ตอนที่ 160 เดิมพันต่อสู้
ซินจุนจีในชุดคลุมขาวกวาดสายตามองดูสามปราชญ์แห่งมนุษยชาติทีละคนทีละคนอย่างสงบ ขณะเดียวกันก็ขบคิดถึงแผนการบางอย่างไว้ในจิตใจ
แผนการนี้ได้เตรียมการมาเป็นเวลานานกว่าทศวรรษแล้ว มันเริ่มขึ้นก่อนที่จอมมารจะมาถึงโลกใบนี้เสียอีก
แต่เวลานี้ท่านจอมมารกลับเลือกที่จะเดินทางไปยังโลกอื่น และฝากฝังสงครามในครั้งนี้ไว้ให้พวกเขาเป็นคนรับผิดชอบ
เผ่ามารต่างโลกได้จับกลุ่มรวมตัวกันกับจอมมารและเดินมุ่งหน้าเดินทางไปยังอีกโลกหนึ่ง เพื่อหมายจะเพลิดเพลินกับรสผลไม้อันหอมหวานที่เรียกกันว่า ชัยชนะ
โดยไม่คิดจะให้พวกเขาได้รับส่วนแบ่งใดๆ
ช่างน่ารังเกียจจริงๆ!
เมื่อสงครามได้ดำเนินต่อไปมาจนถึงสถานการณ์นี้ ตนเองได้มาถึงทางตัน กลับมอบหมายให้พวกเราต้องมาต่อสู้เสี่ยงตายแทนเสียนี่
นักบวชเต๋าหน้าแดงนั่นคงจะเป็นน้อมสวรรค์ซวนหยวน ตามแผนแล้ว ตราบเท่าที่เราเก็บซ่อนความลับของแผนการ มิให้เขาล่วงรู้ได้ ก็นับว่าแผนการได้ประสบความสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ต่อมาก็นางเซียนไป่ฮั่ว ถึงแม้ว่านางจะครอบครองพลังที่ทรงพลานุภาพ ทว่าก็เป็นเพียงคนขี้เกียจใช้ชีวิตไปวันๆ และมิใช่ตัวตนที่ใช้สมองขบคิดอะไรอย่างลึกซึ้ง
ส่วนที่เหลือคงจะเป็นนักพรตเป่ยหยวนที่กล่าวกันว่าในบรรดาไตรภาคี ตราบใดที่อีกสองปราชญ์ได้ทำการตัดสินใจไปแล้วนั้น เป่ยหยวนก็จะอนุมัติเห็นด้วยและลงมือปฏิบัติตามไปโดยปริยาย ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้รับผิดชอบในการสนับสนุนเท่านั้น
ดังนั้นในเวลานี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการโน้มน้าวซวนหยวนหลงกล
หากเรื่องทุกอย่างนี้สำเร็จผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เมื่อจอมมารหวนกลับคืน โชคชะตาของตัวข้า ซินจุนจี ก็จะทะยานสูงขึ้นอย่างไร้คู่เปรียบ!
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซินจุนจีในชุดคลุมขาวก็ปัดความลังเลทั้งหมดทิ้งไป
“อามิตตาพุทธ สหายเต๋าซิน มิได้พบเจอกันเป็นเวลานานแล้วนะ” เป่ยหยวนกล่าว
ซินจุนจี “มิต้องมาชวนเอ่ยเรื่องราวไร้สาระ ข้ามาที่นี่เพื่อไถ่ถามเจ้าเพียงหนึ่งเท่านั้น ว่ายามนี้เจ้าหมายมั่นจะก่อสงครามจริงๆ งั้นหรือ?”
“แล้วเจ้าคิดว่าที่เห็นอยู่นี่พวกเราทำเป็นเล่นกระนั้นหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วส่งเสียงฮึฮะในลำคอ
ซินจุนจีหันไปมองเธอและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เซี่ยเต๋าหลิง เหตุใดเจ้าจึงจริงจังนักเล่า”
เซี่ยเต๋าหลิงมองเขาและเอ่ยปากกล่าว “กล่าวแบบนี้ก็หมายความว่าทางฝั่งเจ้าไม่คิดจริงจังใช่หรือไม่ เช่นนั้นพวกเผ่ามารก็ออกจากโลกใบนี้ไปเสีย ไปมองหาโลกใบอื่นอย่ามายุ่งวุ่นวายกับโลกของพวกเราอีก!”
ซินจุนจีถอนหายใจ “การมองหาโลกใบอื่นน่ะมันมิยากหรอก เพียงแต่เราจำต้องยึดภูมิลำเนาแห่งนี้มาไว้ในกำมือให้ได้เสียก่อน จึงจะสามารถเดินทางต่อไปได้อย่างสะดวกใจ”
“ฉะนั้นคงไม่มีอะไรจำเป็นต้องพูดกันอีกแล้ว มาซัดกันซักตั้งเลยดีกว่า” ระหว่างกล่าว ในมือของซวนหยวนก็หยิบตราสัญลักษณ์บางอย่างออกมา
มันเป็นตราสัญลักษณ์ที่เปล่งประกายสีสันสดใส ดูเหมือนว่าตราบใดที่น้อมสวรรค์ซวนหยวนวาดแขนออกไป เทคนิคมนตราอันทรงพลังนี้ก็จะถูกเปิดใช้งานทันที
“มิจำเป็นต้องรีบร้อนไป” ซินจุนจีเอื้อมมือออกไปปราม ส่งสัญญาณหยุดเขา
“อะไร? หรือเจ้าต้องการจะยอมจำนน?” ซวนหยวนกล่าวอย่างไม่คาดคิด
“เหอะ พวกเรามีเป็นสิบตน ทว่าเจ้ามีเพียงสาม ฝ่ายที่ต้องยอมจำนนน่ะมันเจ้าต่างหาก” มารนักปราชญ์ตนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกมา
ซินจุนจีหันหน้าไปสาดสายตาใส่มารนักปราชญ์ตนนั้นวูบหนึ่ง และมันก็หุบปากลงทันที
ซินจุนจี “หากเริ่มต่อสู้กันจริงๆ ไม่ว่าทางฝั่งเจ้าหรือข้า ย่อมจะมีคนใดคนหนึ่งตกตายลงที่นี่เป็นแน่แท้”
“ไม่ว่าพวกเจ้าหรือข้าก็คงจะรู้ดี ว่ากว่าจะฝึกยุทธมาจนถึงขั้นนี้มันต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมายเพียงใด จนสุดท้ายจึงก้าวเข้าสู่ขอบเขตประทับเทพ ทว่าสุดท้ายก็ต้องมาห้ำหั่นกัน คิดจะปล่อยให้พื้นฐานวรยุทธที่สั่งสมมากลายเป็นซากปรักหักพังลงที่นี่กระนั้นหรือ?”
น้ำเสียงและท่าทีของเขาช่างฟังดูอ่อนโยนและจริงใจ ทำเอาผู้ได้ยินต้องคล้อยตามโดยไม่รู้ตัว
“ยิ่งไปกว่านั้น” ซินจุนจีมองไปยังผู้คนทั้งหมดที่มิเอ่ยคำใดออกมา ก่อนจะเริ่มกล่าวต่ออีกครั้ง “เจ้ายินดีที่จะเสียสละเหล่าผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติกระนั้นหรือ ขอบอกก่อนนะว่าสำหรับข้าน่ะ ไม่รังเกียจหรอกที่จะให้มารใต้บังคับบัญชาตกตายในสนามรบน่ะ”
“เจ้าหมายจะสื่อถึงสิ่งใด?” เซี่ยเต๋าหลิงถาม
“มันจะไม่ดีกว่าสำหรับทั้งสองฝั่งหรือ หากพวกเรามา ‘เดิมพันการต่อสู้’ กัน มิต้องสู้รบกันถึงชีวิต แพ้ชนะตัดสินกันด้วยการเดิมพันเท่านั้น” ซินจุนจีในชุดคลุมขาวยิ้มและเอ่ยออกมา
“เช่นนั้นจะตัดสินได้อย่างไรว่าผลลัพธ์นี้คือชัยชนะ และผลลัพธ์ใดคือพ่ายแพ้?” ซวนหยวนถาม
“หากเจ้าชนะ พวกเราจะยอมจำนนทันที และจากนี้ไปพวกเราขอสาบานด้วยหัวใจแห่งมาร ว่าจะยินยอมเป็นผู้ติดตามของพวกเจ้า” ซินจุนจีกล่าว
“น่าสนใจดีนี่ แล้วถ้าหากพวกเราพ่ายแพ้ล่ะ?” ซวนหยวนถามต่อ
“คงต้องร้องขอให้ไตรภาคีออกไปจากโลกใบนี้ และมอบดินแดนแห่งนี้ให้กับพวกเรา” ซินจุนจีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
จู่ๆ เซี่ยหลิงเต๋าก็กล่าวออกมา “ก่อนที่พวกมารจากต่างโลกยังไม่มาเยือน มนุษยชาติและมวลมารทุกผู้ทุกตนก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายอยู่กับทางฝั่งตน ต่างฝ่ายต่างมิได้กระทำสิ่งใด วันเวลาสงบสุขผ่านพ้นมากว่าหลายพันปี แล้วเหตุใดยามนี้จึงมิสามารถอยู่ร่วมกันได้?”
ซินจุนจีรำลึกถึงฉากต่างๆ มากมายในครั้งอดีต และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “บุคคลที่ก้าวเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน มิอาจอยู่ร่วมกันได้”
“นั่นไม่ถูกต้อง” เซี่ยเต๋าหลิงจ้องมองเขา ปากเอ่ยกล่าวอย่างจริงจัง “จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้ามิอาจต้านทานได้อย่างแน่นอน มิฉะนั้นแล้วพวกเจ้าคงจะไม่ยอมแพ้ และกลายมาเป็นสุนัขรับใช้ของพวกมารจากต่างโลกเช่นนี้”
“นี่...” ซินจุนจีนิ่งคิดสักพัก ก่อนจะกล่าว “งั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หากเจ้าชนะ มิเพียงแต่พวกเราจะกลายเป็นผู้ติดตามของเจ้า แต่ยังจะบอกถึงความลับที่เอ่ยถามมาเมื่อครู่ให้อีกด้วย”
สามปราชญ์หันมามองหน้ากันและกัน ทั้งหมดเงียบไปครู่หนึ่ง
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังสื่อสารกันผ่านจิตสัมผัสเทวะเพื่อหารือถึงการตัดสินใจในครั้งนี้
ซินจุนจีรับรู้ถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมิคิดเร่งเร้าใดๆ ได้แต่เฝ้ารอทั้งสามอย่างอดทน
ไม่นานนัก
ซวนหยวนก็เปิดปากถาม “เจ้าต้องการเดิมพันต่อสู้อย่างไร?”
ในหัวใจของชายชราในชุดคลุมขาวบังเกิดความสุขล้น ทว่าสีหน้าของเขากลับยังคงเรียบเฉย “นั่นง่ายดายมาก เพียงฝั่งเจ้าและข้า ทั้งสองต่อสู้กัน จำกัดการใช้ออกเพียงสิบกระบวนท่าเท่านั้น หากฝ่ายใดใช้เกินกว่าก็นับว่าพ่ายแพ้”
“ตัวต่อตัว?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม
“มันจะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร” ซินจุนจีกุมมือประสานหน้าอกและกล่าว “สามปราชญ์แห่งมนุษยชาตินั้นเป็นตัวตนที่พวกเรามิอาจรับมือเพียงลำพังได้ โปรดต่อให้สักเล็กน้อยสองต่อหนึ่งเป็นอย่างไร?”
ขอบเขตของเผ่ามารนั้นสามารถยกระดับได้รวดเร็วยิ่ง ทว่าในด้านความแข็งแกร่งแท้จริงแล้วกลับไม่สามารถตามติดไปในขอบเขตเดียวกันได้ จำต้องประลองแบบสองต่อหนึ่ง พวกเขาจึงจะสามารถรับมือกับไตรภาคีแต่ละคนได้
หากทั้งสองฝ่ายต้องการที่จะฆ่าสังหารกันและกัน ภายในสิบกระบวนท่า กล่าวได้ว่ามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย มิต้องกล่าวถึงในเรื่องที่ว่ายังมีผู้คนมากมายคอยจับตาดูอยู่อีก
เมื่อสามปราชญ์เห็นว่าเงื่อนไขนี้มันก็ดูยุติธรรมดี จึงบังเกิดความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยในจิตใจ
“แต่หากในกรณีที่ฝั่งเจ้าพ่ายแพ้ขึ้นมา เจ้าจะยินดีที่จะติดตามข้าและคนอื่นๆ จริงๆ กระนั้นหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วถามอีกครั้ง
“ไม่ว่าเจ้าหรือข้า ต่างก็มีสถานะเป็นนักปราชญ์ เมื่อเปล่งวาจาออกไปแล้วทว่ากลับผิดคำมั่น พวกเราจะมิกลายเป็นตัวตลกหรอกหรือ?”
“ตกลง เช่นนั้นก็มาต่อสู้กัน ในรูปแบบการเดิมพัน” นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว
เมื่ออีกสองปราชญ์ได้ยินที่เธอกล่าว พวกเขาก็พยักหน้าเห็นด้วย
ซินจุนจีมองไปยังเซี่ยเต๋าหลิง ด้วยสายตาคาดไม่ถึง เขาชักจะไม่แน่ใจซะแล้วว่าเหตุใดวันนี้นางเซียนจึงได้ดูพูดจารู้เรื่องเช่นนี้
แต่จะอย่างไรก็ช่างมันเถอะ เพราะหากตกปากรับคำไปแล้วละก็ สามปราชญ์ก็นับว่าได้พ่ายแพ้ไปแล้ว…
“เอาล่ะ หากสู้กันที่นี่ เกรงว่าเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าจะได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นข้าคงต้องขอให้พวกเจ้าโปรดตามข้ามา” ซินจุนจีในชุดคลุมโบกมือ และบินตรงไปยังธารเมฆามาร
สามปราชญ์ไตร่ตรองดูเล็กน้อย ก่อนจะบินตามติดเข้าไปทันที
เนื่องจากขณะนี้พวกเขาทั้งสองฝ่ายหยุดพูดคุยกันอยู่ตรงกึ่งกลางของทั้งสองกองทัพ หากนักปราชญ์ใช้ออกด้วยเทคนิคมนตราในที่แห่งนี้ เกรงว่าจะมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะส่งผลกระทบต่อกองทัพทั้งสองฝั่ง
ซินจุนจีตระหนักได้ว่าทั้งสามกำลังบินตามมา มุมปากของเขาก็เผยอขึ้นเล็กน้อย
เงื่อนไขการพูดคุยมิได้เป็นกุญแจสำคัญ การเดิมพันต่อสู้ก็มิใช่กุญแจสำคัญเช่นกัน กุญแจสำคัญจริงๆ ก็คือการที่เขาสามารถนำตัวสามปราชญ์ข้ามธารเมฆามารไปได้ต่างหาก
ตราบเท่าที่สามปราชญ์ก้าวเข้ามายังธารเมฆามาร เรื่องราวทุกอย่างนับจากนี้ก็จะตกอยู่ในการควบคุมของพวกเขาโดยสมบูรณ์!
ในหัวใจของซินจุนจี บังเกิดความสุขล้นจนแทบคลั่ง
สามปราชญ์แห่งมนุษยชาติจะต้องตกตายลงที่นี่ เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะทำลายมิติ และอาศัยฝ่าช่องว่างของมันออกมาได้
แต่ในกรณีนั้น มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะกลับออกมาอยู่ดี ฉะนั้นจึงไม่ต้องหวั่นวิตกไป
นอกจากนี้ สำหรับเจ้าพวกผู้ฝึกยุทธแห่งมนุษยชาติ เมื่อช่วงเวลานั้นได้มาถึง พวกมันทั้งหมดก็จะต้องตกตาย
และโลกใบนี้ก็จะเปรียบดั่งผลไม้แห่งชัยชนะที่สามารถเด็ดลงมาดอมดมและขบเคี้ยว โดยฝีมือของเขา จากนั้นเมื่อจอมมารได้ทราบข่าว ท่านจะต้องกล่าวสรรเสริญและตกรางวัลให้แก่เขาอย่างงาม!
ทีนี้เจ้าพวกสิ่งมีชีวิตที่หลงเหลืออยู่ทั้งหลายก็จะต้องมาคลานอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า กลายเป็นเพียงตัวตนอันต่ำต้อย หากมิคิดยอมมาอยู่ใต้บังคับบัญชา ข้าก็จะทรมานมันจนตกตายเสีย!
ชายชราในชุดคลุมขาวขบคิดและพยายามอย่างเต็มกำลังที่จะรักษาจิตใจของตนให้สงบ รักษาท่วงท่าในการบินให้มั่นคงหนักแน่นมิเผยถึงท่าทีผิดสังเกตใดๆ ออกมา
มารนักปราชญ์กว่าสิบตนและสามปราชญ์แห่งมนุษยชาติได้บินเข้าไปในเมฆหมอก หายเข้าไปในธารเมฆามาร
“หยุดก่อน ที่แห่งนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว” ชายชราชุดคลุมขาวมองไปยังตำแหน่งปัจจุบันและเอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ
และทุกคนที่ตามมาก็หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
“ถ้าเช่นนั้นก็มาเริ่มกันเลยดีกว่า” เขากล่าวพลางลูบสองมือของตนไปมา “จำกัดเพียงสิบกระบวนท่า จึงจะนับว่าไม่อาจทำร้ายหรือเป็นอันตรายใดๆ แก่กันได้”
“พวกเจ้าตนใดจะเสนอหน้าออกมาเป็นตนแรก?” น้อมสวรรค์ซวนหยวนกอดอก เหินอากาศมาหยุดตรงกึ่งกลางตำแหน่งทั้งสองฝ่าย
“ข้าเห็นว่ามันจะเป็นการดีกว่าที่เราจะเริ่มการเดิมพันทั้งสามไปพร้อมกันเลยในทีเดียว” ชายชราในชุดคลุมขาวเผยรอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจถึงความหมายของมันออกมา และชี้ไปยังหกมารนักปราชญ์
หกมารนักปราชญ์น้อมรับคำสั่งทันที มันทะยานออกจากตำแหน่ง เหินอากาศมุ่งตรงไปยังน้อมสวรรค์ซวนหยวน
ขณะที่หกมารนักปราชญ์เกือบจะลงมือสังหารซวนหยวนได้อยู่แล้วนั้นเอง
นักพรตเป่ยหยวนและนางเซียนไป่ฮั่วที่เฝ้าดูอยู่ เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ก็พุ่งตรงไปยืนหยัดเคียงข้างน้อมสวรรค์ทันที
‘ยอดเยี่ยม! เช่นนี้ทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่วางไว้!’ ชายชราชุดคลุมขาวพึมพำอย่างเงียบๆ
........................................