ตอนที่ 161 การแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า
“ในเมื่อสามปราชญ์แห่งไตรภาคีอยู่ในตำแหน่งที่พร้อมสู้แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็มาเริ่มกันเถอะ” ซินจุนจีกล่าว
มองไปยังไตรภาคีแห่งมนุษยชาติและหกมารนักปราชญ์ที่เผชิญหน้ากันโดยมิคิดประนีประนอม ซินจุนจี ก็ค่อยๆ ถอยฉากออกมาทีละก้าว ทีละก้าวอย่างเงียบๆ
นี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้นที่ปรากฏขึ้น!
ในขณะนี้ไตรภาคีกำลังมุ่งความสนใจอยู่กับหกมารนักปราชญ์ ย่อมมิมีเวลามาใส่ใจกับการเคลื่อนไหวเล็กๆ น้อยๆ ที่อยู่ข้างเคียง
ซินจุนจีตบลงในถุงสัมภาระอย่างรวดเร็ว และหยิบบางสิ่งบางอย่างออกมา
มันคือหม้อดินเผาธรรมดาๆ ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นสีเทา
ทว่าหากลองตั้งใจสังเกตอย่างรอบคอบ คุณจะพบกับชั้นกรงเมฆบางๆ ที่อยู่บนหม้อดินเผา มันวูบไหวไปมาราวกับการปรากฏตัวขึ้นของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนและจางหายไปท่ามกลางความโกลาหล
ซินจุนจีจ้องมองสิ่งนี้ แววตาของเขาเริ่มปรากฏความร้อนแรงและบ้าคลั่ง
นี่คือ ‘สมบัติมาร’ ที่จอมมารได้มอบมันไว้กับเขา ก่อนที่จอมมารจะจากไป และด้วยเจ้าสิ่งนี้ จึงทำให้เขาได้รับสถานะกลายมาเป็นผู้นำของกองทัพมารโดยตรง
ด้วยสิ่งนี้ เขาจึงกลายเป็นที่ยอมรับของเผ่ามารทุกผู้ทุกตน ให้รับหน้าที่บัญชากองทัพมารแห่งโลกใบนี้
ซินจุนจียิ้มเยาะ กอดหม้อดินไว้ในอ้อมแขนโดยเล็งปากหม้อไปยังทิศทางของไตรภาคีและหกมารนักปราชญ์ที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่
“เทพมารนับอนันต์ มารนักปราชญ์ผู้แข็งแกร่ง จงฟังคำสั่งข้า จงชำระล้าง!”
ลึกลงไปในธารเมฆามาร ปรากฏแสงสีดำเข้มนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาอยู่เหนือผิวน้ำ จากนั้นจึงค่อยแปรเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นตัวอักษรยึกยือมากมายที่แตกต่างกันออกไป
ทั่วทั้งธารน้ำ บัดนี้แลดูกับแผ่นยันต์ขนาดยักษ์ ทว่าแรงกดดันที่มันปลดปล่อยออกมากลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
แสงสีดำบนผิวน้ำเพิ่มสูงขึ้น ปราณของเผ่ามารก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบนอย่างรวดเร็ว
ยันต์แผ่นยักษ์ใบนี้ราวกับว่าได้ถูกกระตุ้น
เหนือธารน้ำ ทุกสิ่งอย่างพลันหยุดนิ่ง แม้กระทั่งคลื่นลมเหนือน้ำก็ยังหยุดนิ่ง จนสามารถมองเห็นได้ ทุกสิ่งอย่างทั่วบริเวณมิอาจขยับเขยื้อนได้แม้เพียงนิด
สีหน้าของสามไตรภาคีเผยถึงความตกใจ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นโกรธแค้น บัดนี้พวกเขาได้ล่วงรู้แล้วว่าแท้จริงแล้วการเดิมพันต่อสู้ในครั้งนี้มันเป็นเพียงอุบาย!
ทว่าพวกเขากลับมิอาจขยับกายได้แม้เพียงครึ่งนิ้ว
เฉกเช่นเดียวกันกับมารนักปราชญ์ทั้งหกที่กำลังต่อสู้อยู่กับพวกเขา
“ฮ่าๆๆ ธารมารน่ะคือสัญลักษณ์แห่งพลังอำนาจของมารสวรรค์ สัญลักษณ์เทพมารที่ปรากฏขึ้นอยู่ในตอนนี้น่ะ ใช้เวลาแกะสลักยาวนานกว่าหกสิบปีจึงเสร็จสมบูรณ์เลยนะรู้ไหม และในที่สุด วันที่ได้ใช้มันก็มาถึงเสียที!” ซินจุนจีแหงนหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ในวินาทีต่อมา ทุกตัวอักษรยึกยือบนผิวน้ำ ก็แปรเปลี่ยนเป็นวงแสงสีดำลอยขึ้นมาจากธารเมฆามาร และเข้าปกคลุมทั้งไตรภาคีและหกมารนักปราชญ์
แสงทะมึนเข้าครอบคลุมทั้งสองฝ่ายอย่างสิ้นเชิง
กระทั่งเก้าตัวตนในขอบเขตประทับเทพที่แข็งแกร่งที่สุด ก็ยังมิอาจเคลื่อนไหวใดๆ ได้ภายใต้แสงทะมึนเหล่านี้
แม้นี่จะเป็นเทคนิคมนตราที่ใช้ในการผนึกที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดก็ตามที แต่ทว่ามันก็ยังมิอาจสร้างบาดแผลหรือก่อให้เกิดอันตรายใดๆ กับไตรภาคีแห่งมนุษยชาติได้
แต่ซินจุนจีดูจะมีความสุขยิ่ง เขามิได้เตรียมสิ่งนี้มาเพียงหนึ่งอยู่แล้ว ปากอ้ากว้างพ่นเลือดสีฟ้าออกมา คำรนอย่างดุดันและเริ่มร่ายคาถา
“โลกสิบทิศ!”
“อาณาเขตทะเลอันไร้ที่สิ้นสุด”
“ถูกปล้นชิงโดยอสงไขยนับร้อยล้าน”
“จงปลดปล่อยมารสวรรค์นับไม่ถ้วนให้เป็นอิสระ!”
เมื่อเขาเริ่มเอ่ยปากร่ายคาถาที่แลคล้ายบทกวีออกมา ทุกสิ่งในธารเมฆามารก็พลันหยุดนิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกระแสคลื่น ระลอกคลื่น น้ำวน ทุกสิ่งอย่างล้วนหยุดนิ่งไปพร้อมกัน
ซินจุนจีหัวเราะร่า ยกหม้อดินเผาชูขึ้นเหนือศีรษะ ปากเอ่ยตะโกนกล่าว “จงน้อมรับ!”
ธารเมฆามารม้วนตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนหมอกทึบให้กลายเป็นบอลน้ำ ก่อนจะลอยเข้าหายเข้าไปในหม้อดินเผา
น้ำเบื้องล่างของธารเมฆามาร สูญสิ้นไม่มีเหลือ แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นเม็ดทรายสีเหลืองนวลราวกับทะเลทรายแห้งแล้งรกร้างไร้ซึ่งชีวิตชีวา
ทั่วทั้งธารเมฆามารบัดนี้ไม่เหลือเค้าโครงเดิมอีกต่อไป ก้นแม่น้ำเหือดแห้ง ไร้ซึ่งพลังงานวิญญาณใดๆ
ซินจุนจีพ่นเลือดออกมาอีกครั้ง หมายมั่นพยายามที่จะกระตุ้นหม้อดินผา ปากเอ่ยตะคอกอย่างดุดัน “มารสวรรค์จงปรากฏตัว!”
ในหม้อดินเผา บังเกิดแสงสีดำพวยพุ่งออกมาโถมเข้าใส่ชั้นพื้นทรายนับไม่ถ้วนเบื้องล่างของธารเมฆามาร
คราวนี้เม็ดทรายทั้งหมด จู่ๆ ก็หายวับไป
แท้จริงแล้วกลับปรากฏว่า เม็ดทรายอันละเอียดอ่อนเหล่านี้ มันทำหน้าที่เป็นตัวกลบฝังธารเมฆามารที่แท้จริงเอาไว้นั่นเอง
ในขณะนี้ ด้วยเทคนิคมนตราของซินจุนจี ทำให้สิ่งที่ถูกซ่อนเร้นไว้ในธารเมฆามารที่แท้จริงปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกผู้คน
มองไปยังรูปปั้นสีดำทึบ ที่วางเรียงรายเชื่อมต่อกันเป็นทิวแถว จัดวางเรียงๆ กันไปทั่วทั้งธารน้ำใหญ่
รูปปั้นเหล่านั้น ทุกตนล้วนครอบครองรูปร่างของหญิงสาวที่ดูงดงามและทรงเสน่ห์
พวกเธอสวมชุดชาววังที่บางเบาราวกับปีกจักจั่น แต่ละรูปล้วนแสดงกิริยาท่าทีที่อ่อนช้อย งดงาม แตกต่างกันออกไป
ซินจุนจีมองไปยังรูปปั้นของหญิงเหล่านั้น แม้กระทั่งดวงตาที่ดุดันของเขาก็ยังปรากฏถึงความหวาดกลัววาบผ่าน
เขาพยายามรวบรวมความกล้าและตะโกนไปยังมารนักปราชญ์เบื้องหลังที่ยังหลงเหลืออยู่ “พลังมารของข้าได้หมดลงโดยสิ้นเชิงแล้ว พวกเจ้าทั้งหมดจงเร่งมาช่วยข้าโดยเร็ว”
หม้อดินเผาถูกนำออกมาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ทว่ากลับทำให้เขาอ่อนล้าและสูญสิ้นพลังมารทั้งหมดไป
อีกหกมารนักปราชญ์ที่เหลือตระหนักว่านี่กำลังถึงช่วงเวลาสำคัญ ตนแล้วตนเล่ายื่นมือไปยังทิศทางที่ซินจุนจียืนอยู่ และถ่ายเทพลังมารจากทั่วทั้งร่างส่งออกไป
ด้วยความช่วยเหลือจากพลังมารอันอุดมสมบูรณ์ทั้งหกสาย สีหน้าของซินจุนจีก็ถูกกระตุ้นกลับมาดูดีขึ้น
เขาเริ่มปลดปล่อยวิชาลับไปยังหม้อดินเผาอีกครั้ง ครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะยื่นนิ้วมือชี้ออกไปยังรูปปั้นหญิงสาวที่ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นสีดำทึบ
ปากเอ่ยตะโกนก้อง “ท้องนภาเป็นใจ อิสระบังเกิด วิญญาณแห่งมารสวรรค์ จงหวนกลับคืนสู่ที่สิงสถิตของตน”
หม้อดินเผาบังเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
รูปปั้นนับไม่ถ้วนเบื้องล่างก็บังเกิดการสั่นไหวเช่นกัน
วิ้ง!
ตามติดมาด้วยเสียงหวีดกึกก้องดังลอดออกมาจากหม้อดินเผา สั่นสะท้านไปทั้งสวรรค์และโลก
ด้วยเสียงนี้ ราวกับว่ามีพลังงานที่มองไม่เห็นกระทบเข้ากับรูปปั้นที่เรียงรายอยู่เบื้องล่าง
ชั้นสีดำที่อัดแน่นบนรูปปั้นเริ่มหลุดลอก ร่วงหล่น และจางหายไป
รูปปั้นหญิงสาวในชุดชาววังหวนคืนกลับมามีชีวิตขึ้นอีกครั้ง
ชั้นมืดทะมึนค่อยๆ หลุดลอก เผยให้เห็นถึงผิวขาวราวครีมหิมะ ใบหน้างดงามราวกับจะดูดกลืนวิญญาณของผู้ที่เฝ้ามอง คู่ดวงตาที่ทะมึนทึบบัดนี้เผยให้เห็นถึงความโฉบเฉี่ยวดูน่าหลงใหล ส่งผลให้ผู้คนไม่อาจละสายตาไปจากมันได้
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของพวกเธอก็ยังคงอยู่ภายในเงามืด มิอาจมองเห็นถึงรูปลักษณ์ที่แท้จริงได้
หญิงสาวในชุดชาววังนับพันเหินบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างอ่อนโยน ร่างของพวกเธอกระจายกันไปปกคลุมทั้งผืนฟ้า ราวกับเทพธิดาแห่งวังสวรรค์กำลังจุติลงมาในโลกของปุถุชน
สองหญิงงามที่กำลังโบยบินอยู่ หันไปทางซินจุนจี และพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
แม้ปากของพวกเธอจะหุบนิ่ง มิได้เอ่ยคำใด ทว่าแท้จริงแล้วกลับปรากฏถึงสรรพเสียงนับล้าน ดังกึกก้องอยู่ในหูของซินจุนจี
“ได้กลับมายังที่นี่อีกครั้งในรอบหกสิบปี อสูรวิญญาณเทวะเช่นเจ้ากลับเปี่ยมไปด้วยศักยภาพเช่นนี้ เจ้านับว่ามีความสำเร็จที่ดีไม่เลวเลย”
“มันมิใช่เลย ทุกคนล้วนตั้งใจฝึกฝนและตรากตรำทำหน้าที่อย่างหนัก ผลจึงเป็นดั่งที่ท่านเห็น” ซินจุนจีประสานกำปั้น ฝืนยิ้มบนใบหน้า
เมื่อสองหญิงสาวมองไปยังท่าทีของเขา พวกเธอก็มิได้เอ่ยคำใดอีก ทว่ากลับหันไปมองข้างกายเขา และร่อนลงไปยังข้างหม้อดินเผาแทน
ซินจุนจีรีบถอยฉากออกมา เปิดทางให้พวกเธอ
สองหญิงงามบินประกบซ้ายขวา ในมือถือหม้อดินเผา มุ่งตรงไปยังไตรภาคีอย่างช้าๆ
สองนางเหินบินไปและใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ขณะเดียวกันร่างกายของทั้งสองก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หม้อดินเผาในมือก็ขยายใหญ่ขึ้นไม่แตกต่างกัน
เมื่อมาถึงวงแสงสีดำ หม้อดินเผาก็มีขนาดใหญ่มากพอที่จะกวาดเอาไตรภาคีและหกมารนักปราชญ์เข้าไปภายในได้
ในเวลานั้นเอง มิติที่ว่างเปล่าภายในหม้อดินก็เปิดออก เผยให้เห็นถึงแสงสว่างวาบจากดวงอาทิตย์
ภายในรังสีแสงของดวงอาทิตย์ ปรากฏคลื่นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอันยากจะพรรณนาและบางครั้งก็ปรากฏประกายร่างแลดูน่าสยองขวัญกะพริบผ่านมาและหายไป
สองหญิงสาวในชุดชาววังได้วาดหม้อดินเผาออกไป และนำพาไตรภาคีกับมารนักปราชญ์ทั้งหกบินหายเข้าสู่แสงสว่างของดวงอาทิตย์
ทันทีที่ทั้งหมดหายลับเข้าไป รังสีแสงของดวงอาทิตย์ก็ค่อยๆ จางหายไปและกลายเป็นเพียงมิติที่ว่างเปล่าอย่างช้าๆ
ซินจุนจีที่แทบจะกลั้นลมหายใจเอาไว้ตลอดเวลา จนกระทั่งถึงช่วงเวลานี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่นออกมา
“ฮ่าๆๆ หายไปแล้ว! พวกเขาหายไปแล้ว! นับจากนี้ไปจะไม่มีใครได้พบเห็นแม้กระทั่งร่องรอยของไตรภาคีแห่งมนุษยชาติอีก!”
ง่ายดาย! ช่างเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง! ไตรภาคีจะมิอาจกลับมาในโลกใบนี้ได้อีกต่อไปแล้ว
ห้วงอารมณ์ของซินจุนจีบัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขล้น
“ซินจุนจี แล้วอีกหกมารนักปราชญ์เล่า พวกเขาหายไปไหน?” หนึ่งในมารนักปราชญ์ที่หลงเหลืออยู่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ซินจุนจีที่กำลังอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดี เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เขาก็เอ่ยปากออกมา “พวกเขาได้เข้าไปยังอาณาจักรของมารสวรรค์ เจ้าสามารถมั่นใจได้เลยว่าไตรภาคีน่ะได้ตายไปแล้ว ส่วนคนของพวกเราที่เหลือก็จะถูกทิ้งเอาไว้ที่นั่น เพื่อฝึกฝนเทคนิคฝึกยุทธของมารสวรรค์ ในอนาคต ความแข็งแกร่งของพวกเขาจะต้องเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว ชนิดที่ว่าแม้กระทั่งข้าก็มิอาจเทียบเคียงได้”
พอมารนักปราชญ์ได้ฟัง คำพูดที่ติดอยู่ในริมฝีปากของมันก็ถูกกลืนลงลำคอกลับไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เข้าสู่อาณาจักรมารสวรรค์ ย่อมไม่มีทางรอดชีวิตกลับออกมาได้อีกใช่หรือไม่?
ไม่ต้องกล่าวถึงร่างเนื้อ แม้กระทั่งจิตวิญญาณก็ยังถูกกัดกินไม่มีเหลือ
การสูญเสียหกมารนักปราชญ์ไป ทว่าแลกเปลี่ยนกับการที่ไตรภาคีแห่งมนุษยชาติได้ตกตายลง ธุรกิจในครั้งนี้ยังนับว่าคุ้มค่า
และในส่วนของมารนักปราชญ์ที่ยังเหลืออยู่ หากพวกมันรู้จักประมาณตน หรือยอมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ซินจุนจีก็ยังพอที่จะเก็บพวกมันไว้ชุบเลี้ยงได้อยู่
“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาไปเก็บเกี่ยวผลไม้ผลไม้แห่งชัยชนะกันแล้ว”
เขาเลียริมฝีปาก จ้องมองไปยังตำแหน่งทิศทางขอกองทัพมนุษยชาติที่อยู่ห่างไกลออกไป
ผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ จะเผยปฏิกิริยาเช่นไรออกมากันนะ หากพวกมันถูกโจมตีโดยอสูรวิญญาณที่ตนเองไว้ใจเสมอมา
ปรากฏรอยยิ้มที่ดูโหดเหี้ยมบนใบหน้า ก่อนจะหันไปมองร่างของมารสวรรค์ที่กระจายตัวอยู่ทั่วทุกที่
มารสวรรค์ที่ทรงเสน่ห์หันไปพยักหน้าให้เขาเล็กน้อย
วินาทีต่อมา ร่างทรงเสน่ห์อันน่าหลงใหลของสาวชาววังทั้งหมดก็หายวับไป มิอาจมองเห็นร่องรอยได้อย่างสมบูรณ์...
........................................