฉิงซานรับขวดไวน์ และกระดกมันเข้าปากอึกใหญ่
จากนั้นเขาก็ส่งไวน์ต่อไปให้เย่เฟย์หยู
เย่เฟย์หยูยกแก้วใบหนึ่งขึ้น ขมวดคิ้วมุ่น “อย่างไรฉันก็ชอบน้ำผลไม้มากกว่าอยู่ดี”
“ไม่ดื่มก็ไม่ดื่ม” ซางหยิงฮ่าวยื่นมือไปแย่งขวดมา และยกมันขึ้นมาจิบเอง ดื่มไปอึกใหญ่จึงกล่าว “เจ้าไวน์ขวดนี้ไม่เลวเลย คุ้มค่ากับที่ฉันต้องจ่ายออกไปถึง หนึ่งแสนแต้มเครดิตรัฐบาลกลางจริงๆ”
“แพงถึงขนาดนั้นเลย?” คิ้วของเย่เฟย์หยูยกสูงขึ้น เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ถ้างั้นก็เอามา ขอฉันลองซักแก้วหนึ่งสิ”
ซางหยิงฮ่าวบ่นงึมงำ ก่อนจะเทไวน์ลงไปแก้วของอีกฝ่าย และหันไปมองกู่ฉิงซาน
“อีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าสิ่งบัดซบอันไร้ที่มานี้ มันสามารถกระตุ้นความปรารถนาของมนุษย์ได้สำเร็จ...ผู้คนนับหมื่นจะต้องตกตายลงในวันเดียว แต่ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันพูดความจริง เพราะการแลกกับการเป็นอมตะด้วยชีวิตของเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ น่ะ มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนี่นา เรื่องไม่ดีน่ะมันเชื่อถือไม่ได้หรอกนะ”
“แต่เจ้าสิ่งยั่วยวนนั่นมันเป็นถึงชีวิตอันเป็นนิรันดร์เชียวนะ นายจะยังใจเย็นได้อีกงั้นเหรอ?” เย่เฟย์หยูเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
“ยามต้องเผชิญหน้ากับอะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตน่ะ นักฆ่าจะต้องรักษาสภาวะจิตใจของตนเองให้สงบเข้าใจ นับประสาอะไรกับหัวหน้านักฆ่าอย่างฉัน” ซางหยิงฮ่าวกล่าวพลางทุบหน้าอกตนเอง
เย่เฟย์หยูลองขบคิดเกี่ยวกับมันและกล่าว “ถ้าอย่างงั้นพวกเราก็ทำเป็นไม่สนใจมัน และเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ แบบนี้ดีไหม”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก” กู่ฉิงซานเอ่ยปากกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น “หากปล่อยทิ้งไว้ อารยธรรมของโลกก็จะเริ่มล่มสลายลง ทั่วทั้งโลกก็จะเกิดความผิดปกติขึ้น และหากเป็นเช่นนั้น พวกเราก็จะร่วงหล่นลงไปสู่หุบเหวแห่งนรกโลกันตร์ในเบื้องล่าง ไม่อาจปีนป่ายขึ้นมาได้อีกเลย”
“แต่เจ้าสิ่งนี้มันแปลกเกินไป พวกเราไม่สามารถสัมผัสหรือรับรู้ถึงมันได้เลย โจมตีมันก็ไม่ได้ แล้วพวกเราจะจัดการกับมันได้เหรอ?” ซางหยิงฮ่าวกล่าว
“นอกจากนี้ ชีวิตนิรันดร์น่ะคือสุดยอดความปรารถนาในส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ นายอาจจะสามารถหยุดคนไม่กี่คนได้ แต่จะไปหยุดทุกๆ คนได้อย่างไรกัน?”
“นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความไร้ซึ่งกำลังและอำนาจ” กู่ฉิงซานเริ่มรู้สึกปวดหัว เขายกไวน์ขึ้นมาจิบอีกครั้ง
เย่เฟย์หยูที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับการดื่ม แลบลิ้นเลียริมฝีปากและกล่าว “อย่าพึ่งท้อแท้ไป อย่างน้อยฉันก็คิดว่านายมีความสามารถในการรับมือกับพวกผีดิบนักฆ่าได้เป็นอย่างดีล่ะนะ”
“ฉันเนี่ยนะรับมือกับผีดิบนักฆ่าได้ดี?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามอย่างไม่ตั้งใจ
“ก็รับมือได้ดี โดยการให้ผีดิบนักฆ่าสู้กับผีดิบนักฆ่าด้วยกันเองอย่างไรล่ะ” เย่เฟย์หยูชี้มือมาที่ตนเอง กล่าวติดตลก
กู่ฉิงซานชะงักงันไป
“นาย…เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ? ช่วยพูดอีกครั้งจะได้ไหม?” เขาหันหน้าไปอย่างช้าๆ มองไปยังเย่เฟย์หยู
ในสายตาของเขา ราวกับกำลังมองไปยังสมบัติล้ำค่าอันหาได้ยากยิ่ง ให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังมองไปยังพระพุทธเจ้าที่กำลังลงมาโปรดสัตว์ด้วยความเมตตา
เย่เฟย์หยูรู้สึกได้ถึงสายตาอันน่าหวาดหวั่นนี้ เขาเผลอผงะถอยออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวและกล่าว “ฉันบอกว่า นายมีความสามารถในการรับมือกับพวกผีดิบนักฆ่าได้เป็นอย่างดีเชียวล่ะ”
“ไม่ใช่ประโยคนั้น”
“อ๋า? งั้นคงเป็น ‘รับมือได้ดี โดยการให้ผีดิบนักฆ่าสู้กับผีดิบนักฆ่าด้วยกันเอง’ ใช่ไหม?”
กู่ฉิงซานพยักหน้าอย่างเงียบๆ
เขาผงกหัวไม่หยุด ประกายในแววตาเริ่มเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ
เขาเม้มริมฝีปาก ท่าทีราวกับกำลังคิดไตร่ตรองถึงเรื่องราวที่สำคัญมากที่สุดในชีวิต
เย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าวเหลือบมองกันวูบหนึ่ง ทั้งสองเผยสีหน้างงงวย
พวกเขาได้ยินกู่ฉิงซานกระซิบงึมงำกับตนเอง
“ใช่แล้ว…ถ้าใช้วิธีนั้นมันก็ยังพอมีทางเป็นไปได้…”
“ในเมื่อเกมหมื่นสวรรค์ไม่ยอมเปิดตัวขึ้น ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องสร้างมันขึ้นมาเอง…”
เขายกขวดไวน์ขึ้นมากระดก และกรอกลงปากรวดเดียวจนหมดขวดในหนึ่งลมหายใจ
เย่เฟย์หยูกับซางหยิงฮ่าวเมื่อเห็นท่าทีแบบนั้นของเขา ภายในหัวใจของทั้งสองก็คลายความกังวลลงเล็กน้อย
เมื่อกู่ฉิงซานวางขวดลง ทั้งสองก็ได้ยินเขาเอ่ยพึมพำกับตนเองอีกครั้ง
“ใช่แล้ว…ฉันไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้เกมแห่งชีวิตนิรันดร์แข็งแกร่งขึ้นได้…แต่สามารถยุติการเจริญเติบโตของมันได้!”
“มีแค่ฉันเท่านั้นที่จะสามารถทำเรื่องนี้ได้ มิฉะนั้นมนุษยชาติทั้งหมดจะต้องตกตายลงอย่างแน่นอน”
สิ้นประโยคนี้ ทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานดูจะให้บรรยากาศแตกต่างไปจากเดิม
บรรยากาศของเขาในตอนนี้ กลับเปล่งรัศมีที่พิเศษอันยากจะเอ่ยอธิบายออกมาได้
ตัวเขาในตอนนี้ราวกับกำลังยืนหยัดอยู่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ ในมือถือดาบยาว และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เป็นตายกับตัวตนที่ยังไม่เคยได้รู้จัก
“เทพธิดากงเจิ้ง เฉินเตี้ยนเฮ่าตอนนี้อยู่ที่ไหนกัน?” เขาเอ่ยถาม
“บินอยู่เหนือนน่านฟ้าบนเมืองหลวง” สมองควอนตัมส่องสว่างวาบ พร้อมกับน้ำเสียงของเทพธิดากงเจิ้งเอ่ยตอบ
“ดีมาก ส่งมันมารับตัวฉันขึ้นไป”
“ใต้เท้าผู้ทรงเกียรติ คุณมีปัญหาอะไรบางอย่างหรือเปล่า?”
“เปล่า แต่คุณน่ะมีแน่ มีงานต้องทำ”
“ไม่ทราบว่าคำสั่งของใต้เท้าผู้ทรงเกียรติคือสิ่งใด?”
กู่ฉิงซาน “มาด้วยกันกับฉัน มาร่วมกันเปิดศักราช สร้างยุคสมัยใหม่ขึ้นกัน!”
.......................................